ตงตง กฤษกร พิสูจน์ตัวเองได้ แม้ไม่ได้เป็นหมอ แต่ก็ทำให้แม่ภูมิใจ


ให้คะแนน


แชร์

เป็นพระเอกน้องใหม่ที่กำลังถูกปั้นให้โด่งดังเหมือนรุ่นพี่ๆ สำหรับ ตงตง กฤษกร กนกธร ที่แจ้งเกิดจากเวทีประกวดเดอะสตาร์ ปี 12 จากนักร้องมาเป็นนักแสดง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ของผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย 

แต่ก่อนจะมาเป็นพระเอกน้องใหม่ ตงตง มีเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะถ้าในอดีตถ้าเขาตั้งในเรียนจนได้เป็นหมอ วันนี้ก็คงไม่มีพระเอกหนุ่มสุดหล่อที่ชื่อว่า ตงตง กฤษกร อย่างแน่นอน 

วันนี้เราได้คิวสุดฮอตของหนุ่มหล่อหน้าใสขวัญใจสาวๆ มานั่งพูดคุยเล่าเรื่องราวชีวิตที่แสนจะสนุกและโลดโผนของเขา ซึ่งบอกเลยว่าสนุกไม่แพ้เรื่องราวในละครที่ตงตงเล่นเลยทีเดียว 

หนีเรียนหมอมาประกวดเดอะสตาร์ 

ซึ่งเราทราบมาว่า จริงๆ แล้ว ตงตง นั้นมีแพลนชีวิตว่าจะต้องเรียนหมอ และเขาก็ตั้งใจเรียนมาตลอด แต่เมื่อเข้าช่วงมัธยมปลาย กลับเกิดเรื่องที่ทำให้ครอบครัวต้องเสียใจ ตงตงหนีการเป็นหมอมาประกวดเดอะสตาร์ ซึ่งตงตงเล่าเรื่องราวในช่วงนั้นให้เราฟังว่า 

“ใช่ครับ หนีจากหมอมาเป็นเดอะสตาร์ พี่ชายผมก็เป็นหมอ ถามว่าทำไมผมทิ้งตรงนั้นมา ไม่ได้ยอมทิ้งหรอกครับ แต่คือว่าผมก็พยายามตั้งใจเรียนจนถึง ม.4 ผมเรียนได้เกรด 4 เกรด 3.8 มาตลอด ซึ่งก็รู้ว่าต้องมาทางหมอ เพราะที่บ้านมาทางนี้กันหมด

แต่ผมดันเกเรเอง รู้ตัวเองด้วย เกเรช่วงประมาณ ม.4 เทอม 2 พอรู้ตัวอีกที ม.6 แล้ว ติดเพื่อนนั่นนี่ เปลี่ยนไปเยอะเลย จากเด็กที่ตั้งใจเรียน เรียนพิเศษตลอด จนเกเรเลิกทุกอย่างเอาเงินที่แม่ให้ไปกวดวิชาไปเที่ยวแทน

ซึ่งตอนแรกแม่ไม่รู้ แต่สุดท้ายแม่รู้ก็เสียใจ แม่จับได้ด้วย และผมก็มารู้ตัวเองตอน ม.6 ก็รู้เสียดายจากคนตั้งใจเรียน เอาเงินแม่มาทำแบบนี้ และไปคิดย้อนเมื่อก่อนแม่พาไปเรียนพิเศษ พาไปส่งเรียน เลยคิดว่าจะเอายังไงกับตัวเองดี เลยคิดว่าจะเข้ามากรุงเทพฯ

ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าจะเข้ามาทำอะไร แต่ผมรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนตัวเองใหม่ เพราะถ้าผมอยู่ที่มหาสารคามต่อไปชีวิตก็จะวนลูป ผมรู้เส้นทางทุกอย่าง วงจรเดิมๆ

วันที่แม่รู้ แม่ก็เสียใจ แต่แม่ก็ไม่ได้ขออะไรผมนะ ก็ถามว่าทำไมทำแบบนี้ ก็ต่อว่าผมแหละ ซึ่งผมก็ไม่เถียงเพราะรู้ตัวว่าทำผิด ผมก็รู้ว่าเขาเสียใจ

ผมยังคิดเลยที่บ้านผมมีเชื้อสายจีน เวลาเทศกาลอย่างตรุษจีน เช็งเม้ง ก็จะรวมญาติกัน อากงก็จะถามแต่ละบ้านเลยว่าเป็นยังไงๆ มาถึงบ้านผมก็ถามถึงพี่ชาย โชคดีที่พี่ชายเป็นหมอ ถ้าพี่ไม่เป็นหมอ แม่คงจะโดนต่อว่าว่าเลี้ยงลูกยังไง ทำไมลูกเกเร ซึ่งผมไม่โดน แต่คนที่โดนว่าคือแม่

ผมเลยอยากเข้ากรุงเทพฯ อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำยังไงก็ได้ผมต้องเริ่มใหม่จะไม่ทำตัวแบบเดิม ผมก็บอกแม่ แต่ไม่มีใครเชื่อผม พี่ชายก็บอกว่าอย่าให้ผมเข้ามากรุงเทพฯ เพราะเขารู้สึกว่าอยู่มหาสารคามยังเป็นแบบนี้ ถ้าไปอยู่ที่อื่นจะเป็นยังไง

ไม่มีใครให้ผมเข้ามากรุงเทพฯ เลย ผมพูดเรื่องนี้ถึงรอบที่ 3 แบบจริงจัง จนมาจบประโยคที่ว่า ผมอยากทำให้แม่หรือทุกคนเห็นเลยว่าถึงผมไม่ได้เป็นหมอ แต่ผมจะสามารถดูแลแม่ได้โดยที่ไม่ต่างจากหมอเหมือนกัน

ผมพูดประโยคนี้แม่ผมร้องไห้ ตัดสินใจพาผมเข้ามากรุงเทพฯ ด้วยตัวเอง ผมรู้ว่าแม่อยากให้ผมไปแหละ แต่ก็เป็นห่วง เพราะผมไม่เคยอยู่หอ ต่อให้ไปเที่ยวดึกแค่ไหนผมก็กลับบ้าน ไม่เคยไปนอนบ้านเพื่อน

แม่ก็คงเป็นห่วงถ้าผมต้องมาใช้ชีวิตยู่คนเดียว แม่เข้ามาส่งแล้วก็กลับ ผมเริ่มใหม่ทุกอย่างเลย ใช้ชีวิตลำบากมาก กลัวกรุงเทพฯ หมือนกัน

เพราะเพื่อนเข้ามาเรียนก่อนแล้วก็บอกว่าถ้ามากรุงเทพฯ ต้องใช้กางเกงนูดี้นะ ต้องกินเหล้านะ ต้องไปเที่ยวนะถึงจะมีเพื่อน

คือเวลาเที่ยวผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ผมดื่มน้ำเปล่ากับน้ำอัดลมอยู่ได้ยันเช้า ผมรู้สึกว่าไปเที่ยวมันไม่ต้องกินเหล้าหรอก ไปอยู่กับเพื่อนผมมีความสุข

พอเพื่อนบอกแบบนี้ มันเลยทำให้ผมคิดว่าต้องไปเที่ยวแล้วกินเหล้าเหรอถึงจะมีเพื่อน ต้องใช้กางเกงนูดดี้เหรอ ซึ่งมันคือเรื่องจริง เพื่อนพาผมไปห้างไปซื้อกางเกงนูดดี้ ผมก็แบบพอเห็นราคาแล้วมันแพง ตอนนั้นต้องเมเนจเงินเอง ก็ไม่ได้ซื้อมา

แล้วตอนไปเที่ยวก็ไม่มีใครเชื่อผมสักคนว่าผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ จนวันนี้ผมทำให้ทุกคนเห็นว่าผมไม่ดื่ม ผมยังภูมิใจในตัวเองเลยว่าก็อยู่ได้ถ้าไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใส่กางเกงนูดี้ก็มีเพื่อนได้

สุดท้ายมันอยู่ที่ใจเรา ถ้าเราทำให้เขาเห็น ทำให้เขาเข้าใจ เชื่อใจได้ การมีเพื่อนมันรักกันที่หัวใจ ผมทำได้ ทุกวันนี้เพื่อนเข้าใจหมด ผมดีใจและภูมิใจกับตัวเองมาก

จากนั้นก็มีโอกาสเข้ามาประกวดเดอะสตาร์ 12 เพราะผมอยากประกวดเอง ก็ลองดูและมีโอกาสติดเข้ารอบมาเรื่อยๆ พอจบการประกวดมีเพลงและมีโอกาสได้เล่นซิตคอมบางรักซอย9/1 และก็ยาวมาถึงปัจจุบัน”

เข้ารอบเดอะสตาร์แต่กลับเครียดหนัก

จากนั้น ตงตง กฤษกร ก็เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเองต่อไป หลังจากที่เข้ามาประกวดเดอะสตาร์ แล้วเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายว่า 

“ตอนที่ประกวดเดอะสตาร์ผมเครียดมาก รู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางของผมอยู่ดี เข้าไปร้องเห็นแต่คนเก่งๆ รู้สึกว่าความสุขอยู่ตรงไหน ผมอยากออกด้วย แต่แม่ก็ร้องไห้ให้กำลังใจบอกว่าไม่ไหวก็พอแล้ว ไม่ไหวก็กลับมาได้ หรือไม่ก็ไปเรียนก็ได้ จบแล้วก็กลับมาบ้านเรา

แต่ว่าก็มีพี่ๆ หลายคน เจอทีมงาน คอยบอกผมจนผมพัฒนาตัวเอง ทำให้ผมอยากฝึกอยากทำทุกอย่าง ฝึกร้องเพลง พูดไม่ชัดก็ไปฝึกพูด ไปเรียนการแสดงพูดไม่ชัดก็ไปฝึกพูดฝึกร้องเพลง การแสดงผมก็ไปฝึก ตอนที่เล่นบางรักซอย 9/1 ผมก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน ไม่มีความสุขเลย เพราะรู้สึกว่ามันยากจริงๆ

แต่ก็เหมือนเดิม เพราะมีพี่ๆ หลายๆ คนก็ให้กำลังใจและคอยซัพพอร์ตผมมาตลอด ถึงเขาจะด่าจะว่ายังไง แต่สุดท้ายเขาก็สอนเรา มันคือแรงที่ทำให้ผมพัฒนาตัวเองจนทำให้อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ คนรอบข้างสำคัญสำหรับผมมาก”

ไม่ได้เป็นหมอก็ทำให้แม่ภูมิใจได้

ใครจะเชื่อว่าจากเด็กเกเรทำแม่เสียใจ แต่ในวันนี้ ตงตง กฤษกร ทำให้แม่ยิ้ม มีความสุขกับความสำเร็จของลูกชายในวันนี้ ที่ไม่ได้เป็นหมอแต่ก็ดูแลแม่ได้ ซึ่งตงตงเล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้มว่า 

“แม่ก็ดีใจครับที่ผมดูแลตัวเองได้ เขาก็ภูมิใจนะ จากที่เคยว่าผมในเมื่อก่อน ตอนนี้ก็คงจะเปลี่ยนความคิดแล้วว่าผมเปลี่ยนไปแล้ว (ยิ้ม)

ส่วนตัวผมก็ภูมิใจในตัวเอง ถ้าย้อนเวลากลับไปผมก็จะเลือกทางเดิมอยู่ดี เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่เราเลือกมันคือความสุข

แต่ถ้าตอนนั้นผมเลือกอีกอย่าง ผมอาจจะไม่มีความสุขก็ได้ แต่ทุกวันนี้ผมมีความสุข ผมทำให้แม่ยิ้มได้ เพราะว่าผมเคยดูละครกับแม่หน้าจอทีวี (ยิ้ม)

ตอนเด็กๆ ผมจำได้ 2 ทุ่มครึ่งแม่เปิดดูละครแล้ว และทุกวันนี้แม่ได้เปิดดูละครที่ผมเล่น ผมแทบไม่ได้กลับบ้านไปหาแม่ที่มหาสารคาม เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้แม่ยิ้มได้คือการได้ดูละครที่ผมเล่นผ่านหน้าจอทีวี

และทุกเรื่องที่ผมได้โอกาสเล่น ผมยินดีรับไม่มีปฏิเสธ เพราะแม่จะได้ดูผม ผมไม่เคยปฏิเสธโอกาส หรือเลือกเล่นแต่บทดีๆ เพราะทุกบทมันดีหมด แต่อยู่ที่ว่าเราจะเล่นแบบไหนแค่นั้นเอง”

จากนั้น ตงตง ก็เล่าความตั้งใจของตัวเองที่อยากจะทำให้แม่ให้เราฟัง ด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขว่า “ผมอยากทำให้แม่มีความสุข พยายามเก็บเงินมาตลอด ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย

เงินละครตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ผมไม่เอาออกมาใช้เลย ผมใช้เงินเก่าที่ตัวเองเก็บมา ผมจะเก็บเงินซื้อบ้านให้แม่ ตั้งเป้าหมายนี้เอาไว้ตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง”

แต่ก็ต้องยอมรับว่า กว่า ตงตง จะเดินมาถึงจุดนี้ได้ ผู้ชายคนนี้ก็ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองอยู่นานกว่าจะเป็นที่ยอมรับ ซึ่งตงตงเล่าให้ฟังว่า เคยท้อไม่อยากไปต่อในวงการบันเทิงนี้แล้ว 

“กว่าจะมาถึงวันนี้ ผมก็เคยท้อแต่สุดท้ายผมก็สู้ ร้องเพลงมันยากก็พยายามไปฝึก พูดไม่ชัดเขาก็ส่งผมไปฝึกพูด ไปเรียนมา 3 ครู ไม่รอดสักครู เพราะผมไม่เข้าใจคำว่าพูดไม่ชัดคืออะไร

ผมติดสำเนียงอีสาน จนมาเจอพี่บอย ถกลเกียรติ ก็ถามผมว่าเมื่อไหร่จะพูดชัดสักที ส่งไปเรียนก็ไม่พัฒนาสักที ตอนนั้นผมท้อมาก เพราะผมไม่เข้าใจ และผมก็ตัดสินใจไม่เรียน แล้วเอาบทละครตัวเองมานั่งอ่านทุกวัน จนมันดีขึ้น

จนพี่บอยมาเจออีกทีก็ชมว่าผมดีขึ้น ตอนไปแคสต์ละครเวทีเขาให้ผมร้องเพลง เขาก็ถามว่าผมไปฝึกจากไหนเนี่ย เลยทำให้ผมรู้ว่าที่ผ่านมาผมสู้ ซึ่งในช่วงนั้นผมคิดถึงแม่ตลอด เลยทำให้ผมสู้และพัฒนามาได้หลายๆ อย่างเลย

จากวันนั้นจนถึงวันนี้จะ 5 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังเดินมาไม่ไกลมาก ถ้านับขั้นบันได 100 ขั้นผมก็ยังอยู่ที่ขั้น 2 เพราะผมรู้สึกว่ายังต้องไปไกลมากกว่านี้ มันต้องพัฒนาอีก

แต่ถ้าตั้งเป้าเอาแค่ว่าต้องดังถึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าผมเอาคำชมของละครวันทองมายึด ผมก็จะคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว ผมก็จบแล้ว ไปต่อไม่ได้แล้ว

ผมไม่ชอบคำชมเลยนะ ชมมาก็เก็บไว้ มีความสุขมาก แต่ผมจะไปอ่านคำไม่ชอบ คำติเพื่อที่ตัวเองจะได้รู้ว่าอะไรบ้างที่ตัวเองจะต้องพัฒนาต่อ จะคิดอยู่เสมอว่าตอนนี้เรายังอยู่บันไดขั้นแรกๆ อยู่ ยังมีบันไดอีก 900 ขั้นรอให้ผมไปต่อ ถ้าผมคิดว่าตัวเองเก่งแล้วผมก็จะหยุดอยู่แค่นี้ แต่ผมยังต้องไปให้ไกลมากกว่านี้”

เป็นคนโชคดีที่ได้รับโอกาส

เพราะตอนนี้ ตงตง กฤษกร ถูกช่องวางตัวเอาไว้ให้เป็นพระเอกน้องใหม่ดาวรุ่ง ซึ่งต้องยอมรับว่าการที่จะมาเป็นพระเอกมันมีความกดดันอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับตงตงให้คำตอบเรื่องนี้กับเราว่า 

“ผมไม่ได้มีความกดดันในเรื่องของการเป็นพระเอกนะ ผมจะกดดันแค่ตอนเล่นละคร เพราะผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมาเล่นเป็นพระเอก ผมเล่นบทอะไรก็ได้ นักแสดงได้บทอะไรมาก็ต้องทำการบ้านกับมันเยอะ

ผมรู้สึกว่ามันเป็นโอกาส บางคนอาจจะทำทิ้งๆ ขว้างๆ ผมเห็นหลายคนเลย และผมมองว่ามันยังมีใครอีกหลายคนที่รอโอกาสนี้อยู่ มีคนที่หน้าตาดีกว่าผม มีคนที่เก่งกว่าผม แต่เขาไม่มีโอกาส

เพราะฉะนั้นเมื่อผมได้โอกาสที่หลายๆ คนรออยู่ แต่การที่ได้โอกาสมาแล้วจะมาทำทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่รักษามันแบบนี้ไม่ได้ ผมเลยเชื่อว่าบทไหนก็ตามถ้าคุณทำด้วยความตั้งใจและเต็มที่

ผมเชื่อว่ามันจะมีโอกาสเข้ามาเรื่อยๆ ให้เราได้ไปต่อได้ ผมจะพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองไม่หยุดจะไม่ยอมหยุดอยู่กับที่แน่นอน

เรื่องการแสดงยังมีอะไรอีกเยอะที่ผมยังไม่เข้าใจ ต้องเรียนรู้อีกหลายอย่าง ผมอยากพัฒนาตัวเอง ผมอ่านคอมเมนต์นะแต่อาจจะไม่ได้อ่านทุกอัน เวลาเจอด่าแรงๆ ผมก็ทำอะไรไม่ได้

การที่เราได้มาอยู่ในอาชีพนี้เราไม่สามารถจะบังคับให้ใครมาชื่นชอบเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว มีรักก็ต้องมีไม่รัก มีชอบก็ต้องมีไม่ชอบ จะไปนั่งอธิบายให้ทุกคนรักเราไม่ได้ อะไรที่มันหนักก็ปล่อยผ่านทำความเข้าใจกับมัน

แต่ถ้าเป็นการตำหนิเพื่อก่อเราก็ต้องปรับปรุง เอามาพัฒนาเพื่อให้เราได้เดินหน้าต่อไป ไม่เก็บเอาคำแย่ๆ นั้นมาแบกไว้ เพราะทุกวันนี้ก็ทำงานหนักมากๆ แล้ว ถ้าเอาคำติที่ไม่ได้ก่อมาแบกไว้แล้วเราจะใช้ชีวิตยังไง เราจะได้ทำตามหัวใจของตัวเองมั้ย

เพราะคอมเมนต์ที่ด่าๆ ก็แค่จะบอกว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ แล้วถ้าผมต้องไปทำตามที่เขาบอก แล้วสิ่งที่ผมอยากจะทำตามหัวใจตัวเองล่ะ ผมก็อยากทำตามใจตัวเองเพราะไม่อยกาจะมานั่งเสียใจทีหลังว่ารู้งี้ทำอย่างนี้ดีกว่า ขอทำเต็มที่ตั้งแต่วันนี้เลย”

รักที่ถูกจับตามอง

ถ้าคุยกับ ตงตง กฤษกร แล้วจะไม่พูดถึงความรักกับ เบสท์ รักษ์วนีย์ แฟนสาวก็คงไม่ได้ เพราะความรักของทั้งคู่หวานจนน้ำตาลเรียกพี่ ซึ่ง ตงตง ถึงกับเล่าไปยิ้มไปถึงเรื่องนี้ว่า

“ความรักของผมคนถามเยอะเหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน ผมเขินนะเวลาที่ถูกถามแบบนี้ เพราะถูกจับตาเรื่องนี้ แต่ว่าก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น ผมรู้สึกว่าน้องยังเด็ก ผมอายุ 26 น้องอายุ 21 ยังต้องเรียนรู้อะไรกันอีกเยอะ

ถึงแม้ผมจะบอกว่าผม 26 ผ่านอะไรมาเยอะผมโตขึ้นแล้ว แต่จริงๆ ผมก็ยังไม่โตขนาดนั้นหรอก ผมยังต้องเจออะไรอีกเยอะแยะที่ผมยังไม่เคยเจอ

แต่ในช่วงชีวิตนี้ที่ผมผ่านอะไรมา ผมก้าว สิ่งนี้แหละที่ต้องไปบอกน้อง เพราะว่าน้องยังเด็ก ผมว่ามันยังต้องเรียนรู้อะไรกันอีกเยอะ ยังต้องปรับจูนอะไรกันอีกเยอะ

เรื่องของความรัก ยังต้องเรียนรู้กันอีก ไม่อยากรีบ เพราะถ้ามันผิดพลาดขึ้นมาเราก็ไม่อยากเสียใจทีหลัง เพราะฉะนั้นเรียนรู้ให้ชัดเจน

ส่วนความหวานที่โดนแซวว่าหวานไม่แผ่วคือจริงๆ ผมก็ไม่อยากให้คิดแบบนี้ครับ บางคนอาจจะเห็นว่าเทศกาลไหนก็ตามทำหมดเลย จริงๆ ไม่ใช่ ผมทำ ณ เวลานั้นมันรู้สึกแบบนั้น ฟีลนั้น มีความคิดนั้นมากกว่า

อย่างที่บอกว่าผมทำตามหัวใจตัวเองนั่นแหละ (ยิ้ม) แต่ก็มีคอมเมนต์ว่านะ ผมก็อ่าน แต่ว่าจะให้ผมทำยังไง ตอนนั้นเป้าหมายของผมคือทำให้เขามีความสุข”

จากนั้นเราถาม ตงตง กฤษกร ตรงๆ เลยว่า กลัวมั้ยว่าคนจะโฟกัสเราในเรื่องของความรักมากกว่าเรื่องของการงาน เล่นละคร งานนี้ ตงตง ตอบเราว่า

“ก็ไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นเพราะว่าสุดท้ายแล้วผมว่าคนจะรักผม อยากให้รักในสิ่งที่ผมเป็น อยากให้รักในตัวตนของผม รักในตัวตนของน้อง ชอบในสิ่งที่ผมเป็นมากกว่า รักผม ผมเป็นแฟนกับเบสท์ ก็อยากให้รักเบสท์ด้วย รักครอบครัวคำสิงห์แฟมิลี่ด้วย” 

เรายังถาม ตงตง ต่อว่า บางคนมองว่าตงตงเพิ่งดัง กระแสกำลังมา ไม่อยากให้เปิดตัวเรื่องความรักมาก แต่ทำไมตงตงถึงเลือกเปิดเรื่องความรัก พระเอกหนุ่มไม่รอช้ารีบตอบคำถามนี้ว่า 

“ใช่ มีแต่คนบอก กำลังดังเลยพอมีแฟนกระแสจะตก แต่ผมไม่ได้มองขนาดนั้น ผมชอบก็บอกว่าชอบ รักก็บอกว่ารัก ตั้งแต่สัมภาษณ์วันนั้นที่ตัดสินใจบอกก็เพราะผมรู้สึกแบบนั้น

ผมทำแบบนั้นเพราะผมรู้สึกว่าผมตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าผมจะจีบน้อง ผมชอบน้องเขา แล้วผมไม่อยากที่จะตอบว่าเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนร่วมงาน

แต่สุดท้ายแล้วถ้าในชีวิตประจำวันผมออกไปข้างนอก ผมนัดน้องเบสท์ไปกินข้าวกัน ไปดูหนังกัน เดินจับมือกัน กอดกัน แล้วคนมาเห็นก็จะว่าไหนบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกันเป็นพี่น้องกันมาทำแบบนี้ มันก็ไม่ดีอีก

ผมเลยรู้สึกว่าก็พูดไปเลย ไม่จำเป็นต้องมาปิดบังอะไรกันแล้ว เพราะว่าผมรู้สึกว่าจะไปโกหกกันทำไม มีก็บอกมี ไม่มีก็บอกไม่มี เอาความจริงใจของเราดีกว่า”

เสือถอดเขี้ยวเล็บ

แต่อย่างที่รู้ๆ กัน เมื่อก่อน ตงตง กฤษกร ก็ยอมรับว่าเป็นผู้ชายเจ้าชู้ไม่น้อย แต่ตอนนี้เมื่อมีความรักครั้งใหม่ มุมมองความรักของตงตงเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ งานนี้เจ้าตัวหัวเราะแล้วตอบคำถามนี้ว่า 

“เปลี่ยนไปเยอะครับ เพราะผมผ่านอะไรมา ผมเจ้าชู้ ผมผ่านมาหมดแล้ว จนวันนึงผมรู้สึกว่ามันมาคิดเรื่องงานเยอะ ไม่มีเวลาไปคิดอะไรขนาดนั้น

ยิ่งเรามีแฟนแล้ว เรามาอยู่ต่อหน้าสายตาพ่อแม่เขาด้วย ผมคิดถึงขั้นว่าถ้ามันไม่ปรับตั้งแต่ตอนนี้ มันจะไปปรับตอนไหน ซึ่งปีๆ หนึ่งมันเร็วมาก แป๊บๆ ผม 26 แป๊บๆ ผมจะ 30 แล้ว

แล้วถ้าอยู่ดีๆ 30-35 ผมเกิดอยากแต่งงานอยากมีลูก แล้วตราบใดที่ผมยังทำสิ่งไม่ดีนั้นอยู่ แล้วผมจะมีหน้าอะไรไปสอนลูกผม ผมก็เลยต้องทำเพื่อให้เป็นแบบอย่างก่อน ทำในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข”

จับมือกันฝ่าดราม่า

หลังจากที่เปิดตัว ก็ต้องยอมรับว่ามีทั้งคนที่เชียร์และคนที่แอนตี้ ซึ่งต้องยอมรับว่ากระแสแอนตี้คู่ของ ตงตงและเบสท์ก็หนักหนาพอสมควร แต่แม้จะเจออุปสรรคเรื่องนี้ แต่ทั้งคู่ก็จับมือกันฝ่าฟันมาได้ ซึ่งตงตงเล่าให้เราฟังว่า 

“เพราะเราให้กำลังใจซึ่งกันและกัน คือเมื่อก่อนน้องก็ไม่รู้ ก็อ่านคอมเมนต์แล้วนอยด์ คือผมผ่านมาแล้วโดนอะไรมาเยอะแยะไปหมดแล้ว เลยรู้สึกว่าต้องคอยบอกคอยสอนว่าเราอย่าไปฟังสิ่งไม่ดี คนมีทั้งชอบและไม่ชอบ เกลียดไม่เกลียด เป็นเรื่องธรรมดา แล้วเรามายืนเป็นคนของประชาชน

ตอนแรกหนักเลยใครพูดไม่ดีเอาละไลฟ์สดบ้างเถียงสู้เลย ผมก็บอกจริงๆ เราไม่ต้องไปเถียงอะไรเขา เขาไม่เข้าใจอะไรเรา เราไม่ใช่อย่างที่เขาว่าก็ปล่อยผ่านบ้าง

สุดท้ายน้องก็เริ่มเข้าใจว่าอะไรไม่ดีก็ปล่อยผ่าน คอยจับมือกันและกัน ผมว่าจริงๆ ถ้าเราคอยจับมือกันไป สุดท้ายแล้วคนที่คอมเมนต์อะไรไม่ดี เดี๋ยวเขาจะเข้าใจเราเอง ณ วันหนึ่งครับ

เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี ไม่ได้ไปฆ่าใครตาย ทุกอย่างที่เราทำมันมีแต่ความจริงใจ มีแต่ความรัก เราไม่ได้เฟก เราจะกลัวทำไม

ถ้าใครจะคิดอะไรไม่ดีกับเรา เราปล่อยเขาไม่ต้องไปนั่งอธิบาย ถ้าคนเกลียดเราล้านคนเราไม่ต้องไปนั่งอธิบายล้านคนให้เขามาเข้าใจเรา เพราะฉะนั้นก็ดำเนินชีวิตต่อไป พากันไป เพราะว่าคบกันไปให้มันบวกๆ ไป”

ก่อนที่ ตงตง กฤษกร จะสารภาพกับเราด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เสือผู้หญิงอย่างเขายอมถอดเขี้ยวเล็บและเริ่มจริงจังกับความรัก และปรับตัวใหม่ เพราะประทับใจหลายๆ อย่างในตัวของ เบสท์ รักษ์วนีย์ ว่า 

“ที่ผมประทับใจในตัวน้องเลย หลักๆ ก็คือการเป็นตัวตนของน้องเขา เพราะว่าตั้งแต่วันแรกที่เจอเขาเป็นยังไงเขาก็ยังเป็นอย่างนั้น

และน้องเขาเป็นคนกตัญญู และเป็นตัวเอง อยู่ด้วยแล้วมีความสุข น้องไม่ห่วงสวย น้องไม่ได้เรื่องเยอะ อยู่ง่ายกินง่าย ไม่เคยว่าอะไรให้ใคร แล้วก็ตั้งไจทำงานหาเงินเอง ก็เลยรู้สึกว่าเป็นคนเก่งและเป็นคนน่ารักคนหนึ่ง ใครอยู่ด้วยผมเชื่อว่าจะรักเขา เขาอัธยาศัยดีมาก ก็เลยรู้สึกประทับใจที่เขาเป็นแบบนี้ครับ (ยิ้ม)”

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Varanya Phae-araya, Chonticha Pinijrob 

ช่างภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2387361
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2387361