อ๊อฟ ชนะพล อยู่วงการ 16 ปีแต่ไม่ถูกลืม เล่าถึงวันที่เจอข่าวฉาวให้ท้อใจ


ให้คะแนน


แชร์

ในบรรดาพระเอกช่อง 7 ที่ต่อสัญญาอยู่กับช่องมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ต้องมีชื่อของพระเอกคนนี้ อ๊อฟ ชนะพล สัตยา หนุ่มหล่อที่เข้าวงการจากเวทีประกวดที่โด่งดังสุดๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ อ๊อฟ ชนะพล ยังคงเล่นละครอยู่กับทางช่อง 7 และได้รับบทบาทที่หลากหลายท้าทายความสามารถของเขาสุดๆ ซึ่งต้องบอกว่า เล่นเรื่องไหนก็สร้างชื่อและเรตติ้งได้อย่างสวยงาม

16 ปีกับอาชีพนักแสดง 

ในวันนี้ เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์พระเอกหนุ่มมากฝีมือ เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิต และการทำงานในวงการมาได้อย่างยาวนานของผู้ชายคนนี้กัน กับคำถามเกี่ยวกับตัวเลข ว่าอ๊อฟนั้นอยู่ในวงการมากี่ปีแล้ว งานนี้พระเอกหนุ่มก็รำลึกความหลังให้เราฟังว่า

“ผมเริ่มเข้ามาประกวดดัชชี่ บอย ตอนนั้นปี 2006 ครับ มาถึงตอนนี้ก็ประมาณ 16 ปีแล้ว ผมรักอาชีพการแสดงครับ รักตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มเข้ามาเก็บตัวตอนประกวดดัชชี่ บอย

ช่วงนั้นผมมีโอกาสได้เข้าไปเก็บตัว ได้เรียนร้องเพลง เรียนการแสดง จนเราเข้าประกวด จนเรามีโอกาสได้มาเล่นละคร ได้ทำให้ทุกคนรู้จักเราในฐานะ อ๊อฟ ชนะพล สัตยา

รู้สึกว่าผมรักวงการบันเทิงมาก มีความสุขในเวลาที่ได้เล่นละคร สนุกกับการได้รับบทบาทนั้น บทบาทนี้ มันท้าทายว่าผมจะทำได้หรือเปล่า มีความสุขทุกครั้งที่ได้จับบทละคร ได้อ่านไดอะล็อกละคร มันท้าทายตัวเองทุกครั้ง

กองละครเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของผม ซึ่งเขาจะดูแลผมจนจบงาน ในละครเวลาเกือบปี ผมเลยรู้สึกว่าผมอยากทำอาชีพนี้ เป็นนักแสดงต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว หรือควรจะพักตัวเอง แต่เวลานี้ผมรู้สึกว่ามีความสุขมากๆ อยากทำตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ”

อยู่มานานแต่ไม่ถูกลืม 

แม้จะอยู่ในวงการบันเทิงมา 16 ปีแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า อ๊อฟ ชนะพล นั้นมีผลงานละครอย่างต่อเนื่อง โดยบทที่ได้รับมาส่วนมากก็จะเป็นบทนำเสมอ มีเคล็ดลับ หรือวิธีอย่างไรที่ทำให้อ๊อฟอยู่อย่างยาวนานไม่ถูกลืมได้อย่างนี้ งานนี้เจ้าตัวบอกกับเราว่า 

“ผมต้องบอกว่า ผมไม่ใช่พระเอกนะ ผมเป็นนักแสดง เมื่อผู้ใหญ่ให้โอกาสผมได้เล่นในแต่ละบท ซึ่งเป็นบทนำ ทั้งบทพระเอก บทนำ ผมรู้สึกแค่ว่า มันท้าทายต้องทำให้ได้

ขอยกตัวอย่าง อย่างละครเรื่อง สายโลหิต ที่ผมมารับบท หมื่นทิพย์ ตัวร้ายที่ทุกคนจดจำภาพของพี่เจค (ศตวรรษ ดุลยวิจิตร) ได้นั้น ผมคิดเยอะมาก เพราะบทนั้นมายากมากๆ ใครจะไปเล่นแบบพี่เจคได้

คือพอพูดถึงตัวละครนี้ หน้าพี่เขาก็ลอยมาแล้ว ตอนแรกผมก็เลยไม่กล้ารับ ยอมรับว่ากลัวครับ แต่พอได้กลับไปคิดทบทวน เราก็รู้สึกว่า บทนี้เป็นบทที่ดีมากๆ นะ แล้วถ้าผมไม่เล่น คือผมยอมแพ้กับตัวเอง

บทดีๆ มาถึงแล้วไม่เล่น จะเสียดายนะ ก็เลยขอพิสูจน์ตัวเองด้วยการตัดสินใจรับบทนี้มาเล่น ซึ่งผลที่ออกมาเมื่อเราตั้งใจทำตัวละครนี้ให้ออกมาโดยที่ไม่ก๊อบปี้ใคร

งานก็ออกมาดี ซึ่งผมก็เชื่อในโอกาสที่ผู้ใหญ่ไว้ใจ เขาเชื่อใจผมว่าผมทำได้ หน้าที่ของผมคือตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุดครับ”

จากนั้นพระเอกหนุ่มก็ได้บอกถึงเคล็ดลับในการทำงานที่ทำให้เขายืนอยู่มานานได้อย่างนานถึง 16 ปีโดยไม่ถูกลืมเลือนไปให้ได้ฟังว่า 

“เคล็ดลับในการทำงานของผมก็ไม่มีอะไร ซึ่งผมต้องขอขอบคุณพี่ๆ ดัชชี่บอย ในเวลานั้นที่ผมเข้ามาคือน้องเล็กสุด ก็จะได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ ทั้งพี่น้ำ (รพีภัทร เอกพันธ์กุล) พี่เขตต์ (เขตต์ ฐานทัพ) พี่เต้ (นันทศัย พิศลยบุตร) และพี่ๆ ทุกคนที่เข้าวงการมาก่อนผม

ทุกคนจะคอยสอนให้ผมคำนึงตลอดเวลาคือ เรื่องของการรักษาเวลาในการทำงาน ผมจำได้เลย ไปกองละครครั้งแรกเจอพี่วี (วีรภาพ สุภาพไพบูลย์) พี่เขาพูดกับผมว่า

เข้ามาทำงานใหม่ๆ เรื่องที่ต้องระวังให้มากคือเรื่องเวลานะ ต้องรักษาเวลาในการทำงาน แล้วก็มารยาทในวงการ ผมเองก็ยึดตรงนี้มาตลอด ด้วยความที่ตอนนั้นผมเป็นน้อง ผมฟังแล้วจำ และก็ทำมาตลอด จนมันกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวไปโดยปริยาย

คือกลายเป็นเรื่องปกติของผมเมื่อไปกองละคร เจอทีมงาน เจอผู้ใหญ่ ผมก็ทักทาย ไหว้สวัสดี รวมถึงเมื่อผมได้รับเวลานัดหมายทำงาน เมื่อถึงเวลานัด ผมต้องพร้อม

ซึ่งตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ผมยังทำแบบนั้น บางครั้งผมถ่ายงานถึงตี 4 แล้วนัดเริ่มงานใหม่ตอน 7 โมงเช้า ผมก็ยังกลับมาอ่านบทยอมนอนน้อยลงไป 1 ชั่วโมง เพื่อให้ได้เตรียมตัว ได้อ่านบทก่อน

ผมยังทำแบบนี้มาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในวงการ จนถึงวันนี้ ผมไม่อยากทิ้งวินัยตรงนี้ ถามว่าผมทิ้งได้มั้ย มันง่ายมากเพราะความขี้เกียจมันทำได้ง่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราทิ้งวินัยตรงนี้ไปแล้ว จะให้กลับมาทำแบบที่เคยทำมันจะยากมากกว่า

ดังนั้นผมขอมั่นคงแบบนี้ดีกว่า ซึ่งผลงานที่ออกมามันก็บอกได้แล้วว่าความตั้งใจที่ทำออกไปนั้นผู้ชมเขาสัมผัสได้ การทำการบ้านทุกวัน ไปถึงกองละครแล้วเข้าฉากสามารถเล่นได้ทันที

เมื่อต้องปรับเปลี่ยนบทหน้าเซต เราก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะเราเข้าใจถึงตัวละครแล้ว เชื่อในตัวละครแล้ว จะไม่มานั่งกังวลเรื่องบทเพราะว่าทำการบ้านมาแล้ว”

พระเอกเรตติ้งปัง

ในตอนนี้ต้องบอกว่า อ๊อฟ ชนะพล เป็นพระเอกที่ทำเรตติ้งละครสูงทุกเรื่องเลย ก่อนหน้านี้ก็จาก พุบพญาเสือ ที่ทำเรตติ้งเปิดตัวสูงถึง 6.2 มาต่อที่ ปางเสน่หา เรตติ้งเปิดตัวก็ทำได้ถึง 5.2 ซึ่งถือว่าตัวเลขเรตติ้งสูงมากๆ ในยุคนี้ อ๊อฟรู้สึกอย่างไรกับความคาดหวังในเรื่องตัวเลข ซึ่งเราได้รับคำตอบว่า

“ด้วยผลงานที่ออกไป ผมต้องขอบคุณแฟนๆ มากกว่าครับที่ติดตามให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ ทุกผลงานเป็นความตั้งใจของทีมงานทุกคน นักแสดงทุกคนอยู่แล้ว ที่อยากให้ผลงานออกมาดีที่สุด

ส่วนผลที่ตามมาคือกำไรของผู้ผลิต กับงานละครที่ตัวเลขเรตติ้งผลออกมาเกินคาดตลอด ผมถึงอยากขอบคุณแฟนๆ ละครที่ติดตาม และยังตั้งฉายาให้ผมด้วยว่า เจ้าพ่อเรตติ้ง

ซึ่งผมเองก็จะรักษามาตรฐานในด้านการแสดง และจะหาจุดที่ทำให้คนดูรู้สึกว่ามีความพิเศษในการรับบทแต่ละตัวละคร จะหาเสน่ห์ของตัวละครนั้นๆ แล้วถ่ายถอดออกมาให้ผู้ชมได้ดู แล้วรู้สึกว่าอ๊อฟมีความเปลี่ยนแปลง

ส่วนความกดดันเรื่องความคาดหวัง ไม่ได้กดดันครับ ผมตั้งใจเล่นละครตามปกติอยู่แล้ว ถ้าผมเอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้มากดดันตัวเอง อาจจะทำให้การทำงานไม่สนุก แล้วทำไม่เต็มที่ ไม่อยากให้เอาตรงนี้มาเป็นบรรทัดฐาน

เพราะผมเชื่อว่าทุกคนสามารถสร้างเรตติ้งได้ ถ้าจังหวะนั้นถูกที่ถูกเวลา มีแฟนละครชอบแนวละครที่เราเล่น ตัวผมเองทำได้คือการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ตั้งใจเรียนรู้บทบาทใหม่ๆ ที่จะเข้ามาแล้วทำให้เต็มที่ครับ”

กำไรชีวิต 

เพราะอยู่ในวงการอย่างยาวนานถึง 16 ปี และก็ยังได้เล่นบทเด่นๆ เป็นพระเอกอีกคนของช่องที่เรียกเรตติ้งละครได้สูงมากๆ ถามตรงๆ อ๊อฟคิดว่าตัวเองนั้นประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้หรือยัง เราได้รับคำถามจากปากผู้ชายคนนี้ว่า 

“ตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ ผมเคยพูดว่า จะทำงานตรงนี้ 10 ปี ผมจะย้ำกับพี่ๆ นักข่าวเสมอเวลาถามผมตอนนั้น แต่เวลานี้ผมรู้สึกว่า เป็นช่วงเวลาของกำไรชีวิตผมในวงการนี้แล้ว เพราะผมได้ทำในสิ่งที่ผมรักอยู่

ผมได้เป็นนักแสดง รวมถึงยังมีแฟนๆ ที่อยากดูผลงานการแสดงของเรา ยังได้รับโอกาสจากทั้งทางช่อง 7HD และผู้จัดละครต่างๆ อยู่

ทุกวันนี้ผมอยู่ด้วยความรู้สึกที่ดีมากๆ ในวงการบันเทิงครับ อยู่ด้วยความรู้สึกที่ชอบผมทำต่อไปเถอะ ให้โอกาสผมเถอะ

ผมมองย้อนกลับไป ในช่วงแรกที่ผมเข้ามาคือการพิสูจน์ตัวตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปลักษณ์ หน้าตา การแสดง อารมณ์ ทุกอย่างคือการพิสูจน์ อย่างบทบาทที่ผมรับ

บางคนเคยถามผมว่า ทำไมไปเล่นละครเย็น ทำไมไปเล่นตัวร้าย ทำไมรับบทนั้นล่ะ คือผมมองว่าทุกบทบาทมีคุณค่า และผมเองก็ได้พิสูจน์มาเยอะทีเดียว

ผมคิดเสมอว่าทุกบทคือบททดสอบที่จะทำให้เราได้เรียนรู้แล้วก้าวไปเป็นนักแสดงที่ดีมากๆ ได้ การเป็นพระเอกแค่หน้าตาดีไม่พอ ต้องเพียบพร้อมทั้งด้านการแสดง และต้องเป็นตัวละครที่ทุกคนดูแล้วมีความสุข

ผมเองผ่านงานละครมาตั้งแต่ละครเย็น ผ่านบทตัวร้าย เป็นพระเอกกลางคืนบ้าง เย็นบ้าง สลับกันไป ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้ยึดติดนะครับ แต่ผมมองว่าผมอยากเล่นบทที่ท้าทายกับตัวเอง

ผมรู้สึกว่าอะไรที่ผ่านไปแล้วคือบททดสอบที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ผมกล้าเล่าให้น้องใหม่ๆ ที่มารู้จักกัน ผมก็จะเล่าถึงประสบการณ์จริงๆ ของผม ที่ผ่านอะไรมาค่อนข้างจะเยอะ มันเหมือนเป็นพล็อตละครเรื่องหนึ่ง ที่น้องๆ เอาไปใช้ได้”

ครอบครัวคือกำลังใจสำคัญ

แต่กว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ขนาดนี้ในช่วงแรกที่เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ก็จะเจอคนทักว่าอ๊อฟเป็นพระเอกตัวเล็ก หรือโดนข่าวฉาวสกัดดาวรุ่ง ในตอนนั้นอ๊อฟท้อบ้างมั้ย เจ้าตัวเล่าให้เราฟังว่า 

“ผมไม่ท้อครับ เพราะผมทำการบ้านเพิ่มว่า ผมจะกลบความรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร สังเกตได้จากเวลาผมเล่นละคร ถึงผมจะดูตัวเล็ก ถ้าการแสดงเราใหญ่ คนจะไม่มองถึงความตัวเล็กของเราเลย เขามองข้าม

บางคนไม่หล่อ แต่เสน่ห์การแสดงที่เขาเล่นออกมา ทำให้คนลืมไปเลยว่าเขาไม่หล่อ ผมเลยไม่ได้คิดว่า การที่ผมตัวเล็ก ผมไม่จำเป็นต้องไปปรับตรงนั้น ไม่ต้องไปเล่นเวท ให้ตัวใหญ่ ไม่ต้อง

รูปลักษณ์คือส่วนหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการแสดง ผมไม่สามารถทำให้ตัวเองสูงเพิ่มขึ้นได้ แต่ผมอยู่ในส่วนสูง 177-178 เซนติเมตร ผมพอแล้ว

ถามว่าผมเตี้ยมั้ย ผมก็ว่าไม่นะ เพียงแต่แค่ผมเป็นคนไหล่แคบ เลยทำให้ถูกมองว่าตัวเล็ก ทรงของผมแถวบ้านเรียกว่า ทรงนักมวย (หัวเราะ) คือมีกล้ามเนื้อนะ แบบลีนๆ

หรือตอนที่เจอข่าวหนักๆ ซึ่งทุกคนอาจจะยังจำได้ ช่วงแรกๆ ผมมีข่าวเรื่องเป็นเกย์เยอะมากๆ ตอนนั้นผมกำลังเริ่มเป็นที่รู้จัก เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ ผมก็ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร

บางครั้งการควบคุมอารมณ์ในการตอบคำถามยังทำได้ไม่ดี คือผมอยากพูดความจริง อยากยืนยัน ผมก็เข้าใจว่านักข่าวอยากได้ประเด็นอยากเขียนข่าว

ตอนนั้นยอมรับว่ามีความน้อยใจนะครับ กับหลายๆ อย่าง แต่กำลังใจของผมคือเมื่อผมหันไปเจอคุณพ่อ คุณแม่ผม ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดเลยว่า คนใกล้ตัวผมรู้ดีที่สุด

คุณแม่จะพูดกับผมว่า ช่างมันเถอะลูก เรารู้ตัวเราเองก็พอแล้ว จะพูดให้คนทั้งประเทศเชื่อมันเป็นไปไม่ได้หรอก เรารู้ตัวเอง รู้หน้าที่ ที่ตัวเองต้องทำพอแล้ว มันเลยเป็นจุดเปลี่ยนของความคิดที่ว่า กำลังใจที่สำคัญที่สุดก็คือคนใกล้ตัว คนในครอบครัวครับ”

รักต่างวัยกับ ฮาน่า ลีวิส

และต้องบอกว่า อ๊อฟ ชนะพล นั้นเป็นหนุ่มที่น่าอิจฉาไม่น้อย เพราะนอกจากงานจะรุ่งแล้ว เรื่องของความรักของผู้ชายคนนี้ก็แฮปปี้สุดๆ กับการปลูกต้นรักกับนางเอกสาวรุ่นน้องร่วมช่องอย่าง ฮาน่า ลีวิส

และต้องบอกว่าเลยว่าหนุ่มอ๊อฟนั้นคลั่งรักแบบจัดเต็มอีกต่างหาก งานนี้เจ้าตัวยิ้มๆ แบบเขินๆ และเล่าให้เราฟังถึงรักครั้งนี้ว่า 

“(หัวเราะ) ก็ไม่ได้ขนาดนั้นครับ คือเราก็มีความสุข ในแบบที่เราไม่ได้ปิดอะไร ผมว่านี่คือชีวิตจริง งานก็ส่วนงาน ความรักก็คือความรัก ทุกอย่างคือการดำเนินชีวิต ที่เราหาความสุขให้กับตัวเอง

แม้เราจะอายุห่างกัน เป็นรักต่างวัย แต่การปรับตัวแทบจะไม่มีครับ คือเรารู้จักกันในฐานะรุ่นพี่ รุ่นน้องในวงการ รวมถึงเคยทำงานร่วมกันมา ฮาน่าเป็นคนที่อุปนิสัยคล้ายๆ ผมมากๆ เขาเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิง คือรักสวย รักงาม

แต่ในอีกมุมเขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างลุยเลย เล่นละครด้วยกัน บางทีเข้าฉากเขาก็บอกเลยถ้ารีบไม่ต้องซับหน้าก็ได้นะ คือเขาลุย พร้อมทำงาน ตรงนี้เขาเหมือนกับผม

อีกอย่างเขาเป็นคนเรียบง่ายมาก สไตล์ของเขาคือถ้าวันสบายๆ เสื้อยืด กางเกงยีนส์คือจบ แต่เขาก็เป็นคนดูแลตัวเองดีนะครับ ผมก็เคยถามเขานะว่า อยากให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไรมั้ย

เขาก็บอกว่าไม่ต้องหรอก คือก่อนจะมาถึงวันนี้เรามีการพูดคุยกันตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเราจะเป็นอย่างไรกัน เราเข้าใจกัน และเคารพกัน”

เพราะมีแฟนเด็กกว่า งานนี้เราก็เลยถาม อ๊อฟ ชนะพล แบบตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมเลยว่า แอบหวงแฟนสาวบ้างหรือไม่ ซึ่งเราได้รับคำตอบแบบแมนๆ มาว่า

“(หัวเราะ) ทั้งหวง ทั้งห่วงแหละ คือมันก็มีบางจังหวะที่เล่นละคร ที่เราต้องคิดว่าในละครก็จะต้องมีฉากเลิฟซีนใช่มั้ย คือมันเป็นความรู้สึกแวบแรก แต่ทุกอย่างคือการทำงานผมก็เข้าใจแหละ

ส่วนเรื่องอื่นๆ ผมไม่ค่อยห่วงเท่าไร เพราะว่าเขาก็ไม่ใช่คนเที่ยว ไม่ได้เป็นคนเกเร ดังนั้นผมไม่หวงเท่าไร จะเน้นตรงห่วงมากกว่า

โดยเฉพาะเรื่องของการทำงาน เพราะเขาเป็นสายบุก สายลุย อย่างเวลาเขาเล่นละครบู๊ คือพวกอุปสรรคอะไร เราเองก็เล่นละครบู๊ ก็จะเจอมาก่อนแล้ว

แล้วเขาก็นิสัยคล้ายผมตรงที่ ถ้าต้องเจ็บคือเจ็บ ถ้าต้องลุยคือลุย บางทีอะไรที่ไม่ต้องทำก็ได้ แต่ก็ยังทำ จะห่วงตรงนี้ รวมถึงเรื่องของการเดินทาง จังหวะที่พี่ๆ ที่ดูแลเขาหรือผมไม่ได้ไปด้วย

เวลาเดินทางไกลไปถ่ายละครบู๊ ซึ่งมันก็ค่อนข้างเหนื่อย ถ้าต้องขับรถกลับเอง อย่างเอาแค่จากจังหวัดกาญจนบุรี กลับมากรุงเทพฯ ผมก็ค่อนข้างห่วงตรงนี้มากกว่า แต่ว่าก็ได้คุยกันตลอดครับ

อย่างเขาเลิกกอง 4 ทุ่มแล้วขับรถกลับเอง ผมก็จะโทรคุยเป็นเพื่อนจนให้ถึงครึ่งทางก่อน ให้รู้สึกว่าเขาไม่ง่วง ผมเองก็รู้สึกว่าเขาปลอดภัยด้วย ซึ่งผมก็ผ่านจุดนี้มาเหมือนกัน คือเข้าใจในเรื่องของการทำงาน เราก็จะซัพพอร์ตได้ในส่วนที่ซัพพอร์ตได้ครับ”

แต่แม้จะหวงแฟนสาวมากแค่ไหน แต่ อ๊อฟ ชนะพล บอกกับเราว่า หากวันหนึ่งจะต้องเลิกรากันไป เพราะไปเริ่มต้นใหม่กับอีกคน เจ้าตัวนั้นก็เข้าใจและยอมรับความจริง

“สำหรับผมในเรื่องการคบหากันถ้าใครคนหนึ่งอยากเดินออกไปจากอีกคน เพื่อไปเจอกับอีกคน ผมเข้าใจนะ ซึ่งนั่นมันก็แสดงให้เห็นว่าเรามีข้อบกพร่อง ผมยินดีและจะไม่ทะเลาะด้วย มองว่ามันน่าเบื่อและเสียความรู้สึกกันเปล่าๆ

ถ้าวันนั้นมาถึง การบอกเลิก ก็คือการบอกเลิก เพียงแต่ขอเหตุผลกับผมหน่อยว่า เป็นเพราะอะไร ขอเหตุผลกับพี่หน่อยเท่านั้น

ถามว่าน้องหวงหรือคอยเช็กผมมั้ย เรื่องนี้ไม่มีเลยครับ อย่างโทรศัพท์ผม เป็นผมด้วยซ้ำที่วางไว้เลย คืออยากดู แล้วต้องบอกแบบนี้ครับว่าตอนนี้โซเชียลของผมทั้งหมด ฮาน่าเป็นคนช่วยดูเรื่องภาพลักษณ์ จะลงรูปอะไร หรือโพสต์อะไร เขาจะมีคำแนะนำตลอดครับ

ดังนั้นผมก็วางโทรศัพท์ผมให้เขาเลย แล้วบอกว่า ลงให้หน่อยรูปอยู่ในแกลเลอรีภาพนะ เลือกเลย เขาก็จะเป็นคนคัดเลือกให้ ผมเลยรู้สึกว่าจะไม่มีอะไรต้องกังวล ผมบริสุทธิ์ใจทุกอย่างอธิบายได้ลงตัว

แต่ถามว่ามีแอบๆ ส่องมั้ย ก็มีแหละ (หัวเราะ) บางครั้งผมวางไอแพดไว้กับโทรศัพท์ ซึ่งทั้ง 2 เครื่องซิงก์ไลน์กันอยู่ อย่างเวลาผมใช่ไอแพดเปิดเพลงแล้วมีไลน์เข้ามา เขาก็เปิดเลย ผมว่ามันก็ปกติ (หัวเราะ) แล้วในเครื่องผมรูปเยอะมาก เขาก็เห็นทั้งหมดแหละครับ ทุกอย่างไม่มีอะไร”

ก่อนที่อ๊อฟจะบอกกับเรา ในวันนี้ทุกอย่างในชีวิตลงตัวและเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว ทั้งในส่วนของงาน และชีวิต ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยการได้เลือกแล้วด้วยตัวเอง ทุกอย่างคือจุดที่ทำแล้วสบายใจและมีความสุข

ผลงานละครเรื่องล่าสุด

และตอนนี้ อ๊อฟ ชนะพล ก็กำลังมีผลงานละครเรื่อง ปางเสน่หา ที่กำลังออกอากาศและโกยเรตติ้งได้อย่างมากมาย ซึ่งเจ้าตัวก็ได้พูดถึงละครเรื่องนี้ให้ได้ฟังว่า  

“หลังจากที่ละครออนแอร์ไป ฟีดแบ็กที่กลับมาดีมากๆ ครับ แฟนๆ มีคอมเมนต์เข้ามาเยอะทีเดียวว่าสนุก และแตกต่างไปจากปางเสน่หา ที่เคยเป็นละครมาก่อนหน้านี้พอสมควร

ในส่วนของการดำเนินเรื่อง ซึ่งเวอร์ชันนี้ มีความแตกต่างมากๆ ตัวละครของผมคือ พอล หรือ เพชร เป็นตัวละครที่อาจจะไม่ได้เห็นผมบู๊เหมือนหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา แต่จะเห็นในภาพของการโต้ตอบทางอารมณ์กับ ศรีตรัง (แม็กกี้ อาภา) เป็นส่วนใหญ่

อีกอย่างคือในเรื่องของเสื้อผ้า หน้าผม นักแสดงในเรื่องครับ เรื่องนี้ได้จัดเต็มจริงๆ แปลกใหม่สำหรับผมนะครับ ที่จะได้ใส่สูทเล่นละคร (หัวเราะ) เพราะส่วนมากเราจะไปละครบู๊เสียเป็นส่วนใหญ่

ก่อนหน้านี้ผมกับแม็กกี้เคยร่วมงานกันในละครอินทรีแดงครับ แต่เรื่องนั้นแทบจะไม่ได้บอกอารมณ์ความรู้สึกกันเท่าไร

ส่วนในเรื่องนี้เถียงกันทั้งเรื่องครับ (หัวเราะ) คือเราเคยเป็นปั๊บปี้เลิฟกันมาก่อน แต่เราทำเป็นจำเขาไม่ได้ ดังนั้นเราเลยได้ออกกำลังด้วยการใช้ฝีปาก ปะทะกันตลอด

ซึ่งแม็กกี้ก็เก่งอยู่แล้วครับ เวลาเข้าฉากกันก็สนุกนะครับ อีกอย่างพอลเป็นตัวละครที่มีปมหลายๆ เรื่องนะ ซึ่งผมก็ขอยังไม่สปอยล์ดีกว่า อยากให้รอติดตามกัน ว่าทำไมพอลถึงต้องออกตัวแบบนี้

เรียกได้ว่า เป็นการพลิกบทบาทไปอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างไปจากที่เราเคยเล่นมา เป็นกำไรของผู้ชมที่ได้ดูในอีกรูปแบบหนึ่ง และเป็นประสบการณ์ของผมด้วยที่ได้รับบทที่แตกต่างไปจากเดิมครับ

ยังไงผมก็ขอให้ทุกคน ติดตามผลงานของผมต่อไปนะครับ อย่างตอนนี้มีละครเรื่อง ปางเสน่หา ออกอากาศทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7HD กด 35

เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่อยากให้ติดตามกันนะครับ ส่วนใครที่อยากติดตามไลฟ์สไตล์ของผม ก็สามารถติดตามได้ที่อินสตาแกรม @chanapol_sataya ครับ”

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Varanya Phae-araya, Jutaphun Sooksamphun

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2417382
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2417382