เป้ย ปานวาด เปิดใจชัดเจนทุกเรื่อง "ไม่มีใครมาบอกได้ว่าเราต้องตัดสินใจยังไง"


ให้คะแนน


แชร์

หายจากวงการบันเทิงไป 9 ปี สำหรับนางร้ายตัวแม่ เป้ย ปานวาด เหมมณี หลังแต่งงานกับ ป๊อป นิธิ บุญยรัตกลิน และมีลูกน้อย 2 คน เป้ย ปานวาด ก็พักจากวงการบันเทิงไปเพื่อทำหน้าที่ภรรยาและแม่

แม้จะไปหายหน้าไปจากจอละคร แต่ในหน้าสื่อเรากลับเห็นข่าวมากมายของ เป้ย ปานวาด ตลอดเวลา และวันนี้เธอถึงกลับมาอีกครั้งในบทบาทครั้งสำคัญใน วานวาสนา และ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสพูดคุยกับ เป้ย ปานวาด ในทุกเรื่อง ทุกความสัมพันธ์ในชีวิต ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและอาจเป็นครั้งเดียวที่เธอพูดทุกอย่างๆ ชัดเจนที่สุด

9 ปีที่หายไปทำหน้าที่แม่และเมีย

ทันทีที่ได้เจอกับ เป้ย ปานวาด หลังไม่เจอเธอมานานมาก หญิงสาวตรงหน้าเราเหมือนเดิมทุกอย่าง ความสดใส อารมณ์ขัน และแววตาที่มีความสุข ไม่เหมือนทุกครั้งที่เราเห็นเธอในระยะหลังผ่านหน้าจอทีวี

เปิดฉากบทสนทนา เราถาม เป้ย ว่าคุยกับคุณป๊อปยังไงบ้างเรื่องที่จะกลับมาทำงาน หลังจากเป็นแม่ฟูลไทม์สมา 9 ปีเต็ม

“จะบอกว่าคุณป๊อป เขารู้ว่าเป้ยอยากกลับมาเล่นละครตลอด เขาเห็นเราตั้งใจเวลาดูละครจะดูตัวร้ายเป็นพิเศษ เราไม่ได้ดูแค่ความสนุก แต่จะบอกเขาว่าถ้าเป็นเราจะเล่นอย่างงี้ เขารู้ว่าเราคิดถึงตรงนี้ การจะกลับมาเล่นละครเขาจะดีใจไปกับเรา เป้ยคุยกับเขาไม่ยากเลย เพราะเขารู้ว่าการเล่นละครคือสิ่งเรารักมาตลอด”

แปลว่า เป้ย โหยหาการใช้ชีวิตตรงนี้หลัง 9 ปีที่ไปเป็นแม่บ้าน

“เรียกว่าคิดถึงดีกว่า อยากกลับมาทำงาน ทำให้เราสนุกและก็มีความสุข เป้ยว่าจริงๆ ในพาร์ทความเป็นแม่เรามีความสุขอยู่แล้วอันนี้ไม่ต้องพูดถึง แต่พาร์ทการทำงานเป็นสิ่งที่เราชอบเราได้กลับมาทำสิ่งที่เรารัก ตอนนี้มันเลยโอเคมากๆ”

กี่ปีแล้วในวงการ

“เป็นสาวดัชชี่ตั้งแต่ปี 2001 ปีนี้ก็ 21 ปีแล้ว”

21 ปีเห็นตัวเองเปลี่ยนไปเยอะมั้ย

“เปลี่ยนไปเยอะเลย รู้สึกเลยว่าตัวเองโตขึ้น และวงการบันเทิงให้อะไรกับเราเยอะมาก เราได้พัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนก็นิสัยเด็กๆ มานั่งดูตัวเองสัมภาษณ์ก็แบบ เฮ้ย เป้ย แต่ก่อนให้สัมภาษณ์แบบนี้ไปได้ไงเนี่ย เป้ยเดี๋ยวก๊อน (เสียงสูง)

วงการบันเทิงทำให้เรารู้จักโตขึ้นรับผิดชอบตัวเอง โตโดยได้จากประสบการณ์รอบตัวเต็มๆ เป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้จากที่ไหน

บอกตรงๆ นะเป้ยก็เป็นเด็กบ้านนอก เราก็มีนิสัยที่บ้านนอกๆ จะมีความรู้สึกเกรงใจมากกว่าคนอื่น มีความรู้สึกไม่กล้ามากกว่าคนอื่น

เวลาจะทำอะไรจะมีความเกรงใจคนรอบข้างมากกว่าตัวเราเอง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไป พอเป็นแม่ เราช้าขึ้น เราสู้ขึ้น ถ้าเกิดใครมาทำอะไรลูกเรา เราไม่โอเค เราสู้อยู่แล้ว จากเมื่อก่อนเราจะเกรงใจ แต่วันนี้เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าลูกคือสิ่งที่เรารักมาก เราพร้อมจะปกป้องเขา”

ภาพเซ็กซี่ในอดีตกับวิธีคุยให้ลูกเข้าใจ

เป้ย ปานวาด เป็นดาราสาวที่เราเห็นมาทุกบทบาท เราเคยเห็นเธอในภาพล้างรถ ในทุกงานประกาศรางวัลคนรอดู เป้ย ว่าจะเซ็กซี่แค่ไหน ซึ่งภาพเหล่านั้นทุกวันนี้ยังอยู่ในอินเทอร์เน็ต เราจึงอยากรู้ว่า เป้ย คุยกับลูกยังไงเรื่องนี้

“เราบอกความจริงเลย เมื่อก่อนกังวลนะ ว่าจะต้องยังไงลูกจะเห็นภาพเราที่เซ็กซี่ลูกจะโอเคมั้ย แต่ที่สุดแล้วเรามีคำตอบกับตัวเองว่ามันคืองาน เพราะชีวิตจริงเราไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเลย ก็เลยเอาตรงนี้นี่แหละมาบอกลูก

เป้ยไม่อยากปั้นคำหรือประดิษฐ์คำให้มันสวยงาม แต่เราเอาความจริงมาทำให้เห็นว่าชีวิตประจำวันของแม่เป็นยังไง แค่นี้มันก็เป็นคำตอบที่ทำให้เขาเห็นภาพได้ชัดแล้ว

อย่างทุกวันนี้มีเพื่อนมาทักลูกว่าแม่ยูเซ็กซี่มากเลยเมื่อก่อน แต่ลูกเขาก็รู้จักเป้ยอยู่แล้วว่าเป็นงานของเป้ย เขาก็จะเข้าใจว่ามันคืองาน แต่อยู่บ้านแม่โทรมมากเลยเป็นยายเพิ้งใส่เสื้อยืด ซึ่งเป้ยจะไม่โกหกเขา เพราะมันคือความเป็นจริง เราทำงานแต่ตัวเราเป็นแบบไหนจริงๆ เขาก็รู้

เป้ยบอกเขาว่าแม่ต้องทำงาน บอกตามความเป็นจริง โปรดเคยถาม แต่เราเล่าให้ฟังก่อนอยู่แล้ว เราพูดทำความเข้าใจกับเขาไว้ก่อนเลย เปิดภาพให้ดูว่าเราทำงานยังไง และบอกว่างานแต่ละงานมันมีข้อดีตรงไหน มีฟีดแบ็กยังไง

เป้ยมองว่าทุกวันนี้โปรดเขาโต และโตกว่าอายุด้วย เราแชร์กันทุกอย่างแบบเพื่อน แม่มีอะไรเล่าให้เขาฟัง แม่มีอะไรไม่สบายใจ แม่มีความสุขยังไง โปรดเป็นยังไงเราแชร์กัน

ชีวิตแม่ฟูลไทม์ส เศร้า ว้าเหว่ ผ่านมาได้เพราะลูก

9 ปีที่แล้วกราฟในวงการบันเทิงของ เป้ย กำลังพุ่งขึ้นสุดๆ แต่อยู่ๆ เธอก็ตัดสินใจพักงานในวงการบันเทิง ลาจอทีวีไปเป็นแม่ฟูลไทม์ส ชีวิตช่วงนั้นจะเป็นยังไง เป้ย ปานวาด เปิดใจเล่าให้เราฟัง

“โห เต็มที่สุด เราอยากโฟกัสกับครอบครัว อยากเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ณ ตอนนั้น
เราอยากทิ้งภาพความเซ็กซี่ คือพยายามถอยของเราเอง ไม่ได้เกี่ยวกับมีครอบครัวนะ

เราอยากให้คนโฟกัสภาพความเป็นนักแสดงมากกว่า แต่มาบวกกับความมาเจอคุณป๊อปมากกว่า คนก็เลยมองว่าเป้ยเบาๆ ลงเพราะจะมีครอบครัว คือไม่ใช่ นะเป้ยอยากถอยภาพความเซ็กซี่ของเป้ยเอง มันเป็นความบังเอิญที่ลงตัว

แล้วพอมาเป็นแม่ ความเป็นแม่เราไม่เคยทำ เราก็อยากโฟกัสทำมันให้เต็มที่ อยากให้เขาเป็นเด็กที่เติบโตไปอย่างครบที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ไม่ได้แปลว่าต้องเพอร์เฟกต์ 100% นะ คนเราไม่มีใครเพอร์เฟกต์ 100% มันอาจมีอะไรที่ผิดบ้างพลาดบ้าง

โปรดเองก็เหมือนกัน ชีวิตเขาต้องเจออะไรอีกมากมาย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่เราสอนเขาให้คิดดี ทำดี คิดเป็น และเราก็จะเคารพในความเป็นเขา ก็อย่างที่บอกเราในฐานะแม่เราก็อยากจะปูให้เขาไปในทางที่ถูกก่อนอย่างที่สุดที่เราจะทำได้ในฐานะแม่

เป้ยไม่เคยมองว่าตัวเองว่าต้องเป็นแม่แบบไหน เป้ยมีหน้าที่แค่ปูพื้นให้เขาเป็นเด็กดีและเป็นคนดี ถ้าเขาต้องไปเจออะไรต่างๆ นานา เขาก็จะเป็นคนที่ตัดสินใจ เป้ยไม่สามารถไปบังคับให้เขาเป็นได้

เรามีหน้าที่แค่ซัพพอร์ตใกล้ๆ ถ้าอะไรที่เราต้องเตือนเราก็จะเตือน ขอแค่เขาอยู่ในสังคมได้ ดูแลตัวเองได้ กล้าคิดกล้าตัดสินใจ เลือกในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบได้ แค่นี้แหละ ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะต้องประสบความสำเร็จเพอร์เฟกต์อะไรมากมาย”

เป็นแม่ฟูลไทม์ส พอโฟกัสลูกแล้วลืมสามีมั้ย

“แรกๆ เป็นอย่างนั้น เป้ยเข้าใจเลยว่าเป้ยมีพลาดมาบ้าง เพราะเป้ยเป็นมาม่าบลู เป้ยเป็นถึงขนาดคิดถึงการฆ่าตัวตาย ตอนคลอดโปรด เป็นอยู่ยาวเลย ด้วยความที่ไม่รู้

ตอนโปรดเป็นอยู่ 6 เดือน กว่าจะลงตัวกับชีวิต ด้วยความที่เริ่มชีวิตใหม่ แต่ก่อนเราอยู่คอนโดมีชีวิตของเรา ทำแต่งาน จู่ๆ ชีวิตเปลี่ยนต้องย้ายไปอยู่บ้านคุณแม่คุณป๊อป ต้องเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน หน้ามือเป็นหลังมือ เรางง เรารับมือไม่ทัน บวกกับมาม่าบลู ค่อนข้างต้องปรับตัวเยอะมาก

ยอมรับว่าตอนนั้นพอเจออะไรที่มันหนักๆ เราจะร้องไห้แก้ปัญหาไม่ได้ เหมือนอยู่คนเดียว ตอนนั้นคุณป๊อปก็ไปสัตหีบทุกวัน เพราะเขาต้องไปเรียน เขาเลยไม่ได้อยู่กับเรา

แล้วตอนนั้นไม่รู้ตัวว่าเราเป็นมาม่าบูล ก็ไม่ได้ไปหาจิตแพทย์ เราไม่รู้ว่าเราเป็น ไม่รู้ว่าหาหมอกินยาได้ วันๆ หมกอยู่แต่กับการร้องไห้ ร้องไห้เลี้ยงลูก ปั๊มนม ตื่นมาจากร้องไห้มาเลี้ยงลูก ลูกร้องไห้จะต้องทำยังไง ชีวิตวนลูปอยู่แบบนี้ กว่าจะพ้นมาได้ยากมาก”

ที่บอกว่าจะฆ่าตัวตายนี่ยังไง

มีอารมณ์แวบเข้ามาว่าไม่อยากอยู่แล้ว แต่ทำไม่ได้ เพราะอยากเห็นลูกเติบโต ตอนนั้นเรารู้สึกจะทำยังไงกับชีวิตดี มันว้าเหว่เหลือเกิน เหมือนอยู่คนเดียวบนโลก คุณป๊อปเขาก็ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร เพราะเราก็ยังไม่รู้ตัวเองว่าเราเป็นอะไร

จนมีเพื่อนมาทักว่าเป็นมาม่าบลูหรือเปล่า เออเรารู้สึกว่ามันใช่ เพราะอาการตรงทุกอย่าง จนมาคอนเฟิร์มอีกทีตอนปาลิน มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราดิ่งลง เราก็เลยไปปรึกษาจิตแพทย์ คุณหมอก็บอกว่าเราเป็นตั้งแต่ท้องแรกแล้ว และท้องที่สองก็มีโอกาสที่จะเป็นอีก”

ก่อนหน้าที่จะมีครอบครัว เป้ยมีอาการซึมเศร้ามั้ย

ตอนนั้นมันนานจนเป้ยนึกไม่ออก แต่เป้ยรู้แค่ว่าเวลามีข่าวไม่ดี เป้ยจะเสียใจหนักมาก จนแม่ให้ออกจากวงการไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวแม่เลี้ยงเอง เป้ยจะร้องไห้เสียใจวนอยู่อย่างนั้น แต่เป้ยไม่รู้ว่าอาการแบบนั้นเรียกว่าซึมเศร้าหรือเปล่า แต่เป้ยว่าไม่ได้เป็นขั้นนั้นหรอก เป้ยว่าเศร้าทั่วไป เพราะเป้ยรับมือได้ แต่มาพีกสุดจนเรารู้สึกได้คือตอนคลอดน้องโปรด ที่เราไม่รู้ว่าจะรับมือกับความเศร้ายังไง”

แล้วตอนนั้นไปต่อยังไง

“เป้ยให้กำลังใจตัวเอง”

ความสดใสที่หายไป…เกิดอะไรขึ้น?

ช่วงที่ผ่านมาคนจะเห็น เป้ย เวลามาออกรายการความสดใส ความเบิกบาน หายไป ดูเศร้า ดูสั่น จนหลายคนเป็นห่วง เกิดอะไรขึ้นกับ เป้ย ปานวาด คนที่เคยสดใส อารมณ์ดี มุกเยอะ พูดเก่ง

“มันมีบางรายการที่เป็นแผลสดๆ (ยิ้ม) แต่เป้ยอธิบายได้นะ อย่างสามแซ่บตอนนั้นเป้ยไม่ได้เศร้านะ แต่เป้ยใช้ความคิด”

แต่ดูไม่ใช่เป้ยแบบตอนนี้ ที่สดใสเลยนะ ในรายการดูสั่นจากข้างใน

“คือตอนนั้นมันผ่านมาสักพักแล้ว บอกตรงๆ สิ่งที่เป้ยเจอค่อนข้างสาหัส มันไม่ใช่แค่เรื่องสามี เป้ยพยายามคิดคำตอบให้มันละมุนที่สุดที่จะไม่ให้กระทบกระทั่งคนอื่น เป้ยใช้ความคิด เพราะไม่อยากจะถามมาตอบ ถามมาตอบ เพราะสุดท้ายมัยจะกลับมาทำร้ายเป้ยภายภาคหน้า

เป้ยก็เลยดูนิ่งเพราะคิด แต่ตอนนั้นไม่ได้เศร้าจริงๆ ตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกว่าเรามีปัญหาอะไรกับชีวิต

ตอนนี้เป้ยอาจจะไม่ปุ๊บปั๊บๆ คิดอะไรพูดเลยทำเลยแบบแต่ก่อน เพราะเรามีลูกด้วย ทุกวันนี้สื่ออินเทอร์เน็ตปฏิเสธไม่ได้ว่าเดี๋ยวสักวันลูกอ่านจะมาเจอสิ่งที่เราตอบ เพราะฉะนั้นจะตอบอะไรเราต้องคิดดีๆ ก่อนตอบ ถ้าต้องตอบ เราต้องตอบอะไรที่มันคือความจริงแต่ต้องไม่ทำร้ายใคร และลูกต้องไม่รู้สึกว่าเห็นข่าวนี้แล้วไม่โอเคเลย เป้ยจึงต้องพยายามใช้ความคิด ณ ตอนนั้น

ส่วนที่คลับฟรายเดย์โชว์ โอ้โหอันนี้พีกมาก รายการนั้นรับปากไว้นานแล้ว จริงๆ ไม่ใช่คนที่ชอบออกมาพูดดราม่าของตัวเอง ที่ผ่านมาเป้ยเลือกที่จะเงียบไม่ตอบอะไรที่มันเป็นเรื่องดราม่าๆ เพราะเรามีความรู้สึกว่าไม่อยากตอบ ตอบไปก็พอเป็นข่าว ข่าวตีไปไกลมันก็ไม่ดีกับใครเลย”

จะตัดสินใจอะไรไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง

ในช่วงที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่สาหัสจนอยู่ในภาวะใจสลาย เป้ย ปานปาด ผ่านมันมาได้ยังไงในสภาพจิตใจที่สลายแบบนั้น

“เพื่อลูก และเพื่อตัวเราเอง เราเป็นคนที่ชัดเจนอยู่แล้ว เราเป็นคนที่รู้สึกว่าเวลามีเรื่องอะไรหรือเหตุการณ์อะไรเราจะชั่งน้ำหนักตลอดเวลาว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี ไม่ว่าจะเรื่องทำอะไร เรื่องครอบครัว เรื่องธุรกิจ ทุกอย่างในชีวิต

เราจะชั่งน้ำหนักว่ามันดีเท่าไหร่ มันไม่ดีเท่าไหร่ ก่อนจะตัดสินใจ และถ้าเรามองว่าอันนี้พอที่จะไปได้อยู่ก็จะไปต่อ เพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่เป้ยคนเดียว มันมี 2 เด็กน้อยที่ตามหลังเราอยู่

เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไรเป้ยจะไม่เอาตัวเราเป็นใหญ่ในการตัดสินใจ เราจะรอให้เราใจเย็น คิดหน้าคิดหลัง คิดให้ดีๆ ก่อน ลำพังถ้าเป็นตัวเป้ยเองคนเดียว โอ๊ย ออกไปแล้ว เป้ยไม่อย่างนี้หรอก แต่ ณ ตอนนี้เราไม่ใช่ตัวคนเดียว”

เห็นเป้ยเคยพูดในว่าลูกต้องมีพ่อเป็นโรลโมเดล

“อันนี้เราแค่อยากจะบอกว่าโปรดเขามีคุณพ่อเป็นไอดอล ในสายตาของโปรดเขามีคุณพ่อเป็นซุปเปอร์ฮีโร่มากไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรถ้าเราดีลไม่ได้ต้องเป็นคุณพ่อ

ดีลในที่นี่หมายถึงเราคุยแล้วลูกไม่เปิด เราก็จะถามโปรดว่าอยากคุยเรื่องนี้กับใครมั้ย เขาก็จะบอกว่าเรื่องนี้เขาอยากคุยกับป๋า โปรดไม่อยากให้แม่รู้ บางทีผู้ชายเขาอยากคุยด้วยกัน แม่เป็นผู้หญิงไม่เข้าใจเขาหรอก

ตรงนี้แหละที่เราต้องการจะสื่อ มันไม่ใช่การที่คุณจะทำผิดอะไรมาแล้วโปรดอยากมีพ่อเป็นไอดอลแล้วทำให้เป้ยไม่เลิก ไม่ใช่ค่ะ ตัดทิ้งไปเลยมันคนละส่วนกัน”

ชั่งน้ำหนักเรื่องดี VS. ไม่ดี 
ไม่มีใครเพอร์เฟกต์ 100%

ในช่วงหลังๆ เป้ย มักจะเจอการตั้งคำถามจากชาวเน็ตว่า เธอทนเพื่อลูก ทนทำไม ซึ่งเรื่องนี้ เป้ย ตอบทันทีว่า

“เป้ยไม่ได้ทน ไม่ต้องทน อย่างที่บอกเป้ยเป็นคนที่จะต้องประมวลและชั่งน้ำหนัก อันไหนดี อันไหนไม่ดี ถ้ามันไม่ดีจริงๆ เป้ยเชื่อว่าไม่มีใครทนหรอก แต่ถ้ายังมีดีเราก็ต้องชั่งน้ำหนัก

ต้องบอกก่อนสำหรับเป้ย เป้ยมองว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้มีใครเพอร์เฟกต์ 100% แม้แต่ตัวเป้ยเอง เป้ยก็ไม่ได้ดี 100% คนเรามีข้อผิดพลาดกันได้

เป้ยจึงมองตรงนี้ด้วยความเป็นกลาง ดีมันเท่าไหร่ ไม่ดีมันเท่าไหร่ แล้วเป้ยสามารถแก้ไขไปต่อได้มั้ย เป้ยบอกแล้วว่าถ้าลำพังตัวเป้ย เป้ยคนเดียวมันง่ายมากที่เป้ยจะเอาเหตุผลเป้ยเป็นหลัก แล้วตัดสินใจอะไรก็ได้ ตามที่ตัวเองรู้สึกว่าตัวเองสบายใจ แต่ทุกวันนี้ตรงนี้มันไม่ใช่เป้ยไม่เลือกทำแบบนี้

แต่ถ้าวันนึง มันไม่ดีมากกว่าดีเราก็ต้องไปอยู่แล้ว เราก็ต้องเอาลูกเราไป มันง่ายมากต่อการตัดสินใจ ถ้าไม่ดีมันมากกว่าดี ใครจะทนอยู่ล่ะ เราไม่ต้องอยู่

วันนี้โอเคแล้วเนอะ

“โอเคแล้วค่ะ”

“เป้ยเป็นคนที่มีธงในใจอยู่แล้ว เวลาที่เจอเหตุการณ์อะไร ถึงเราจะไปปรึกษาใคร แต่เราก็จะประมวลกับธงที่เราตั้งไว้ ชั่งน้ำหนักอย่างที่บอก ดีแค่ไหน ไม่ดีแค่ไหน อันไหนมากกว่ากัน ถ้าดีมากกว่าไปต่อ

เพราะไม่มีใครอยู่ในชีวิตจริงของเรา ณ ช่วงเวลาที่มันเกิดเหตุ ณ ช่วงเวลาที่เจอ ไม่มีใครมายืนอยู่ตรงจุดนั้นมากเท่าตัวเรา เราต้องรู้ตัวเรามากที่สุด

วันแรกที่เจออาจจะยังตัดสินใจไม่ได้ วันที่สองอาจจะยังมีอารมณ์ เป้ยจึงต้องให้ทุกอย่างช้าน้อยลง ให้ตัวเองใจเย็นๆ แล้วประมวลผล

แล้วเราจะพบคำตอบของเราว่าอันไหนคือคำตอบของเรา ไม่มีใครมาบอกได้ว่าเราต้องตัดสินใจยังไง เราคือคนที่เจอ เราคือคนที่เห็น เราจะรู้ตัวเราเองว่าเราต้องแก้มันยังไง ถ้าใครมายืนตรงจุดเป้ยจะเข้าใจ

วานวาสนาละครที่ยากที่สุดในชีวิต

วานวาสนา เป็นละครเรื่องแรกที่ เป้ย ปานวาด ตัดสินใจรับหลังหยุดเล่นละครไป 9 ปี หลังอ่านบทแล้วขนลุก พร้อมยอมรับเป็นบทที่ยากที่สุดในชีวิต

“เป้ยไม่รับละครมา 9 ปี ก่อนหน้านั้นไม่มีเลย วานวาสนา เป็นการกลับมาหลังจากหายไป 9 ปี มีบทส่งมาให้เราตลอด แต่ยังไม่เจอบทที่ถูกใจ แต่อาจจะด้วยผู้จัดคิดว่าเราแต่งงานมีลูกแล้ว อาจจะไม่อยากเล่นร้ายมากหรือเปล่า ที่ส่งมา 80% คือบทคนดี ซึ่งเราก็ เฮ้ย ใช่เหรอ (หัวเราะ)

คือเรามองว่าถ้าจะกลับไปเนี่ย แน่นอนคนดูคิดถึงและประทับใจที่เราเล่นบทร้าย เราอยากกลับไปทั้งทีแบบร้าย เดินมาก็รู้เลยว่าร้าย ส่วนร้ายตลกอาจจะเป็นสเตปต่อไป แต่ตอนนี้ถ้าจะกลับไปอันแรกต้องขอสนองคนที่เขาคิดถึงเราก่อนดีกว่า

พอวานวาสนาส่งบทมา น้องปาลินเขาโตกว่าวัยมาก ก็เลยเป็นความบังเอิญที่ลงตัว เรากลับมาทำงานได้โดยไม่ต้องพะวงลูก

ด้วยตัวบทเรามีความรู้สึกว่าอ่านแล้วเราขนลุก เราเคยเจอบทหลายบท แต่เรื่องนี้เราอยากให้ดูจุดจบ แล้วจะรู้เหตุผลว่าทำไมเป้ยถึงรับ เพราะมีที่มาที่ไปของการร้าย เป็นอะไรที่ท้าทาย เพราะตัวบทเอื้องเนี่ย เป้ยว่าตั้งแต่เล่นละครมาบทนี้ยากสุด ค่อนข้างท้าทายเป้ย เพราะร้ายสุดโต่ง และเป็นเมโลดราม่าต้องเล่นแบบมากขึ้นไปอีก

เป้ยไม่เคยรับบทแบบเมโลดราม่าเลย ออกมาต้องเล่นใหญ่จริงๆ เสียใจต้องเจ็บเจียนตาย มันจะไม่ใช่ละครปกติที่จะต้องดูเรียล ต้องเล่นใหญ่

เป้ยมีความเชื่อในเสน่ห์ของละครไทยนะ ถึงแม้เราจะดูซีรีส์ต่างประเทศเยอะ แต่ละครไทยของเราก็มีเสน่ห์ มันท้าทายคนเล่น

บอกตรงๆ ถ่ายเรื่องนี้กลับบ้านเป้ยเหนื่อยมาก แทบจะคลานเข้าบ้าน ซึ่งคุณป๊อปจะรู้ ลูกๆ จะรู้ว่าเวลาเป้ยไปถ่ายละครเป้ยต้องใช้พลังเยอะมาก ต้องใช้สมาธิ ทำการบ้านล่วงหน้าหลายวัน ยากค่ะ ยากมาก เราตั้งใจมากไม่อยากให้คนดูผิดหวัง”

แปลว่าเรื่องนี้ก็มาพร้อมความคาดหวัง

“ก็ยอมรับว่าคาดหวัง แต่เป้ยเป็นคนที่ปรับตัวและเข้าใจอะไรง่าย เพราะตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าละครต้องการกระชับเดินเรื่องเร็ว ตอนเราเล่นเราเล่นแบบปูทางขึ้นมา ค่อยๆ ร้ายเนิบๆ ขึ้นมาค่อยๆ พีก มันอาจไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิดไว้ แต่เป้ยเข้าใจว่าสมัยนี้ละครต้องเดินเรื่องเร็ว ให้คนดูสนุก ก็เป็นการเรียนรู้ให้เราปรับในการเล่นเรื่องต่อๆ ไป”

ตอนนี้มีเรื่องนี้ติดต่อเข้ามาเยอะมั้ย
“มีติดต่อเข้ามาค่ะ คอมเมดี้ก็มีเข้ามา มีเข้ามา 5-6 เรื่อง แต่เป้ยอยากค่อยๆ ดู เพราะเราอยากกลับมาในฐานะนักแสดงเต็มตัว ไม่ได้กลับมาเพื่อมาโกยมารับทุกอย่าง

ทุกเรื่องที่เรารับเราอยากให้มันเป็นผลงานที่มันดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลงานที่อยากเก็บไว้ ตอนนี้ยังไม่ได้ถึงกับวางไว้ว่าจะรับปีละกี่เรื่อง แต่ถ้าบทที่เรามองว่าดี อยากเล่น รับแน่นอน

คุยกับคุณป๊อปไว้แล้วว่าจะขอกลับมาแบบเต็มตัว แต่เราก็อยากจะเลือกเก็บไว้เป็นโปรไฟล์ของเรา อีกอย่างเราเป็นคุณแม่แล้วด้วยหน้าที่หลักอันดับหนึ่งเราก็คือการเป็นแม่ สองงานก็ต้องทำ เพราะฉะนั้นต้องหาอะไรที่ลงตัวที่สุด รับทุกเรื่องที่เข้ามาก็คงไม่ได้ เวลาให้ครอบครัวก็จะน้อยลง เป้ยเลยต้องเลือกจุดที่พอดี และลูกต้องมาที่หนึ่ง”

มองจากวงนอก หลายคนอาจตีความว่า เป้ย ปานวาด ไม่ใช่ผู้หญิงเข้มแข็ง สตรอง อะไรมากมาย แต่หากได้รู้จักตัวตนของเธออย่างลึกลงไป ผู้หญิงคนนี้สลัดทิ้งความกลัว เธอแข็งแกร่ง ยืนหยัด ทุกพลังของชีวิตเพื่อลูกจริงๆ.

เรื่อง : ดินสอเขียนฟ้า
ภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2296601
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2296601