The Yers พูดตรงๆ 13 ปีวงการเพลง เหตุผลที่ไม่ชอบเล่นคอนเสิร์ตตามร้าน


ให้คะแนน


แชร์

เรียกว่าเป็นวงร็อกอินดี้ที่ฝีมือจัดจ้านอีกวงหนึ่งของเมืองไทย สำหรับ The Yers (เดอะเยอร์ส) ค่ายจีนี่ เรคคอร์ด ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่ประกอบไปด้วย 4 สมาชิกหนุ่ม อู๋ ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ (ร้องนำ, กีตาร์), ต่อ พนิต มนทการติวงค์ (กีตาร์, ร้องประสาน), โบ๊ท นิธิศ วารายานนท์ (เบส), บูม ถิรรัฐ ภู่ม่วง (กลอง)

จนถึงวันนี้พวกเขามีผลงานอยู่ในวงการเพลงมานานกว่า 13 ปีแล้ว มีผลงานเพลงดัง อาทิ เกลียด, เสพติดความเจ็บปวด, เพียงหนึ่งครั้ง, ระหว่างขับรถ, คืนที่ปวดร้าว ฯลฯ แม้จะไม่ใช่วงที่มีเพลงฮิตร้อยล้านวิว บ้างก็บอกว่าเพลงฟังยาก แต่พวกเขายังคงรักที่จะทำเพลงในแบบตัวเองเสมอ

ล่าสุดพวกเขากลับมาอีกครั้งกับผลงานอัลบั้ม “Pray” ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดที่ 4 ของพวกเขา ที่ตอนนี้ปล่อยเพลงในอัลบั้มให้แฟนๆ ได้ฟังไป 5 เพลง และปล่อยอัลบั้มเต็มทางสตรีมมิงไปเมื่อ 18 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา งานนี้นอกจากบันเทิงไทยรัฐออนไลน์จะได้พูดคุยถึงการทำเพลงอัลบั้มชุดใหม่ เราชวนพวกเขาพูดคุยถึงชีวิตการทำงานในวงการเพลงตลอด 13 ปีที่ผ่านมา รวมไปถึงเหตุผลที่ไม่ชอบเล่นคอนเสิร์ตตามร้านอาหารด้วย

วันแรกที่ฟอร์มวง

เราชวนทั้ง 4 หนุ่มเล่าถึงวันแรกๆ ที่มารวมตัวกันเมื่อปี 2546 ทำเอาทั้ง 4 คนหัวเราะดังสนั่น ต่อเริ่มเล่าว่า “จริงๆ ถ้าให้เล่าตั้งแต่แรกเลยคือทุกคนเป็นเพื่อนอู๋ครับ ก็เลยได้มาเจอกัน แต่ว่าไม่ได้เป็นเพื่อนโดยตรง อย่างบูมก็เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัย โบ๊ทเป็นเพื่อนมัธยม ผมก็เป็นเพื่อนของมือกลองอีกคน คือทุกคนรู้จักอู๋ ก็เลยมารวมกัน”

ถามว่าตอนแรกฟอร์มวงจริงจังมั้ย อู๋ตอบทันที “ตอนแรกแค่โชว์สาวแหละครับ (หัวเราะ) เราอยากเป็นเหมือนวง Slur ไง เห็นพี่เป้ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) มีสาวๆ เยอะเลยตอนไปเล่นกลางคืน อย่าให้พูด แต่พอเรารวมตัว เราสาวเยอะกว่าพี่เป้อีกครับ สาวไส้ (หัวเราะ)”

ต่อเล่าว่าช่วงแรกที่รวมตัวกันคือไปประกวดดนตรีมาแล้วแต่ไม่ติด ทุกคนเป็นเด็กประกวดหมด อู๋บอกว่าตอนนั้นไปประกวดดนตรีที่อิมพีเรียล สำโรง นั่นคือเวทีแจ้งเกิดของวง The Yers ต่อเล่าต่อว่ารวมตัวเล่นดนตรีกันแบบโนเนมประมาณ 3-4 ปี ถึงได้เข้ามาอยู่ที่ค่ายสมอลล์รูม และเซ็นสัญญาออกซิงเกิลแรกในปี 2552 ส่วนที่มาที่ทำให้ได้มาอยู่ที่ค่าย อู๋บอกว่า “ก็ส่งเพลงไปให้พี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ผู้บริหารสมอลล์รูม) ได้ฟังครับ แล้วก็ได้เซ็นสัญญา”

ช่วงที่ปล่อยอัลบั้มชุดแรกภายใต้สังกัดสมอลล์รูม อู๋บอกว่าตอนนั้นดังมาก ต่อบอกถ้าเต็ม 10 ก็ให้ 10 เลย อู๋เล่าต่อว่า “ตอนนั้นไปทัวร์กับก๊อต จักรพันธ์ เปาวลี ได้เล่นปิดให้พระมหาสมปองด้วย เป็นงานที่โคราช ตอนนั้นดังเลย (ยิ้ม)” ต่อบอกว่า “ช่วงนั้นพีกจริงๆ พีกกว่าช่วงนี้ครับ”

เมื่อย้ายมาอยู่แกรมมี่

เราถามต่อถึงวันที่ย้ายค่ายจากสมอลล์รูมมาอยู่ในค่ายจีนี่ เรคคอร์ด ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ต่อบอกว่า “ตอนนั้นเหมือนเลือกที่จะเปลี่ยนที่กันเอง เพราะว่าอยากรู้ว่าถ้าเราอยู่ในที่ที่เพลงเราสามารถไปไกลได้มากขึ้น เราจะมีแฟนเพลงเพิ่มมากขึ้นอีกเยอะมั้ย ก็เลยลองที่ใหม่ดู พอมาอยู่ที่นี่ก็เหมือนเดิมครับ จริงๆ มันก็คล้ายๆ ว่าเราก็สะสมแฟนเพลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แหละ ก็ใช้เวลาสะสม 10 กว่าปี ก็ได้แฟนเพลงประมาณนึง เพราะเพลงมันค่อนข้างเลือกคนฟังครับ”

ถามว่าประทับใจกับค่ายยังไงบ้าง ทุกคนพร้อมใจยกนิ้วโป้งให้ ต่อเล่าว่า “เอาง่ายๆ คือ ย้อนไปช่วงคอนเสิร์ต G16 เป็นช่วงที่วงเพิ่งเข้ามา ก็ได้เล่นคอนเสิร์ต G16 เลย จริงๆ ทุกคนเขาเวลคัมหมดครับ เราก็เหมือนเป็นเด็กสำหรับเขาที่เป็นรุ่นใหญ่แล้ว” โบ๊ทเสริม “มันเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ของค่ายแล้วเล่นในที่ที่ใหญ่มาก พวกเราก็ไม่เคยเล่นที่ใหญ่อะไรแบบนั้น พอเขาให้เกียรติก็รู้สึกขอบคุณมากครับ”

ส่วนเพื่อนศิลปินด้วยกัน ต่อบอกว่ามีโอกาสได้เจอกันตามงาน ถามว่าอยู่ที่นี่มา 8 ปีแฮปปี้ยังไงบ้าง ต่อบอกว่า “จะบอกว่าช่วงแรกมันไม่ค่อยมีคนเข้าใจเรา เพราะว่าเราไม่ได้มีต้นแบบที่มันคล้ายๆ วงเราที่อยู่ที่นี่ และกว่าเขาจะเข้าใจเรามันนานมากครับที่เขาจะเข้าใจว่าวงเป็นยังไง ทำงานยังไง ต้องสื่อสารออกไปแบบไหน ภาพลักษณ์เป็นยังไง ซึ่งตอนนี้มันก็มีคนที่เข้าใจเราเพิ่มมากขึ้นครับ

ตลอด 8 ปีก็ไม่ได้เชิงว่าอบอุ่นนะครับ มันเหมือนกับว่าใครที่รักเราก็อยากอยู่กับเรา ผมพูดแบบนี้ดีกว่า คนที่เข้าใจเราก็อยากทำงานกับเรา มันได้เรื่องระบบด้วยครับ อยู่แล้วสบายใจ ก็ไม่มีอะไร เราทำงานกับใครแล้วใครอยากทำงานกับเรา มันรับรู้กันได้ครับ”

เหตุผลที่ไม่ชอบเล่นคอนเสิร์ตตามร้าน

เราถามถึงเรื่องที่วง The Yers ไม่ชอบเล่นคอนเสิร์ตตามร้านอาหาร ซึ่งต่อให้เหตุผลว่า “จริงๆ ก็เป็นมาตรฐานของการทัวร์คอนเสิร์ตครับ คนดูน่าจะยืนดูมากกว่าทานข้าวแล้วดู หลายๆ วงไปเล่นตามร้านอาหารแล้วรู้สึกแบบเรานี่แหละ”

อู๋พูดบ้าง “จริงๆ ทุกวงคิดแบบเราครับ เพียงแค่เขาไม่พูดกัน แต่เรารู้สึกว่าเราควรจะพูดเรื่องนี้ เพราะว่ามันควรจะเป็นสแตนดาร์ดการเล่นดนตรีในประเทศนี้ วงดนตรีไม่ควรจะเป็นส่วนประกอบของการนั่งกินข้าว มาเที่ยว แล้วก็นัดหญิงมาและบอกว่าวันนี้มีวงนี้มาเล่นคลอให้ฟังอยู่ด้านหลัง เรารู้สึกว่าไม่ให้เกียรติคนเล่นเกินไป จริงๆ แล้วทุกวงดนตรีรู้สึกแย่เหมือนเรานี่แหละ แต่แค่เขาไม่พูด เพราะกลัวไม่มีงาน เราก็เลยพูด เราก็เลยไม่มีงาน (หัวเราะ)”

ถามว่าทุกวันนี้ยังทำตามเจตนารมณ์มั้ย คือไปเล่นคอนเสิร์ตที่คนซื้อบัตรเพื่อตั้งใจเข้าไปดูดนตรี อู๋บอกว่า “เอาจริงๆ คือเลือกไม่ได้หรอกครับ เราก็เล่นไปตามสถานการณ์ครับ ถ้าเขาให้เกียรติเรา เราก็เต็มร้อยกับเขาครับ ถามว่ามีที่ไหนที่เล่นแล้วประทับใจ มันคละกันไปครับ คือเหตุการณ์แบบนั้นมันมีอยู่แล้ว แต่เราจำไม่ได้ว่าที่ไหนครับ”

ต่อเล่าบ้าง “ช่วงทัวร์แรกๆ เราไม่เคยเล่นที่ จ.มหาสารคาม อันนั้นน่าจะเป็นที่แรกๆ ที่รู้สึกสนุก” โบ๊ทเสริม “มันหลากหลายมากกว่า บางทีไปเล่นที่ต่างประเทศเหมือนกัน มันก็ดีคนละแบบ” บูมเสริม “ถ้าเราไปถูกที่ ทุกอย่างก็โอเคครับ ก็ราบรื่นครับ” ต่อพูดต่อ “ผมว่าวงมีเจตนารมณ์ที่จะไปเล่นค่อนข้างซีเรียสกว่าวงอื่นๆ เราอยากเล่นเพื่อให้คนมาดู มันก็เลยดูซีเรียส ดูเลือกที่ที่จะไปเล่นมากกว่าวงอื่น”

อัลบั้มล่าสุด

ต่อพูดถึงการทำงานครั้งใหม่ กับอัลบั้มชุดที่ 4 “Pray” ไว้ว่า “อัลบั้มนี้ชื่อ Pray แต่ว่าไม่ใช่ชื่อแรกที่เราตั้งครับ” ด้านอู๋เผยเหตุผลที่ใช้ชื่อนี้ว่า “ก็มาจากการภาวนาครับ อัลบั้มนี้มาจากการภาวนาขอพรเพื่อให้ได้เพลงมาครับ” ต่อเสริม “คือพี่อู๋นับถืออิสลาม เขาก็เลยขอให้ได้อัลบั้มนี้ แต่งเพลงให้ได้ครบอัลบั้ม เพราะว่าก่อนหน้านั้นคิดไม่ออก พอขอก็ได้เพลงเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ”

ส่วนเพลงในอัลบั้มที่ปล่อยไปแล้ว 5 เพลง ตำรับยา, ล้างแค้น, ถูกเวลา, พร้อมยอมตาย ปริศนา ต่อเล่าถึงเพลงแรกไว้ว่า “เพลงแรกคือ “ตำรับยา” ครับ เป็นเพลงแรกซึ่งปล่อยเมื่อปีที่แล้วครับ เป็นเพลงที่เกี่ยวกับอยากจะลืมใครสักคนนึง ก็เลยคล้ายๆ ว่าอยากจะลองใช้ยาดู แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ลืม” บูมเสริม “จริงๆ แล้วมันคือเนื้อหาเกี่ยวกับการทำให้ลืมใครแล้วใช้ยามันไม่ได้ช่วยน่ะครับ”

จากนั้นต่อพูดถึงเพลงอื่นๆ ว่า “เพลงที่ 2 “ล้างแค้น” ก็เป็นเพลงช้า ส่วนเพลงที่ 3 เป็นเพลงช้าเหมือนกัน “ถูกเวลา” เพลงที่ 4 เป็นเพลงเร็ว “พร้อมยอมตาย” ครับ” อู๋ขยายความ “ล้างแค้นเป็นเพลงที่เวลาเราไม่พอใจใคร ไม่รู้จะเอาคืนยังไงก็เอาไว้ก่อน เดี๋ยวถึงเวลาก็เอาคืนเขา ส่วนเพลงที่ 3 คือขอแฟนแต่งงานในแคมปิ้งครับ เราไปแคมปิ้งแล้วอยากขอแฟนแต่งงาน ก็เลยมาเป็นเพลงนี้

เพลงที่ 4 “พร้อมยอมตาย” เหมือนการหาใครสักคนนึงให้เจอ เราไม่รู้จะเจอมั้ย แต่พร้อมที่จะเสียสละชีวิตเมื่อเราได้เจอคนคนนั้นครับ ส่วนเพลง “ปริศนา” เป็นเพลงที่พูดถึงการลืมใครสักคนนึง เราจะทำยังไงดี เราก็คิดว่าตายดีกว่า แต่ว่าตายแล้วเราจะลืมเขาได้จริงๆ เหรอก็ไม่รู้ครับ ก็เลยเป็นปริศนาครับ”

ปล่อยมา 5 เพลงฟีดแบ็กเป็นไงบ้าง อู๋ตอบขำๆ “แย่ครับ” สมาชิกคนอื่นๆ หัวเราะ ต่อตอบ “ก็โอเคระดับนึง ได้ประมาณนึง ไม่ได้โด่งดังอะไร” อู๋ตอบอีก “แฟนเพลงก็หายไปเยอะครับ เพราะว่าฟังไม่รู้เรื่อง บอกว่าชอบอัลบั้มแรกมากกว่า ส่วนใหญ่แฟนเพลงจะพูดแบบนี้ครับ เขาบอกว่าโห ฟังยากจัง ดีครับ เขาพูดตรงดีครับ อันนี้คือถ้าคาดหวังจะให้ผมตอบว่าฟีดแบ็กดีๆ เนี่ย ผมว่าธรรมดาไปครับ (ยิ้ม) เรามาคุยความจริงกันดีกว่า” พอถามว่าฟังยากคือยังไง บูมบอกว่า “เขาบอกว่าเพลงเข้ามานาทีนึงแล้วไม่ร้องสักที เพลงฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง”

แม้หลายคนบอกว่าเพลงฟังยาก แต่ก็พอใจกับผลงานตัวเอง ซึ่งต่อบอกว่า “จริงๆ แฮปปี้ตั้งแต่ตอนทำ เพราะว่าเป็นอัลบั้มที่ขลุกตัวอยู่กับเพื่อนในช่วงทำอัลบั้ม ตั้งแต่แต่งเพลง คิดเพลง ช่วงอัดเพลงครับ มันก็เลยไม่ได้คาดหวังว่าจะดีมาก เพราะเราแฮปปี้ตั้งแต่ทำเพลงแล้ว” บูมบอก “อย่างที่เพื่อนบอกเลยครับ เห็นด้วยครับ”

การทำเพลงยุคโควิด

ทำอัลบั้ม 4 ชุด กดดันมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ต่อบอกว่า “จริงๆ เพลงมันก็พัฒนาด้วยประสบการณ์ของเราอยู่แล้ว ไม่ได้กังวลว่ากลัวแฟนเพลงไม่ชอบ เรามีความรู้อะไรก็ใส่ไปหมดอยู่แล้ว ไม่ได้กดดันนะ สนุกมากกว่า” ส่วนความคาดหวังกับอัลบั้มชุดนี้ อู๋บอกถึงความฝันของตัวเอง “ก็อยากจะไปเล่นที่เมดิสันสแควร์การ์เด้น น่าจะสนุกดีครับ” บูมพูดบ้าง “อยากไปเล่นโคเชลลาด้วยครับ (ยิ้ม)”

ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ต่อบอกว่า “จริงๆ ผมว่าไม่น่าตื่นเต้นแล้วครับ คือเพลงมันเสร็จ 2 ปีได้แล้ว มันก็เลยรู้สึกว่ามันรอปล่อยของมากกว่า ไม่ได้แบบโห…ตื่นเต้นจัง มันถูกดันมาตั้งแต่ช่วงนั้นแล้ว มันก็เลยเออ…น่าจะรอลุ้นมากกว่า ไม่ได้ตื่นเต้นมากครับ ถามว่าทำเสร็จตั้งแต่ก่อนโควิดมั้ย คือช่วงโควิดเราก็ทำอัลบั้มเสร็จไวมาก ตั้งแต่โควิดช่วงแรกเลยครับ มันก็เลยเหมือนถูกเลื่อนมาเรื่อยๆ ก็เลยเฉยๆ แต่ตื่นเต้นอยากเจอแฟนเพลงมากกว่า” บูมเสริมว่า “สถานการณ์ตอนนี้มันดีขึ้น ได้เจอแฟนเพลงมากขึ้นครับ”

กับคำถามโควิดส่งผลกระทบมากแค่ไหน อู๋ตอบ “ก็กินมาม่าครับ (หัวเราะ)” โบ๊ทบอก “ก็…ใกล้ๆ กับคำว่าล่มสลายครับ” เสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ในวงดังสนั่น โบ๊ทพูดต่อ “ก็ในแง่ของจิตใจครับ ไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตไง (ยิ้ม) ส่วนรายได้ก็กระทบมากๆ ครับ” บูมเสริม “ตอนนี้ก็ได้กินมาม่าที่ดีขึ้นมาหน่อย กิน 2 ซอง (ยิ้ม)”

การทำเพลงในยุคนี้ยากมั้ย แม้สถานการณ์จะดีขึ้นแล้ว อู๋บอก “อุปสรรคผมน่าจะเป็นโซเชียลมีเดียนี่แหละ เฟซบุ๊กก็ปิดกั้นอยู่ได้” ต่อเสริม “เออ…เหมือนหลังๆ โซเชียลมีเดียมันใช้ยากขึ้นนะ คือใช้ให้มันเห็นผลยากขึ้น” อู๋พูดต่อ “แล้วมันก็บวกกับต้องมานั่งเล่น TikTok อีก เสียเวลาชีวิตมากเลยครับ เล่นเพราะโดนบังคับให้เล่น วงเราก็มี TikTok นะครับ คลิปที่โด่งดังคือคลิปที่คุณโบ๊ทโคฟหนัง 4 Kings ลองไปดูกันได้ที่ @theyerstheyers ครับ”

13 ปี

เมื่อให้รีวิวการทำเพลงตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ต่อบอกว่า “เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ เดินไปไหนใครก็คิดว่าแก่แล้ว” บูมยอมรับความจริง “ก็แก่ขึ้นน่ะแหละ” อู๋พูดบ้าง “คือเราอยู่ในช่วงที่เริ่มมีคนพูดประโยคนี้กับเราเยอะมาก เช่น หนูเป็นแฟนเพลงพี่ตั้งแต่ ม.3-4 จนตอนนี้หนูทำงานแล้วก็ยังฟังอยู่ ที่พีกมีคนบอกว่ามีเพื่อนชวนไปดูคอนเสิร์ต แล้วเพื่อนก็บอกว่าไปๆ เดี๋ยวไปประชุมผู้ปกครองก่อน นี่คือผลลัพธ์ของการอยู่ในวงการมา 13 ปีครับ ถามว่ารู้สึกยังไง ก็รู้สึกแก่สิครับ (ยิ้ม)” เมื่อบอกว่าน่าจะรู้สึกดีที่มีแฟนๆ ติดตามผลงานมานานมากกว่า อู๋บอกทันที “แต่น่าจะหายไปเยอะอะ ดูทรงแล้ว (หัวเราะ)”

ถามว่าประทับใจกันและกันยังไงบ้างตลอด 13 ปี โบ๊ทบอกว่า “ผมมองว่าพวกเราค่อนข้างอึดนะ อึดมากที่ยังอยู่ในวงการนี้กันได้ ผมประทับใจเรื่องนี้มาก” อู๋เสริม “คือไม่มีจะกินก็อยู่กันได้ครับ” ต่อพูดทันที “อันนี้คือใช่เลย” โบ๊ทพูดต่อ “มีเรื่องต่างๆ เยอะ แต่เรายังฝ่าฟันมาได้ครับ” ต่อเล่าบ้าง “ของผมน่าจะเรื่องเพื่อนนี่แหละครับ เพราะว่าพออยู่กันเกิน 10 ปี มันจะมีความเข้าใจโดยไม่ต้องพูดกันแล้ว ด่ากันก็คือด่าเลย”

บูมบอก “แล้วมันจะพัฒนาเป็นความรัก (หัวเราะ)” อู๋พูดบ้าง “เรา 4 คนไม่ได้แบบเจอหน้ากันแล้วกอดคอกัน ซาบซึ้งใส่กัน เราไม่ค่อยมีความประทับใจซึ่งกันและกันขนาดนั้น เราทำงานเพลงด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกันเฉยๆ ครับ” ต่อบอก “เวลาเจอหน้ากัน พยักหน้า 1 ทีก็ซ้อมเลย (ยิ้ม)”

กับความรู้สึกที่มีต่อแฟนๆ ที่ติดตามผลงาน ต่อบอกว่า “เราทำเพลงเพื่อออกมาเจอพวกเขาเหล่านั้น” โบ๊ทเสริม “และชื่นชมว่าพวกคุณเองก็อึดไม่แพ้พวกผม คนที่ยังเป็นแฟนเพลงที่ติดตามมาตั้งแต่แรก คุณอึดเช่นกันครับผม ขอบคุณมาก หวังว่าจะได้เจอกันตลอดไป”

อู๋ขอพูดด้วยคน “ส่วนผมอยากฝากให้แฟนเพลงรุ่นเก่าๆ ที่ติดตามกันมานานให้เปิด notification ของเพจวงให้เป็น See First ด้วยนะครับ เพราะบางคนชอบเข้ามาคอมเมนต์ว่าโห…อัลบั้มใหม่ผมชอบมาก 4 เพลงที่ปล่อยมา แต่ความจริงคือเราปล่อยมา 5 เพลงแล้ว อยากจะให้กดให้หน่อย และฟอลโลว์ TikTok ด้วยนะครับ” จากนั้นบูมขอบคุณแฟนๆ ว่า “ขอบคุณที่ติดตามมา 13 ปีนะครับ” ต่อยิ้มก่อนพูดว่า “ขอบคุณคนที่ยังอยู่ครับ ขอบคุณคนที่ยังชอบเราอยู่ ขอบคุณคนที่เพิ่งจะมาตาม เลยอยากขอบคุณที่มีพวกคุณครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Genie Records
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2429062
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2429062