ต้าเหนิง เผยชีวิตผู้บริหาร ไม่รู้ตัวเองจะรอดไหม ยังไม่คิดรับใครเข้าสังกัด


ให้คะแนน


แชร์

ล่าสุด ต้าเหนิง กัญญาวีร์ เหินฟ้าเปิดตัวแบบเก๋ๆ กับงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “โออิชิ กรีนที ฮันนี่เลมอน น้ำตาล 0%” กับทริปเปิดรับพลังธรรมชาติเพื่อสุขภาพที่ดี กลางไร่ชาฉุยฟง จ.เชียงราย ก็ได้เปิดใจถึงชีวิตการเป็นผู้บริหาร รวมทั้งถามถึงเรื่องต้นสังกัดเก่าอย่าง นาดาว บางกอก ที่ยุติบทบาทการเป็นบริษัทพัฒนา ดูแลศิลปิน รวมถึงการผลิตซีรีส์ ละคร หรือผลงานเพลงต่างๆ

บทบาทผู้บริหารเป็นยังไงบ้าง?
“ก็สนุกดีค่ะ เหมือนได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เหนื่อยแต่ก็สนุก ซึ่งถามว่าต้องคีพลุคความเป็นบอสไหม ก็ไม่นะ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องอะไรขนาดนั้น”

ตอนนี้สถานการณ์กลับมาปกติแล้ว เราวางแผนเดินหน้าเต็มที่เลยไหม?
“ถ้าคิดว่ามีโอกาสไปได้ ก็จะไปนะคะ เรารู้สึกว่าเวลาเดินทาง เราแฮปปี้นะ เจออะไรใหม่ๆ และหนูคิดว่าสถานการณ์ดีขึ้น ก็หน้าจะเดินหน้าต่อไปเลย”

อย่างตอนเราออกมาใหม่ๆ เราเจอสถานการณ์โควิด?
“ใช่ ปัญหาจริงๆ มันคือสถานการณ์ อีเวนต์อาจจะออกไม่ได้ แต่ก็มีงานในโซเชียลมีเดีย เหมือนทุกคนก็ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และในตัวของบริษัทของเรา ไม่ได้สามารถกำหนดทิศทางของวงการบันเทิงได้ ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามกลไกของมัน ทุกอย่างกลับมาปกติ เราก็ go is the flow ไป จริงๆ ตอนนี้บริษัทก็ดูแลตัวเองเป็นหลัก มันก็จะเป็นรูปแบบเดิม ก็แค่แตกต่างว่าเราออกมาดูแลตัวเอง และมีคนมาซัพพอร์ตเรามากขึ้น ไม่ได้ต่างจากเดิม”

บริษัทเราเตรียมมองหาคนมาเข้าสังกัดไหม?
“ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาตัวเองรอดไหม ตอนนี้ก็รอปรับไปก่อน ว่าก่อนหน้านี้เราเจออะไรมาบ้าง และจากนี้เราจะพัฒนาตัวเองต่อไปอย่างไร ในอนาคตอาจจะมีคนเข้ามาร่วมงานกับเรา แต่ตอนนี้เราต้องทำระบบให้มันแข็งแรงก่อน”

ทิศทางของบริษัทเราคืออะไร?
“อืม…จริงๆ ที่โฟกัสตอนแรก คือโฟกัสตัวเองไปก่อน ที่มาเราจะรู้ว่าเราต้องการอะไร เราต้องพัฒนาอะไร เพราะช่วงนี้มันเหมือนเพิ่งเริ่มกลับมา เราได้ลองทำอะไรจริงๆ จังๆ ด้วย ซึ่งในส่วนมาร์เก็ตติ้ง มันมีทีมซัพพอร์ต เราต้องเรียนรู้กับสิ่งต่างๆ ไปด้วย”

หมายถึงว่าเราต้องการทำให้ เจเจ-ต้าเหนิง ประสบความสำเร็จก่อน?
“จริงๆ มันก็ควรจะต้องเป็นแบบนั้น”

ตอนนี้มีคนสนใจบริษัทเรามากแค่ไหน? 
“อันนี้ยังไม่รู้เลย ไม่ทราบเลย”

เรามีแพลนว่าต้องการหาคนมาอยู่ในสังกัดเราไหม?
คิดว่าในอนาคตต้องมีแหละ มาในรูปแบบบริษัท แต่ตอนนี้ขอโฟกัสตัวเองสองคนก่อน ว่าสิ่งที่เราเริ่มมาทำมันจะเกิดขึ้นจริงตามที่เราคิดหรือเปล่า ก็เลยอยากจะโฟกัสให้ระบบมันมั่นคงก่อน แต่ยังไม่ได้คิดว่าจะเริ่มหาคนมาร่วมในสังกัด ขอโฟกัสแค่ 2 คนก่อน”

บริษัทเราจะชัดเจนในด้านไหน เมื่อภาพทั้งสองคนคือแฟชั่นไอคอน?
“เออ….จริงๆ บทบาทมันไม่ต่างจากเดิมมาก เพราะเจเจ เขาก็ทำทั้งสองอย่างมาตลอด ตอนนี้เหมือนแค่ว่าเราออกมาดูแลตัวเองเท่านั้น ทุกอย่างที่เราเคยทำมา และเราก็ทำต่อไปเหมือนเดิม ซึ่งถามว่ามันโอเคไหม มันก็ได้ประมาณนึง เพราะเราสองคนก็เต็มที่ ในการทำงาน เพราะนอกจากพี่วุธ เราก็ปรึกษาอีกหลายคน”

มีกำไรเข้ามายังสำหรับบริษัทเรา?
“(ยิ้ม) ยังไม่ครบปีเลย แต่จริงๆ ก็รู้แหละ แต่ยังไม่สามารถสรุปอะไรได้เลย เพราะมันก็ไม่ได้ผ่านมานานอะไรขนาดนั้น มันเพิ่งผ่านมาเอง”

การเปลี่ยนบทบาททั้งสองคน มันเป็นยังไง?
“มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้น มันเป็นแค่ชื่อ เราต้องทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะเราโตขึ้น เราคิดว่ามันน่าจะเป็นในรูปแบบนั้นมากกว่า ซึ่งการทำงานกับเจนั้น จริงๆ ในมุมของศิลปินนั้น เรามองไปในทิศทางไหน เราก็จะมุ่งไปในทางนั้นเลย เพราะเราก็มีทีมซัพพอร์ต เราสองคนไม่ยุ่งในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะเราสองคนมีความชอบไม่เหมือนกัน คือดูแลตัวเอง เอาตัวเองให้รอด แค่นั้นแหละ”

การเป็นบอส มันจะทำให้มีความเครียดกับการทำงานร่วมกันกับเจเจไหม?
“จริงๆ ก็ไม่นะ เพราะที่ผ่านมา เราสองคนก็ทำงานร่วมกันบ้าง แต่พอตอนนี้เราก็ไม่ได้ก้าวก่ายอะไรกันขนาดนั้น ให้พื้นที่ของแต่ละคน เพราะตั้งแต่มาทำบริษัท รู้สึกว่าแก่ขึ้นมาก (หัวเราะ) ไม่ได้มีคนแซว แต่แค่รู้สึกว่าเวลาเราเครียด เราจะแก่ขึ้น”

กับข่าวของต้นสังกัดเก่า?
“จริงๆ หนูก็ไม่อยากพูดนะ แต่จริงๆ สถานะของบ้านปิดไป นาดาวปิดไป แต่จริงๆ ทุกคนก็ยังรักกัน เพิ่งไปกินข้าวกับฟรังกับเบลมา กับพี่ย้งก็ยังคุยกันอยู่ ก็เจอพี่บอมเมื่อวานเพราะไปงานรับปริญญาสกายมา เราคิดว่ามันปิดไปแต่เราไม่ได้ตัดขาดกัน ความทรงจำของนาดาว เรากับเจก็โตขึ้นมาจากบ้านหลังนี้ก็ได้เรียนรู้อะไรจากที่นั่นเยอะ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2399930
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2399930