กุ้งพลอย เปิดใจน้ำตาคลอ เผยมีปัญหากับ หนุ่ม ศรราม เพราะคนกลาง


ให้คะแนน


แชร์

ล่าสุด กุ้งพลอย ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับ หนูแหม่ม สุริวิภา ในรายการ โต๊ะหนูแหม่ม พร้อมยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยมีปัญหากับ หนุ่ม ศรราม เพราะคนกลาง และคนกลางที่ว่าคือใครกันแน่

เคลียร์ดราม่าทุกประเด็น?

“ชีวิตหนูเจอดราม่าเป็นเรื่องปกติแล้ว เริ่มตั้งแต่แต่งงานมาก็เกิดดราม่าขึ้นแล้ว ช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่ชิน แต่อยู่ไปนานๆ ก็เริ่มชินเริ่มปลงแล้วเพราะรู้ว่าอยู่ตรงนี้ก็ต้องเจอดราม่าอยู่แล้ว คือเราต้องอยู่กับมันให้ได้”

ประเด็น ATK คืออะไร ใครเป็นคนตั้งกฎ?

“จริงๆ แล้วการ ATK ไม่ต้องตั้งกฎก็ได้ พ่อแม่ต้องคำนึงและทำอยู่แล้วถ้าเรารักลูก และการตรวจ ATK เป็นสิ่งที่เรายินยอมและเรารับรู้อยู่แล้วทุกครั้งที่เจอวีจิ และคนที่ติดตามเราไปทุกครั้งเค้าก็ตรวจเหมือนกับเราทุกครั้ง แต่เพราะการสื่อสารผิดพลาดทำให้เกิดดราม่านี้ขึ้นมา เนื่องจากเราไม่คุยกันเอง มีคนกลางเป็นทางผ่านทำให้เราเกิดการเข้าใจผิดกันได้ แต่ถ้าเราคุยกันเองเหมือนคู่อื่นๆ ที่เลิกรากันไปแล้วเรายังสามารถคุยกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ได้”

ทุกวันนี้คุยกับพี่หนุ่ม ศรรามยังไง?

“ก็ต้องคุยผ่านคนกลางอย่างเดียวไม่สามารถยกหูหาได้เลย หรือไม่ก็ผ่านพี่เลี้ยง ผ่านพี่อ๊อฟที่เคยเป็นทนายของพี่หนุ่ม เรียกได้ว่าตอนนี้ก็เป็นพี่ชายของเขา”

เหมือนจะจบแต่ไม่จบเพราะเราเลือกที่จะโพสต์ F… off?

“เวลาที่หนูจะอยากจะทำอะไรหนูไม่ค่อยมีภาพ หนูจะเรียลพอรู้สึกว่านี่คือตัวตนของหนู และหนูมีมุมที่น่ารักและอัปลักษณ์ของตัวเอง แต่หนูโชคดีอยู่อย่างหนึ่งว่า หนูเป็นอะไรแล้ว หนูยอมรับในสิ่งที่หนูเป็น หนูมีหลายความรู้สึกทั้งเสียใจและน้อยใจแต่ไม่โกรธค่ะ”

ถ้ามองไปที่ลูกเราจะเสียใจน้อยลงไหม?

“ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาหนูทำแบบนั้นตลอด เป็นแม่ที่ยอมและอดทน หนูอดทนเพื่อลูกทุกอย่างสิ่งอื่นใด แต่ไม่เคยเอาไปเปรียบกับแม่คนอื่นเลย หนูขอเปรียบกับความรู้สึกของคนใจร้อนคนหนึ่ง และต้องทนอะไรหลายอย่าง หนูต้องรักษาสุขภาพจิตใจ โดยเป้าหมายของหนูคืออยากให้ลูกกลับมาย้อนดูอะไรหลายๆ อย่างและไม่รู้สึกผิดหวังกับแม่”

เจอลูกสองครั้งต่อหนึ่งเดือนพอไหม?

“หนูเคยรู้สึกว่าหนูอยากเรียกร้องมากกว่านี้ หนูอยากกอดลูก หนูอยากมีโอกาสไปส่งลูกที่โรงเรียน เรียกร้องแบบนี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยสักครั้ง เพราะหนูยังไม่ได้รับอนุญาต และหนูก็ไม่อยากทำเพราะมันจะเป็นการก้าวก่ายซึ่งมันทำให้หนูมีโอกาสได้เจอลูกน้อยลง”

ไม่กลัวว่าบาดแผลของเราจะกลายไปเป็นบาดแผลของลูกบ้างหรอ?

“หนูกลัวค่ะ สิ่งที่หนูกลัวมันอาจจะทำให้คุณภาพชีวิตทุกอย่างลดหายลงก็ได้อีกมุมนึง แต่ถ้าเรามองอีกมุมนึงค่ะคุณภาพของเราและชีวิตลูกมันอาจจะลดลงก็ได้”

ทุกวันนี้เจอลูกเดือนละสองวันทำกิจกรรมอะไรร่วมกันบ้าง?

“มีทุกอย่างค่ะ คือหนูตักตวงความสุขจากวันที่ได้เจอลูกน้อยมากๆ เลย และหนูก็เสพความสุขตรงนั้นกลับไปให้มีพลังสู้กับชีวิต พอถึงเวลาที่เราจะต้องกลับบ้านเราก็ต้องแข็งแรง ส่วนตัวลูกหนูก็คิดว่าเขาก็น่าจะมีความสุขที่สุดแล้วเพราะเขาได้เล่นและเขามีความสุข ตอนนี้พัฒนาการของลูกก็คิดว่าลูกหนูสามารถจะโกอินเตอร์ได้แทนลูกได้เล่นบทบู๊”

จะรออีกนานไหมที่จะได้เจอลูกและจะรอแบบไหนให้หัวใจเรามีความสุข?

“ทุกวันนี้หนูพยายามให้เรามีความสุขในทุกวัน เมื่อก่อนหนูกักตัวเองเกือบสองปีแต่ในห้องให้ตัวเองทำขนมขายเสื้อผ้าขายชุดว่ายน้ำไม่ออกไปไหนเลยเพราะกลัวสังคมภายนอก ไม่เคยโกรธที่จะโดนบูลลี่ที่จะโดนด่า

หนูมีเพื่อนรอบข้างที่บอกกับหนูว่าให้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ต้องออกจากคอมฟอร์ตโซนเพราะไม่งั้นวันข้างหน้าเราจะดิ่ง หนูรับฟังเพราะอาการของหนูตรงกับที่เค้าบอกทุกอย่าง และหนูก็เลือกที่จะออกมาจากคอมฟอร์ตโซนตรงนั้น”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2433236
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2433236