Indigo เล่าวันวาน 3 ปีไม่มีงานจ้าง มีเพลงดังร้อยล้านวิวเปลี่ยนชีวิต


ให้คะแนน


แชร์

เป็นกลุ่มศิลปินที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มานานกว่า 3 ปี กว่าจะมีเพลงดังและเป็นที่รู้จัก สำหรับวง Indigo (อินดิโก้) ค่าย Muzik Move (มิวซิกมูฟ) ที่ประกอบไปด้วย 3 สมาชิก บลู พสิษฐ์ เอกวิไชยภัสร์ (ร้องนำ-กีตาร์), ขวัญ ขวัญชนก พันธุระ (เบส), โดนัท กานต์ชนก ม่อมพะเนาว์ (กลอง) เจ้าของเพลงดัง อาทิ ถ้าฉันเป็นเขา, แค่เราไม่ได้รักกัน, พัง, ยังคง ฯลฯ และล่าสุดกับซิงเกิลใหม่ “เส้นบางๆ” ที่ตอนนี้ยอดวิวพุ่ง 10 ล้านวิวแล้ว หลังปล่อยมา 1 เดือนกว่าๆ

ตลอดเกือบ 1 ชม. ที่บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้พูดคุยกับพวกเขาถึงวันวานวันแรกที่มารวมตัวกัน ซึ่งเป็นการรวมตัวของ บลู เดอะวอยซ์ ขวัญ อดีตสมาชิกวง Pink และโดนัท นักดนตรีอะคูสติก พร้อมทั้งเผยที่มาของชื่อวง แต่เมื่อเริ่มต้น อะไรก็ไม่ง่าย 3 ปีแรกไม่มีงานจ้าง แต่สุดท้ายมีเพลงดังร้อยล้านวิว “ถ้าฉันเป็นเขา” เปลี่ยนชีวิตของพวกเขา ทำให้ยังคงเดินทางบนเส้นทางศิลปินมาจนถึงทุกวันนี้

ที่มาของ Indigo

แม้วง Indigo เพิ่งรวมตัวทำเพลงด้วยกันมา 5-6 ปี แต่พวกเขาทั้ง 3 คนรู้จักกันมานานเกือบ 10 ปีแล้ว ซึ่งขวัญเล่าว่า “พวกเราเล่นดนตรีมาด้วยกันก่อนที่จะมาเป็น Indigo ค่ะ อย่างเพลง “ถ้าฉันเป็นเขา” ก็เป็นเพลงที่ 5 แล้ว ก่อนหน้านี้เราก็พยายามทำเพลงมาเรื่อยๆ แต่คนจะชอบคิดว่า “ถ้าฉันเป็นเขา” เป็นซิงเกิลแรกของวง” บลูเสริม “แต่จริงๆ เราทำมา 4 เพลงถึงจะมาเป็นเพลงนี้” ขวัญพูดต่อ “ซึ่งใช้ระยะเวลา 3 ปี จนเกือบจะหมดสัญญา แล้วเพลง “ถ้าฉันเป็นเขา” เป็นเพลงที่มีตอนจะหมดสัญญากับค่ายแล้ว” บลูบอก “ตอนนั้นเพลงมาพอดี ค่ายก็เลยบอกว่าต่อก็ได้ (หัวเราะ)”

ถามว่าไปรู้จักกันได้อย่างไร บลูบอกว่า “ผมเล่นดนตรีกลางคืนกับพี่ขวัญ แล้วผมก็เล่นดนตรีกลางคืนกับโดนัท ก็แยกวงกัน” ขวัญขยายความ “คือหนูอ่ะเล่นเป็นแบนด์ แต่ 2 คนนี้ (ชี้ไปที่โดนัทและบลู) เล่นเป็นอะคูสติก” บลูพูดต่อ “ผมเล่นกับฝั่งนี้ (ชี้ที่โดนัท) ผมจะร้องเพลง แต่เล่นฝั่งนี้ (ชี้ที่ขวัญ) ผมจะเป็นมือกีตาร์ ก็อยู่อย่างนี้กันมานานแล้ว” ขวัญเล่าต่อ “อยู่กันมาจนบลูไปประกวดเดอะวอยซ์ ไทยแลนด์ ซีซั่น 5 แล้วทางค่าย Muzik Move เห็นก็เลยเรียกบลูไป” บลูพูดต่อ “ตอนนั้นอยู่ทีมพี่สิงโต นำโชค ครับ แล้วโดนพี่ดา เอ็นโดรฟิน สตีลไป”

จากนั้นขวัญเล่าอีกว่า “ตอนนั้นเขาจะออกเดี่ยวค่ะ” บลูรีบพูดทันที “แต่ผมไม่ทิ้งเพื่อน แต่เพื่อนไม่ไปด้วย ก็เลยต้องดึงเอามาอยู่ในวงอีก” ขวัญพูดต่อ “ตอนแรกเขาไปเดอะวอยซ์เป็นนักร้องนำไงคะ เขาก็ไปทำเพลงของเขาแล้วแหละ ทำเพลง “ยังคง” นี่แหละค่ะ ทำไปกับพี่โอ๊ค โปรดิวเซอร์ ประมาณครึ่งเพลง เหลืออัดดนตรี พี่โอ๊คเลยให้เขาพาเพื่อนมาช่วยทำเฉยๆ หนูกับโดก็เลยไปรู้จักกันที่บ้านพี่โอ๊ค ตอนแรกก็คิดว่าแค่ไปช่วยทำดนตรีเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรค่ะ แต่บลูก็ไปคุยกับพี่โอ๊ค พี่โอ๊คบอกว่าถ้าเป็นวงโอเคมั้ย” บลูพูดต่อ “ผมก็โอเคนะ เพราะเพื่อนก็สบายๆ” ขวัญปิดท้าย “ก็เลยกลายมาเป็น Indigo ค่ะ”

ส่วนที่มาของชื่อวง Indigo ขวัญบอกว่า “พี่โจ้ มือเบสวงเบดกราวนด์” โดนัทเสริม “ตอนนั้นเขาเป็นครีเอทีฟ กราฟิกดีไซน์ของค่าย Muzik Move เขาก็เสนอมา จริงๆ มีหลายชื่อมาก ดีเบตกันเยอะแยะ” บลูบอกว่า “แต่ก็เอามาจากพวกเรานี่แหละ เป็นสิ่งที่พวกเราชอบกัน ดวงดาว อวกาศ สี ก็กลายมาเป็น Indigo” ถามว่าชื่อนี้บ่งบอกความเป็นทั้งสามคนอย่างไร ขวัญบอกว่า “อย่างที่บอกไปว่าบลูจะออกเดี่ยว เราก็เลยยึดความเป็นบลูไว้ก่อน ตอนแรกจะเป็นบลูชีท (หัวเราะ) พี่โจ้ก็เสนอว่าบลูเป็นสีฟ้า มีเพื่อน 2 คนมาผสมออกมาเป็นสีคราม ก็เลยบอกว่า Indigo ดีมั้ย เพราะดนตรีก็ดูหม่นๆ เลยเป็นชื่อนี้ค่ะ”

กว่าจะเป็นที่รู้จัก

เราถามว่าวันแรกที่ปล่อยซิงเกิล “ยังคง” เมื่อปี 2560 เป็นอย่างไรบ้าง บลูบอกว่า “ก็ตื่นเต้นนะครับ เราก็รู้ว่าเพลงแรกก็อาจจะยังไม่มาหรอก เพราะว่าเป็นเพลงแรกและวงใหม่ด้วย เขาเปิดตามบิ๊กซี แม็คโคร เซเว่นฯ ผมเข้าเซเว่นฯ ก็เฮ้ย คุ้นๆ เพลงเรานี่หว่า เดินเขินอยู่พักนึงเลยครับ เดินจนเพลงจบแล้วค่อยออกไป ไม่ซื้ออะไร (หัวเราะ) ผมก็งงว่าทำไมเพลงไปอยู่ในบิ๊กซีโลตัสได้ ในคอมเมนต์ก็จะบอกว่าฟังจากที่บิ๊กซี เซเว่นฯ หาตั้งนานว่าเพลงใคร” ขวัญเสริม “หนูรู้สึกเหมือนป๊อปปูลาร์ตามบิ๊กซี โลตัส แม็คโครมาก (หัวเราะ) เขินเลย”

บลูเล่าต่อว่าตอนนั้นยังไม่ได้มีคนรู้จักเยอะ เพราะเป็นวงน้องใหม่มากๆ ขวัญเสริมว่า “ขนาดปล่อยเพลงที่ 3 “แค่เราไม่ได้รักกัน” คนฟังและรู้จักเยอะ แต่พอไปเล่นคอนเสิร์ตคนก็อ้าว ของวงนี้เหรอ วงเดียวกับคนที่ร้อง “ถ้าฉันเป็นเขา” เหรอ ต้องขอบคุณเพลง “ถ้าฉันเป็นเขา” จริงๆ ที่ทำให้ “ยังคง” กับ “แค่เราไม่ได้รักกัน” ตามมาด้วย”

เราถามว่าช่วงที่เพลงยังไม่ดังจนเป็นที่รู้จักเหมือนทุกวันนี้ มีความกังวลมากน้อยแค่ไหน บลูบอกว่า “มีเครียดๆ ครับ แต่เราก็ต้องทำ เพราะว่ามันต้องมีสักเพลงแหละที่คนจะชอบแบบที่เราชอบ” ขวัญเสริม “มันไม่มีงานเลยด้วย เป็น 3 ปีที่พวกหนูไม่มีงานเลย ช่วงนั้นก็เล่นกลางคืนด้วย” บลูพูดต่อ “จริงๆ เราก็ยังมีงานให้เราเล่นอยู่ ยังเล่นดนตรีด้วย ก็เลยไม่ได้ซีเรียสมาก แต่พอทางนี้ดังขึ้นมา ผมก็เลยออกจากการเล่นดนตรีกลางคืนไปเลย”

ขวัญเล่าอีกว่า “ยังจำฟีลตอนที่เพลง “ถ้าฉันเป็นเขา” มาครั้งแรกตอนเราเล่นดนตรีกลางคืนได้อยู่เลยค่ะ เขาไม่รู้หรอกว่าเป็นเพลงของพวกหนู มันค่อยๆ มา เขาก็ขอมา หนูก็ตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นกว่าได้ยินเพลงตัวเองในบิ๊กซีอีก (หัวเราะ) งงมากที่อยู่ดีๆ เขาขอเพลงมา เราก็รู้สึกว่าขอให้มันมาเถอะ เราก็เดินทางกันมาแบบไม่มีอะไรเลยจริงๆ เป็น 3 ปีที่พยายามจริงๆ ค่ะ ตอนนั้นแค่เพลง 10 ล้านวิวพวกหนูก็ดีใจกันมาก แต่ไม่คิดว่าจะมาขนาดนี้ ทุกวันนี้ 200 กว่าล้านวิวแล้วค่ะ”

ถามว่าคุ้มค่าการรอคอยมั้ย โดนัทบอกว่า “ตอนนั้นผมมองว่าเป็นโอกาสมากกว่า เพราะเรายังใช้ชีวิตปกติ ยังเล่นดนตรีกลางคืนปกติ เรามีโอกาสได้ทำในส่วนสิ่งที่เราอยากจะทำ เหมือนที่ย้อนกลับไปเวย์แรกที่ปล่อยเพลง “ยังคง” เรารู้สึกว่าแค่เราได้ทำเพลงออกไปก็ดีใจแล้ว แต่ว่าตอนนั้นรู้สึกน่าจะเป็นเรื่องโชคชะตา จังหวะและโอกาสที่เหมาะสมหลายๆ อย่างจริงๆ ครับ พอปล่อยไปกระแสตอบรับดีเกินคาดไปเลย

คือเรามีมิชชั่นนึงที่ตั้งไว้ว่าเราอยากให้เพลงไปถึง 10 ล้านวิวสักเพลงนึง ตอนแรกเราหวังกับเพลง “แค่เราไม่ได้รักกัน” มันกำลังจะถึงแล้วนะ มันอยู่ที่ 8 ล้านแล้ว แล้วมันก็อยู่อย่างนั้น พี่บลูก็เลยบอกว่าขอสักเพลง 10 ล้านวิวก็ดีใจแล้ว สำเร็จแล้วตอนนั้น แต่พอเพลง “ถ้าฉันเป็นเขา” ปล่อยออกไป ใช้เวลา 3 เดือนก็เกินคาดครับ 10 ล้านวิว แล้วไหลเลยยาวๆ ครับ”

เราถามขวัญว่าวันที่เป็นสมาชิกวง Pink เคยออกอัลบั้มและประสบความสำเร็จ มาวันนี้อยู่วง Indigo ก็ประสบความสำเร็จอีกครั้ง รู้สึกยังไงบ้าง ขวัญยิ้มก่อนตอบว่า “เป็นความรู้สึกเหมือนได้ชีวิตกลับคืนค่ะ หนูไม่รู้จะพูดอะไรนะ ต้องขอบคุณ 2 คนนี้ด้วย” บลูเก๊กเสียงแบบติดตลก “ไม่เป็นไร” ถึงตรงนี้ทุกคนขำ ขวัญแกล้งมองแรงก่อนพูดต่อ “คือขอบคุณที่ให้โอกาส ขอบคุณที่ไม่ทิ้งโอกาส ถ้าวันนั้นเราไม่พยายามสู้กันต่อ แล้วเราทิ้งโอกาสกลับไปเป็นนักดนตรีกลางคืนปกติ ไม่ไหวแล้ว ไม่จับมือกันแล้ว หนูว่าวันนี้ก็ไม่มีอินดิโก้ค่ะ

ต่อให้เพลงมันไม่ดังขนาดนั้นก็ตาม แต่ถ้าเราจับมือกันไว้ มันเดินได้ค่ะ ไม่ว่าจะช่องทางไหน ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน จริงๆ อินดิโก้โชคดีที่อยู่ด้วยความไม่คาดหวังตั้งแต่แรก เราไม่ได้รู้สึกว่าปล่อยเพลงแล้วต้องดัง ไม่เคยท้อ ก็หันไปบอกน้องๆ ได้เต็มปากเลยว่าเพลงแรกเอง อย่าไปกลัว เราสู้กันมาตั้ง 3 ปีกว่าจะมีวันนี้ ถ้าเราถอยตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีวันนี้จริงๆ ไม่ใช่ว่าวันนี้พวกหนูดังนะ แต่พวกหนูมีโอกาสเล่นดนตรี แค่นี้ก็พอแล้ว การได้เล่นเพลงตัวเองมันเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ ค่ะ”

ชีวิตที่เปลี่ยนไป

เมื่อเริ่มมีเพลงดังก็มีงานต่างๆ ติดต่อเข้ามา ถามว่าชีวิตช่วงนั้นเป็นอย่างไร ขวัญบอกว่า “เปลี่ยนเลยค่ะ จากอยู่บ้านก็ไม่อยู่บ้านเลยค่ะ สมมติเราออกไปอาทิตย์นึง กลับมาแค่เปลี่ยนกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วก็ไป ตอนเพลง “ถ้าฉันเป็นเขา” เป็นแบบนั้นเลยค่ะ นอนสนามบิน กลับบ้านไม่ทัน ต้องไปนอนรอสนามบินเปลี่ยนไฟล์ท หรือเอารถตู้กลับไปให้ครอบครัวเราเปลี่ยนกระเป๋าให้ เตรียมเสื้อผ้าให้ เราทัวร์กันโหดจริงๆ อยู่กันจนไม่มองหน้ากันแล้ว ไม่คุยกันแล้ว”

บลูบอกว่า “ไม่รู้จะคุยอะไร มันไม่มีอะไรคุยกันแล้ว” ขวัญพูดต่อ “คือตื่นมาขึ้นรถ ทานข้าว เล่นดนตรี อยู่กันแบบนี้ ถ้าไม่ได้เติมพลังกันเอง 3 คน ไม่พยายามเรียกเอนเนอร์จี้คงตายเหมือนกัน เพราะเราขึ้นไปเล่นทุกวันจริงๆ กับครอบครัวก็แทบไม่ได้เจอเลย เจอกันเองบ่อยมาก หนูก็อยากกลับไปเป็นแบบนั้นเหมือนกัน พอโควิดมามันก็หายไปเลยจริงๆ”

เมื่อถามถึงช่วงสถานการณ์โควิดที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ขวัญบอกว่าเป็น 2 ปีที่ทุกคนอยู่กับแพลตฟอร์มมือถือ การเจอกันแทบจะเกือบติดลบ แต่พอเริ่มทำเพลง ทำให้รู้ว่าฟีลที่ทุกคนรอคอยมันมีอยู่จริง ทุกคนอยากมาฟังร้องสด ไม่ได้อยากดูในไลฟ์อีกแล้ว อยากเจอกัน คุยกันต่อหน้ามากกว่า ด้านบลูบอกว่าอิ่มกับการอยู่ในโซเชียล มันเหมือนเสพอยู่คนเดียว ไม่มีอารมณ์ร่วมอะไรมาก

ขวัญบอกว่า 2 ปีที่ทำเพลงในช่วงโควิด ไม่ได้ออกไปดูโลก บางทีก็ตันเหมือนกัน เราก็หาแต่ข้อมูลในโทรศัพท์ พอได้ออกมาเล่นคอนเสิร์ตและเจอคน ทำให้ได้รับพลังงานจากคนที่มาดูคอนเสิร์ตเรา ได้ยินจากพี่ๆ ดีเจที่ไปเจอที่สถานี การแลกเปลี่ยนพูดคุยดีกว่าเยอะจริงๆ บลูเสริมว่าทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย มีการปลดล็อกต่างๆ เป็นเรื่องที่ดีสำหรับวงการบันเทิง

โดนัทเสริมว่าช่วงโควิดการทำงานต้องปรับเปลี่ยนไปตามรูปแบบและสถานการณ์ ตอนที่ไม่มีโควิดก็เดินสายโปรโมตตามที่ต่างๆ ได้เล่นคอนเสิร์ต พอยุคโควิดทุกอย่างอยู่ในออนไลน์ เราเป็นศิลปินก็ต้องทำงานมากขึ้นกว่าเดิมในวิธีการที่ใหม่ขึ้นสำหรับเรา ต้องทำคอนเทนต์ต่างๆ นอกเหนือจากการเล่นดนตรี รู้สึกยากขึ้นพอสมควร เปลี่ยนวิธีการทำงานไปเลย

ขวัญบอกว่าเวลาไปเล่นคอนเสิร์ต เหมือนเราไม่ได้ไปให้พลังเขา กลายเป็นพวกเราไปรับพลังจากเขาเฉยเลย ทุกคนให้กำลังใจ เป็นรอยยิ้มให้เรา มาขอจับมือ ส่งพลังคืนเรา กลายเป็นเราเป็นคนตัวเล็กๆ ให้เขาส่งพลังให้ บลูบอกว่าทำให้มีแรงเล่นคอนเสิร์ต เราได้รับพลังตลอด โดนัทเสริม “พอเราเล่นคอนเสิร์ตเยอะๆ แทบไม่มีอะไรจะคุยกัน สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าขึ้นไปเล่นแล้วสนุกคือการเจอคน พอเล่นคอนเสิร์ตออนไลน์วันแรกจำได้เลยว่าทำตัวกันไม่ถูกเลยครับ จากที่จอยกับคนดูกลายเป็นจอยกับอารมณ์ตัวเอง ก็หงอยเหมือนกัน ปกติมีคนรีแอ็กกับเรา เราต้องรีแอ็กกันเอง”

ขวัญพูดต่อ “พอเราเป็นนักดนตรี แล้วเราอยู่บนเวทีมาตลอดเพื่อเล่นให้คนดู พอเราต้องไปเล่นให้กล้องแล้วไม่มีใครดูเรา ทุกอย่างมันเปลี่ยน เปลี่ยนความรู้สึกไปหมดเลย เราไม่รู้ว่าเราจะคุยยังไงกับใคร ต้องพูดอะไรกับกล้อง แล้วเราจะส่งพลังถึงคนแค่ไหน และมันไปอยู่ในโทรศัพท์ แต่วันนี้เราเริ่มมาออกเพลงตอนโควิดซา แค่เราขึ้นเวทีแล้วคนตะโกนอยากฟังเพลงของเรา โห…มันดีใจค่ะ มันคือพลังของพวกเรามากเลยค่ะ”

เส้นบางๆ

เราให้บลูพูดถึงเนื้อหาเพลง “เส้นบางๆ” ซิงเกิลล่าสุดของวง Indigo ซึ่งเขาบอกว่า “เป็นเส้นบางๆ ระหว่างความเป็นสถานะนึงที่ไม่เท่าแฟนและไม่เหมือนเพื่อน” ขวัญขยายความ “ก็เหมือนเป็นคนรักกันแต่มีกฎน่ะ” บลูพูดต่อ “ใช่ เป็นความรักความสัมพันธ์อีกแบบนึง เขาเรียกว่า friend with benefit ครับผม” ส่วนที่มาที่ไปของเพลง โดนัทบอกว่า “จริงๆ เราคุยกันว่าเพลงนี้เราจะนำเสนออะไรดี เพราะเพลงของอินดิโก้ทุกเพลงเล่าออกมาในมุมมองความรักหลายๆ แบบครับ

แล้วเราก็รู้สึกว่ามันมีเรื่องราวของ friend with benefit เป็นสถานะที่มันยากเกินกว่าที่จะพูดออกไป เพราะว่าเรื่องความสัมพันธ์ในมุมมองแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่สามารถจะหยิบและเอาไปพูดกับใครก็ได้ เราก็เลยมองว่าถ้าเราสามารถทำเพลงๆ นี้ขึ้นมาโดยช่วยคลายความรู้สึกของคนที่ต้องการจะพูดจะเป็นยังไง เราก็เลยเอาคอนเทนต์นี้ไปคุยกับพี่แอ้ม (อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์) นักแต่งเพลง

พี่แอ้มก็ได้ขยายความออกมาเป็น “เส้นบางๆ” ครับ เป็นเส้นระหว่างสถานะความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ไม่รู้ว่าจริงๆ เรารักกันขนาดไหน หรือมีความรู้สึกต่อกันขนาดไหน แต่ว่ามันมีเส้นแบ่งระหว่างความรู้สึกไว้ตลอดครับ” บลูเสริม “ก็คือเราไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ถ้าเกิดใครรักก่อนก็คือแพ้ครับ มีกฎกติกาแบบนี้ในความรักแบบนี้ครับ”

ส่วนเรื่องการร้อง บลูยอมรับว่าค่อนข้างจะยาก เพราะเป็นเมโลดี้ของพี่แอ้มซึ่งเป็นผู้หญิง มีความสูงนิดนึงเวลาที่ร้อง เรนจ์เพลงนี้ค่อนข้างกว้าง ช่วงแรกจะเสียงต่ำ แต่ท่อนฮุคคือเสียงสูง ต้องใช้เวลาในการปรับเสียงร้อง ในด้านดนตรี ขวัญบอกว่าจะออกมาป๊อปมากขึ้นจากหลายๆ เพลงที่ปล่อยมา “เพลงนี้คุยกันในวงเราก็อยากให้เนื้อหาเพลงเป็นแกนนำทางให้คนรู้จักเพลงนี้ เราเลยเอาดนตรีให้กลับมาเป็นเหมือน… ถ้าย้อนกลับไปฟังจะเป็นแบบเพลง “ยังคง” เพลงแรกของพวกเรา หรือเพลง “แค่เราไม่ได้รักกัน” จะเป็นแนวป๊อป แต่ยังไม่ทิ้งกลิ่นความเป็นอินดิโก้ด้วยเมโลดี้ที่ยังคงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ร็อกจ๋าค่ะ”

พาร์ตมิวสิกวิดีโอ ขวัญบอกว่าได้ผู้กำกับทีมเดิมจากเพลง “ถ้าฉันเป็นเขา” ถือเป็นผู้กำกับคู่บุญ “ก็เป็นแบบ Long Take เหมือนเดิม แต่เป็น Long Take ที่ถ่ายแต่ละวัน ในเอ็มวีจะมีตัวอักษร F W B บลูจะเป็นตัวแทนวันที่เป็นตัว F ขวัญเป็นตัว B โดนัทเป็นตัว W ทำให้รู้ว่ามันมีเส้นของความสัมพันธ์อันนี้ที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้ แต่ในทุกวันใช้ชีวิตแบบนี้ จะเป็นคนรักกันก็ไม่ใช่ คนเลิกกันก็ไม่เชิง ต่างคนต่างมีคนของตัวเองอยู่ มันมีข้อแม้แทรกอยู่ในแต่ละเรื่องราว จนตอนท้ายค่อยเฉลยว่ามันคืออะไร”

ฟีดแบ็กของเพลงที่ตอนนี้มียอดวิวในยูทูบกว่า 8 ล้านวิว หลังปล่อยเพลงมาได้ 1 เดือน บลูบอกว่า “ดีใจครับที่เพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ผมว่าทุกคนน่าจะชอบ และน่าจะฟังง่าย เข้าถึงง่าย เป็นเพลงที่ทุกคนน่าจะรออินดิโก้ด้วย คือเพลงนี้ค่อนข้างจะฟังแล้วรู้เลยว่าเป็นอินดิโก้ซึ่งมาจากเพลงช้าๆ อกหักด้วย เนื้อหาแบบนี้คืออินดิโก้แน่นอน รู้สึกดีที่ยอดวิวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

ขวัญเสริม “รู้สึกดีที่พอปล่อยเพลงนี้ปุ๊บ มันจะมีคนเอาไปแชร์กันว่าเพลงของอินดิโก้ไม่ได้มีไว้ร้องตาม แต่มีไว้ร้องไห้ ทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้ววงเราเป็นตัวแทนลัทธิคนอกหักที่มูฟออนไม่ได้ เจ็บซ้ำๆ มันมีความรู้สึกอะไรที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ แต่ใช้เพลงของพวกเราเป็นสื่อกลางค่ะ” โดนัทพูดบ้าง “ในคอมเมนต์นี่ผมนึกว่าคลับฟรายเดย์ เหมือนศาลาคนเศร้า มีคนนึงบอกว่า “ความลับของเธอ เป็นความรักของเรา” ผมอ่านแล้วโห…คำสั้นๆ แต่มันร้อยความรู้สึกครับ จริงๆ แทบทุกเพลงของอินดิโก้ พวกเราจะเข้าไปอ่านคอมเมนต์ตลอดครับ”

3 คาแรกเตอร์

ในวันที่สัมภาษณ์ บลูออกอาการดีใจเมื่อเพลง “เส้นบางๆ” ขึ้นอันดับชาร์ตเพลงแบบก้าวกระโดด จากอันดับที่ 15 พุ่งขึ้นอันดับ 4 ทำเราอดแซวไม่ได้ โดนัทได้ทีก็เม้าท์ว่า “คือเขาเป็นนักสถิติ เขาตามแบบเรียกได้ว่าทุก ชม.” ขวัญเสริม “บางทีหนูไม่รู้เรื่องนะ เขานี่แหละจะเป็นคนบอกว่าอันดับเท่าไรแล้ว” บลูพูดบ้าง “ผมจะดูตลอดว่าวันนี้ยูทูบขึ้นเท่าไรแล้ว ตอนนี้ยูทูบจะขึ้นประมาณวันละ 2 แสน” ขวัญหัวเราะก่อนพูดต่อ “เห็นมะ เขารู้ขนาดนั้น ดูสิ หนูไม่รู้เรื่องเลย (หัวเราะ)”

บลูยิ้มและบอกว่า “ผมเช็กตลอด ดูไปก็มีความสุขไป (หัวเราะ)” ขวัญแซว “ด้วยความที่เขาเป็นนักร้องด้วยแหละค่ะ เขาชอบไปดูคนมาร้องดูเอ็ตกับเขา ชอบไปดูว่าคนพิมพ์คอมเมนต์ยังไงบ้าง เขาก็จะเล่า” บลูพูดต่อ “ผมก็ไปหาคำที่เขาพิมพ์กันแล้วเอาไปพูดบนเวที เขาจะมีคำคมที่เรารู้สึกว่าแจ๋วดี ก็เอาไปใช้บนเวทีได้” ขวัญเล่าต่อ “บางทีก็ไปถ่ายทอดให้โด โดก็เอาไปต่อยอดในโซเชียลของวง”

ส่วนโดนัท ขวัญ และบลู บอกว่าเป็นไอทีของวง เป็นฝ่ายโซเชียล โดนัทขยายความว่าดูพวกแพลตฟอร์มต่างๆ “ของผมจะเป็น TikTok เพจบ้าง และก็ยูทูบ ของพี่ขวัญจะเป็นทวิตเตอร์กับไอจี” บลูบอกว่าขวัญกับโดนัทจะเป็นโซเชียลมากกว่า ขวัญบอกว่า “ถ้าแบบซีเรียสจะเป็นหนู แต่ถ้าของโดจะเป็นกว้างๆ หมายถึงว่าจับคอนเทนต์มาเล่น คุยกับวัยรุ่น ของหนูจะเป็นทางการอย่างการสัมภาษณ์ ก็จะช่วยกัน บลูก็จะหาอะไรอ่านเพื่อมาทำเพลงต่อๆ ไป” บลูบอกว่าบางทีก็ไปดูในโซเชียลบ้าง แต่สไตล์ตัวเองจะเลอะเทอะหน่อย

พอถามว่าแล้วขวัญเป็นแผนกอะไรของวง บลูกับโดนัทบอกว่าเป็นฝ่ายคอนเทนต์ มีความจริงจัง โดนัทบอกว่าถ้าในทวิตเตอร์จะเป็นแคปชั่นคำคม จริงๆ ทุกแพลตฟอร์มจะเล่นกันเอง ก็จะรู้ว่าในแต่ละแพลตฟอร์มมีความต้องการแบบไหน มีอะไรที่น่าสนใจ “อย่าง TikTok ส่วนใหญ่จะเอาคลิปเล่นสดไปลง คนก็จะดูและใช้เสียงที่เราลงใน TikTok ครับ” ขวัญเสริม “จริงๆ เรา 3 คนช่วยกันแหละ ช่วยกันทุกอัน เพื่อจะได้รู้ความรู้สึกของคนที่คอมเมนต์ ได้คุยกับพวกเขาเองจริงๆ เราจะได้จับมาทำเป็นงานของเราได้ต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ”

มิตรภาพ

พอเราถามถึงมิตรภาพตลอดเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา บลูพูดทันที “ไม่มีครับมิตรภาพ อยู่กันด้วยความลับล้วนๆ” เสียงหัวเราะดังสนั่น ขวัญย้ำ “ไม่ใช่ความรัก ความลับ” บลูพูดต่อ “ทุกคนเก็บความลับกันไว้” โดนัทแซว “ถ้าแยกจากกันน่าจะไม่รอด” ก่อนจะพูดต่อว่า “จริงๆ เราอยู่ด้วยกันมานาน อยู่ด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ ก็ขาดๆ เกินๆ ทุกคน แต่พออยู่ด้วยกันแล้วยอมรับในความขาดๆ เกินๆ กันและกันได้”

บลูเสริม “ก็พยายามถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ดูแลกันไป” โดนัทพูดต่อ “เราก็รู้สึกว่าเรามีกันอยู่แค่ 3 คน เพราะวันแรกที่เราเดินทางกันมาก็ยังไม่มีใครรู้จักเรา เราก็ยังอยู่กันมาแบบนี้ พอวันนึงที่มีคนรู้จักเรามากขึ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราเปลี่ยนไป หรือรู้สึกว่าเราดังขึ้น เราก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมด้วยกันมาตลอด ถามว่ามีทะเลาะกันบ้างมั้ย ในมุมของการทำงานคือทะเลาะกันตลอดครับ”

ขวัญขยายความ “ใช้คำว่าถ้าไม่ใช่ 3 คนนี้ที่รวมตัวกัน ใช้คำว่าไม่เป็นไรนำทางคงวงแตกไปแล้วค่ะ จริงๆ นะคะ คือเหมือน 3 คนมันยอมรับกันได้ อย่างหนูก็มีข้อผิดพลาด บลูกับโดก็มีข้อผิดพลาด ทุกคนก็มีความไม่เพอร์เฟกต์ในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในแต่ละวงจะยอมรับในสิ่งนั้นได้หรือเปล่า แต่หนูโชคดีที่อยู่ในวงที่ยอมรับกันได้มากกว่า หนูก็เลยไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ หรือความผูกพันมันคืออะไร” บลูเสริม “ฝรั่งเขาใช้คำว่าช่างมันเถอะ” ขวัญพูดต่อ “เหมือนเรามีเส้นนะ แต่เส้นเราไม่ได้กั้นกัน มันเป็นเส้นความส่วนตัว คือเข้าไปยุ่งบ้างแต่ไม่ได้ยุ่งทั้งหมด แต่ว่ารู้จักและรับรู้กันมากกว่าค่ะ”

เมื่อพูดถึงมิตรภาพที่ดีกับแฟนเพลง ถามว่าอยากบอกอะไรบ้าง บลูบอกว่า “อยากจะขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันไปไหน ยังอยู่ด้วยกันตลอดตั้งแต่ซิงเกิลแรกที่เราปล่อย ไม่มีอะไรจะพูด เราก็อยากจะทำทุกอย่างเหมือนที่เขาทำให้เรามีความสุข เราก็อยากให้แฟนคลับมีความสุขด้วยเหมือนกัน เราอาจเป็นครอบครัวกลุ่มเล็กๆ ตอนนี้เราเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มก็ขยายขึ้นเรื่อยๆ ขอให้อยู่ด้วยกันนานๆ รักกันนานๆ ครับ”

ขวัญกล่าว “สำหรับขวัญคิดว่า Indigo มันอยู่ในความโชคดีค่ะ โชคดีที่ได้ทำซิงเกิลแรกด้วยกัน โชคดีที่อย่างน้อยมีคนกลุ่มเล็กๆ ที่เริ่มติดตามเราตั้งแต่ซิงเกิลแรกมาเรื่อยๆ โชคดีที่แฟนคลับพวกเราน่ารักมากๆ เราไม่ได้เป็นศิลปินที่เบอร์ใหญ่ มีคนรู้จักมากมาย แต่โชคดีที่ทุกครั้งเรามีคนอยู่ข้างๆ และอบอุ่นเสมอค่ะ”

โดนัทพูดบ้าง “สำหรับผม ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเวลาที่เรามีคนรักเรา เราก็อยากให้ความรักตอบแทน พอเข้ามาเป็นครอบครัว ผมรู้สึกว่าเขาคือคนที่เป็นเหมือนเพื่อนเรา ญาติพี่น้องเราไปแล้ว เจอกันทักทายกัน ไม่ได้มีเส้นแบ่งระหว่างแฟนคลับกับศิลปิน ก็เลยรู้สึกว่าอยากให้ความรักเหมือนกับที่เขาให้เรามา เราจะตั้งใจทำงานของเรามาให้ดี เพื่อให้เขาเสพผลงานของเราเรื่อยๆ อยู่กับเราไปเรื่อยๆ ครับ”

ส่วนนิยามความเป็น Indigo โดนัทบอกว่า “มันก็คงจะเป็นเหมือนความเป็นครามของน้ำทะเลครับ ถ้าผิวเผินเราจะรู้สึกว่ามันสวยงาม ถ้ามองภายนอก ทุกคนอาจจะมองว่ามันเป็นสีคราม แต่ว่าถ้าลองกระโดดลงไปในน้ำจะรู้ว่าภายในสีครามมันไม่ได้มีความสวยอย่างเดียว มันมีความลึก น่ากลัว มีความดำดิ่งในนั้น”

กับการเดินทางด้วยกันตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ขวัญบอกว่าเป็นประสบการณ์จริงๆ ที่เงินหาซื้อไม่ได้ โชคดีที่ได้เป็นนักดนตรี โชคดีที่ได้ทำอาชีพนี้ “มันจะมีกี่อาชีพที่อยู่ดีๆ คนจะพร้อมใจยิ้มให้เราเป็นร้อยคน มาส่งเสียงกรี๊ดให้เรา” บลูเสริม “จะมีสักกี่อาชีพที่ได้ไปในทุกที่ในประเทศไทย คือดนตรีสามารถพาเราไปได้ทุกที่ที่เราอยากไป” ขวัญพูดต่อ “พวกหนูเป็นคนธรรมดา ถ้ายืนอยู่เราก็ไม่รู้หรอกว่ามีใครรักเราบ้าง แต่คนธรรมดา 3 คนได้ทำอาชีพนี้ก็มีคนรักเราโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ทำแต่เพลง” บลูพูดอีก “ที่สำคัญคือไปทุกที่ก็มีคนร้องเพลงเราได้ อันนี้คือดีมากที่สุดเลย”

จากนั้นขวัญบอกถึงแฟนๆ ปิดท้ายว่า “พวกหนูกำลังจะปิดอัลบั้มปีนี้ค่ะ เราจะพยายามทำให้ได้ค่ะ ปกติเราจะปล่อยซิงเกิล แต่ปีนี้เรากับค่ายคุยกันว่าไหนๆ ปีนี้เราเดินทางเข้าปีที่ 6 แล้ว มันก็นานพอสมควรที่พอจะมีอัลบั้มได้แล้ว มันตื่นเต้นมากสำหรับพวกหนู อยากปิดอัลบั้มให้ได้ อยากมี Special Things สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ จากพวกเราให้แฟนคลับที่ติดตามเรามาตั้งแต่วันแรกหรือเพิ่งติดตาม เราก็เลยเปิด Line Openchat คือ Indigo Meeting สามารถเสิร์ชได้ที่ Line Official ค่ะ ก็จะมีความพิเศษหลายอย่าง ที่สำคัญเราจะเข้าไปคุยกับทุกคนในนั้นด้วยค่ะ” บลูเสริม “เราจะมีมินิคอนเสิร์ตด้วย แต่จะเป็นเมื่อไหร่ยังไม่ทราบ แต่จะพยายามให้ได้ในปีนี้ ก็อยากให้ทุกคนติดตามด้วยครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์
กราฟิก : Chonticha Pinijrob

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2421347
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2421347