ไอซ์ พาริส กับชีวิตใหม่วิถีฟรีแลนซ์ ทำงานทุกอย่างเพราะอยากให้แม่สบาย


ให้คะแนน


แชร์

อยู่ในวงการบันเทิงมานาน มีงานให้แฟนๆ ติดตามไม่ขาด และยังมีผลงานสุดฮิตมามากมาย สำหรับ ไอซ์ พาริส อินทรโกมาลย์สุต ต้องบอกเลยว่าเขามีเสน่ห์รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์การร้องเพลง การเต้น การแสดง รวมถึงรูปร่างหน้าตาที่ได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มในฝันของสาวๆ หลายคน

ไอซ์ พาริส เด็กหนุ่มวัย 23 ปีคนนี้ เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัว และคนรอบข้างมีความสุข แม้ว่าจะเคยผ่านเหตุการณ์สุดเศร้าที่สุดในชีวิตมาแล้วก็ตามที ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ตัวเขาเองเริ่มคิดได้ว่า ถ้าเราไม่รีบลงมือทำ สิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย คือการที่เราไม่ได้ทำขณะยังมีชีวิตอยู่ 

โดย ไอซ์ ได้พูดคุยกับ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ถึงชีวิตของเขาในตอนนี้ ที่กำลังแฮปปี้และมีความสุขกับสิ่งที่ทำมาก แม้ว่า ค่ายนาดาว บางกอก สังกัดเดิมจะปิดตัวลง ไอซ์ ก็ได้หันไปเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เพื่อดูแลงานทั้งหมดของตัวเอง ซึ่งตอนนี้กำลังไปได้สวยเลยทีเดียว

อีกทั้งเขากำลังมีภาพยนตร์เรื่อง บุพเพสันนิวาส 2 ซึ่ง ไอซ์ บอกว่า เป็นหนังที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตที่ได้เป็นนักแสดงหลักของเรื่อง ในขณะที่นั่งดูเอ็นเครดิต พอเห็นชื่อของตัวเองน้ำตาก็ไหลออกมา ซึ่งมันคืออีกหนึ่งความฝันและความภาคภูมิใจของตัวเอง

เริ่มที่คำถามแรก เราขออัปเดตชีวิตตอนนี้ของ ไอซ์ พาริส เป็นยังไงบ้าง ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า 

“แฮปปี้ครับผม เพราะว่าจริงๆ เราก็ยุ่งอยู่เหมือนกันช่วงหลังมานี้ เหมือนงานมันกลับมาอย่างเต็มสตรีม และเราก็เป็นฟรีแลนซ์แล้ว ไม่ได้อยู่ค่ายแล้ว อยู่คนเดียว ถามว่าแฮปปี้มั้ย แฮปปี้ครับ เหนื่อยอยู่ พอได้ลงมาทำเป็นฟรีแลนซ์จริงๆ มันมีอะไรอีกเยอะมากมาย ซึ่งตอนแรกเราไม่เคยรู้เลย ต้องขอขอบคุณพี่ๆ ทุกคนที่เคยทำให้เรามาโดยตลอด พี่ทำได้สุดยอดมาก”

“มาตอนนี้ก็ทำเองหมดเลย พี่ผู้จัดการก็คนเดิมจากนาดาว ทีมงานเองก็แทบจะทุกคนที่เคยทำงานมาด้วยกันก็มาช่วยครับ แต่ว่าทีนี้เราต้องลงมาดูทุกอย่างเลยครับ”

เปิดบริษัท Ice Paris Entertainment หลัง นาดาว บางกอก ปิดตัว

ไอซ์ เผยว่า ตอนนี้เขาได้เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะดูแลงานของตัวเองทั้งหมด 

“จริงๆ มันก็ไม่เชิงเป็นบริษัทเพลงหรอกครับ คือจริงๆ ผมมีบริษัทนี้อยู่แล้ว และเราก็เหมือนเอาบริษัทนี้มาเปิดเป็นออฟฟิเชียลไปเลย เป็นทั้งเพจ เป็นทั้งเหมือนตัวที่ทำทุกๆ อย่างครับผม ก็เป็นเหมือนค่ายของเราไปเลย ก็เหมือนเอามาแทนชื่อของ นาดาว”

ทำไมถึงเลือกที่จะทำบริษัทเพลงเอง ทำไมถึงไม่เลือกที่จะไปอยู่ค่ายเพลงอื่น?

“จริงๆ เราเคยคิดเหมือนกันนะครับว่าจะไปอยู่ค่าย จริงๆ บริษัทนี้ของผมมันไม่ใช่เพลงซะทีเดียว ยังเป็นงานแสดงของเราด้วย รับทำงานทุกๆ อย่างเลย จริงๆ ก็เคยเหมือนกันนะครับ ว่าเราจะไปอยู่ที่อื่นดีมั้ย แต่ด้วยความที่ นาดาว มันยูนีกมาก และเป็นบ้านหลังแรกของเรา และเรารู้สึกว่าผูกพันและเราก็รักมาก

พอถึงจุดหนึ่งที่ว่าเราโตขึ้นแล้ว เรารู้สึกว่าเราก็เห็นพี่ๆ ในนาดาวเป็นไอดอลเหมือนกัน เราก็รู้สึกว่าเราอยากลองทำของตัวเองดูบ้าง เราอยากสร้างอะไรที่มันเป็นของเราจริงๆ เรารู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งมันออกไป แล้วมันเซตได้แบบเป็นระบบทุกๆ อย่าง มันเป็นเราจริงๆ ผมรู้สึกว่าเราน่าจะแฮปปี้มากๆ ผมภูมิใจกับมันมากๆ”

“ส่วนอีกบริษัทนั้นผมทำร่วมกับเพื่อนๆ ครับ อันนั้นก็จะเป็นโปรดักชั่นครับ ชื่อว่า Maxmotive คือบริษัทนี้เริ่มช่วงอายุ 22-23 เพื่อนๆ ผมเพิ่งเรียนจบพอดี แล้วเราเพิ่งมาเห็นว่ามีเพื่อนทำงานสายนี้กันหมดเลย และเราลองชวนกันมาดูว่าเราอยากทำสิ่งนี้กันมั้ย มาทำโปรดักชั่นกันมั้ย

เพราะว่าหลังๆ ผมก็สนใจงานเบื้องหลังเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าเราเอนจอยกับมัน เราก็เลยลองชวนเพื่อนๆ มาทำดูครับ ถ้าใครอยากได้ภาพสวยๆ ไม่ว่าจะเป็น MV โฆษณาหรือว่าหนังก็ตาม ก็ติดต่อเข้ามาได้ครับ”

ทำงานร่วมกับช่อง 3 ครั้งแรก

“สนุกมากครับ เป็นการเปลี่ยนทีมทำงานใหม่หมดเลย คือละครเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมลองเหมือนกันนะ เพราะผมก็ไม่เคยลงไปทำงานละครอย่างจริงจัง ผมเคยเล่นละครกับช่องวัน 1 รอบ แต่ก็ยังเป็นช่วงที่อยากลองอยู่ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมอยาก เพื่อหาว่าเราชอบอะไรกันแน่ ก็เลยลองกันไปอยู่

และมีเรื่องนี้ติดต่อเข้ามา ก็น่าสนใจอยากลอง พี่โบว์ เมลดา เราเคยเจอกันอยู่บ้างในตามแฟชั่นโชว์ แต่กับพี่เจมส์ จิรายุ เรายังไม่เคยเจอกันเลย คิดอยู่ว่าจะเป็นยังไงนะ สรุปแล้วพอไปก็เป็นคนบ้าพอๆ กัน (หัวเราะ) เหมือนเป็นคนบ้า 3 คนมาเจอกัน ก็เฮฮาปาร์ตี้

พี่โบว์เขาก็เหมือนที่เราเห็นกันในสัมภาษณ์นี่แหละครับ ส่วนพี่เจมส์จิเขาก็มีความเป็นเด็กของเขา ผมก็แบบไม่คิดว่าพวกพี่จะเป็นแบบนี้ แต่เป็นแบบนี้ก็ดี เราไปก็เฮฮาสนุกสนาน ด้วยความที่ละครเรื่องนี้เป็นของ พี่แอน ทองประสม ด้วยครับ พี่แอนเป็นผู้จัด และผู้กำกับคือพี่แอ้ว ซึ่งพี่แอ้วเขาดีมาก เขาแคร์นักแสดงมาก เขาช่วยทุกอย่างเลย

พี่แอนก็ดูแลดีมาก เขาบอกว่า เขาเป็นห่วงเรามาก เห็นไอซ์ไม่ค่อยลงละคร ก็จะคอยมาดู มาเทคแคร์ตลอด รู้สึกแฮปปี้ครับ บรรยากาศทั้งหมดมันน่ารักมากครับ ตอนแรกเราคิดว่าเราต้องปรับตัวเยอะ ปรากฏว่าพอไปถึงทุกคนก็น่ารัก การทำงานก็ไม่ได้ต่างกันมาก เลยรู้สึกว่าโอเค”

ยกให้คุณแม่เป็นกำลังใจหลักของการทำงาน

“กำลังใจในการทำงานของเราหลักๆ น่าจะเป็นคุณแม่ครับผม คือด้วยความที่เขาเป็นจุดเริ่มต้นอยู่แล้ว เพราะว่าตอนนั้นคุณพ่อเสีย แล้วคุณแม่เนี่ย ตั้งแต่ผมเกิด เขาเลิกทำงานเพื่อมาเลี้ยงลูก แล้วพอคุณพ่อเสีย เขาต้องกลับไปทำงาน ความที่เราอยู่มาตอนนั้นอายุประมาณ 18-19 เราอยู่มา 18-19 ปี เราไม่เคยเห็นแม่ทำงานมาก่อนในชีวิตเลย

เรารู้สึกไม่ชินและไม่ชอบด้วย เราอาจจะไม่ชอบเพราะว่าเราเห็นและเรารู้ว่าเขาไม่ได้แฮปปี้ขนาดนั้น เราเห็นและเรารู้ว่าเขาไม่ได้เอนจอยกับการทำสิ่งนี้ เขาต้องลงมาทำงานที่เขาไม่ได้อยากทำ เพื่อแค่จะพยายามประคับประคองครอบครัวเราไว้ ซึ่งผมรู้สึกว่าไม่ชอบเห็นแม่เป็นแบบนี้ คือทำงานอ่ะไม่ว่า แต่ยูต้องแฮปปี้ในการทำสิ่งนั้นด้วย ถ้าทำเพื่อแค่ผมกับพี่สาว ไม่ต้องทำ เดี๋ยวผมทำเอง ผมรู้สึกอย่างนั้น

รู้สึกแฮปปี้ต้องมาก่อน แล้วเขาอายุเท่านั้นแล้วด้วย เรารู้สึกว่าเขาต้องสบายได้แล้ว งั้นหม่ามี๊ไม่ต้อง เดี๋ยวไอซ์ทำเอง อันนั้นเป็นจุดเริ่มต้น ทุกวันนี้ก็ยังเป็นสิ่งนั้นอยู่ เราอยากให้คุณแม่สบายได้แล้ว รู้สึกว่าเขาอายุ 50 แล้วตอนนี้ เขาน่าจะสบายได้แล้ว อยากทำอะไรที่อยากทำได้แล้ว อันนี้เป็นหลักๆ เลยที่ทำให้เราทำงานต่อไป

อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยได้มากๆ เหมือนกันก็คือแฟนคลับ อย่างเราไปเจอเขามา ทุกๆ ครั้งที่เจอมันจะเติมพลังให้เราได้ ผมจะเก่งขึ้น ผมจะทำให้ทุกๆ คนภูมิใจในตัวไอซ์ ขอบคุณมากๆ ที่ยังมาซัพพอร์ตกันขนาดนี้ วันแรกเป็นยังไง ก็ยังเป็นอย่างนั้นจนวันนี้

เรารู้สึกว่าเราต้องทำให้เขาด้วย เพราะเขามาซัพพอร์ตเรา โดยที่สำหรับผมนะ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรขนาดนั้นในการที่จะมาหาเรา เรารู้สึกเลยนะว่า เราไปทำอะไร เราถึงได้สิ่งดีๆ ขนาดนั้นแบบนี้ บางทีผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณดีกับผมขนาดนี้ เราไม่เก็ตเหมือนกันนะว่าเราไปทำอะไรให้ เราก็ขอบคุณ ก็เลยเหมือนว่าเราจะทำไม่ดีไม่ได้ เพราะว่าเขามาซัพพอร์ตเราขนาดนี้ เขาก็เลยเป็นหนึ่งกำลังใจที่ดีของเรา”

ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว

เมื่อเราถามว่า ไอซ์ เป็นหัวหน้าครอบครัวแบบเต็มตัวแล้วหรือยัง เจ้าตัวบอกว่า

“คือในหลายๆ คนชอบพูดอย่างนั้น แต่ว่าผมไม่ค่อยเก็ตคำนี้เท่าไหร่ เพราะว่าผมรู้สึกว่า อยากทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วผมไม่ได้คิดว่าเราจะมาเป็นหัวหน้าครอบครัว ผมจะรวย ทำทุกอย่างเอง ไม่ขนาดนั้น เพราะจริงๆ บริษัทของผม คุณแม่ก็ดูอยู่ ผมจะทำเงินได้มากน้อยขนาดไหน คุณแม่ก็เป็นคนดูแล คนจัดการ

เพราะฉะนั้นมันก็ต้องให้เครดิตเขาด้วย ไม่ใช่แค่เราคนเดียว เราก็ยังมีผู้จัดการ และมีแม่จัดการด้วย มันเลยไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเราเป็นหัวหน้าครอบครัวนะ จริงๆ แล้วผมก็ยัง 23 เอง ยังไม่สามารถรับผิดชอบได้ทั้งหมดขนาดนั้น เราก็ไม่อยากรีบแก่ ไม่ได้อยากอยู่วงการนี้แป๊บเดียว แต่เราอยากอยู่ไปนานๆ

เรารู้สึกว่าเราเป็นเด็กได้ช่วงประมาณหนึ่ง แล้วอีกแป๊บเราก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งเรามาเล่นบทเด็ก หรือมาทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว เราก็รู้สึกว่าไม่ได้อยากจะรีบโตขนาดนั้น (หัวเราะ)”

น้ำตาคลอเห็นชื่อตัวเองใน End Credit บุพเพสันนิวาส 2 

“คือหนังเราเช็กลิสต์ไปแล้ว ตอนที่เราไปนั่งดูบุพเพสันนิวาส 2 ในโรงหนัง เราดูตัวเองเล่น เราก็มีความแบบยิ้มๆ มันก็ดีเหมือนกันนะที่เราได้เห็นตัวเองในโรงหนัง ในจอใหญ่ๆ แต่สิ่งที่มันกระแทกที่สุดก็คือตอนเครดิตเรื่องครับ

ความฝันที่สุดของผมคืออยากเห็นชื่อตัวเองในเครดิตใหญ่ๆ แล้วมันขึ้นมาในชื่อแรกๆ เลย ตอนนั้นผมน้ำตาคลอเลย ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมมันกระแทกใจเราขนาดนี้ เป็นความรู้สึกตื้นตัน ไม่คิดว่ามันจะดีขนาดนี้”

“ตอนนี้ก็เหลือทำอัลบั้มเพลงกับทำคอนเสิร์ตครับผมที่ยังไม่ได้ทำ แต่ว่าจริงๆ หลังจากนี้เราก็ตั้งเป้าหมายต่อๆ ไปแล้วนะว่าอยากมีหนังไปอีก ให้มันดีขึ้นๆ เรามั่นใจเลยนะว่าเราชอบการแสดงหนังแน่ๆ ตอนนี้เราลองละครอยู่ว่าเราเอนจอยกับมันมากน้อยแค่ไหน

ฝั่งนักแสดงก็กำลังทำสิ่งนี้ไปอยู่ ด้านเพลงก็ทำอัลบั้มกับคอนเสิร์ตเดี่ยวของเรา เพราะจริงๆ เดี๋ยวอีกแป๊บนึงผมก็จะขึ้น ตัน FIGHT ตัน กับพี่ป๊อบ พี่โอ๊ต อันนั้นที่อิมแพ็ค แต่ว่าเราอยากมี ไอซ์ พาริส เดอะคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตเดี่ยวของเราบ้าง ตอนนี้เหมือนเพลงของผมมันยังน้อยเกินไปที่จะทำโชว์ ก็รอก่อนครับ”

ทำงานทุกวันเพื่อความสุข

“เพื่ออะไร เพื่อความสุขของเรา ผมว่า 1 อย่างเลยนะที่ผมทำงานทั้งหมดตลอดเวลา ผมแค่รู้สึกว่าผมไม่อยากลืมตามาอีกทีแล้วเราอายุ 80-90 แล้ว กำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว และเรามองย้อนกลับมาเสียดายที่เรายังไม่ได้ทำอันนี้เลย

ผมรู้สึกว่าสิ่งนั้นน่ากลัว คือหมายถึงว่า ตอนเด็กๆ เรากลัวมากเลยว่าตายแล้วไปไหน แล้วยิ่งคุณพ่อเราเสียแล้ว เราจะมีคำถามมาตลอดเลยว่า ตายแล้วจะยังไงต่อ แต่พอหลังจากคุณพ่อเสียไป มันมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราคิดได้ว่า ความน่ากลัวกว่าความตาย คือการที่เราไม่ได้ทำขณะยังมีชีวิต อันนั้นน่ากลัวมาก

ก็เลยกลายเป็นว่าเราต้องรีบทำก่อนที่เราจะไม่มีโอกาส อันนี้ก็เป็นอย่างแรกที่เราทำเพื่อความสุขของตัวเอง เพราะว่าผมรู้สึกว่าสิ่งที่ดีกว่าเงินหรือชื่อเสียง หรืออำนาจ อะไรก็ตามที่คนชอบบอกว่าดี ผมว่าสิ่งที่ดีที่สุดมันคือความสุข เพราะเงินก็เอาไปไม่ได้ ทำอะไรก็ทำ ทำเพื่อความสุขดีกว่า

ถ้าเกิดสิ่งๆ นั้นมันสามารถทำให้เรามาดูแลครอบครัวเราได้ด้วย มันก็ยิ่งแฮปปี้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ผมทำ มันจะเรียกว่าทำเพื่อตัวเองก็ได้ แต่มันดันช่วยเหลือคนอื่นได้ ทุกอย่างเลยดี”

บุพเพสันนิวาส 2 เป็นหนังเรื่องที่เป็นนักแสดงนำ

“ถ้าเกิดนับแบบเต็มๆ ทั้งหมด เป็นหนังเรื่องที่ 3 ครับ แต่ว่าเป็นหนังโรงเรื่องแรกที่เราได้รับบทเป็นตัวเมนครับ เพราะว่าเรื่องแรกของผมคือ ไดอารี่ตุ๊ดซี่ เพราะว่าเรามารับเชิญแค่ซีนเดียว เรื่องที่ 2 คือ Ghost Lab ไม่ได้เข้าโรง อยู่ในเน็ตฟลิกซ์ และเรื่อง บุพเพสันนิวาส 2 จะเป็นเรื่องแรกที่เราได้เล่นเป็นเมนหลัก และเป็นหนังเรื่องแรกที่ได้เข้าโรงด้วยครับ”

บท เมธัส ยากง่ายขนาดไหน?

“คือผมรู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้นครับ มันไม่ต้องเปลี่ยนตัวเราเยอะ เล่นเป็นคนอื่นที่มีความเป็นตัวเราอยู่ด้วยนิดนึง แต่ผมว่าน่าจะยากที่สุดคือตอนแรกครับ มันเป็นการสลัดความกดดันด้วยนะผมว่า ด้วยความที่มันเป็น บุพเพสันนิวาส ที่มันประสบความสำเร็จมากๆ มาตั้งแต่เป็นละคร และเป็นหนัง GDH เรื่องที่ 2 เต็มๆ ของเราเลย

มันก็มีความสลัดความกดดันตรงนั้นออกไป แต่สุดท้ายทำได้ไม่ยากเกินไป เพราะว่าเราโชคดีมั้งฮะ เราเจอพี่ๆ นักแสดง ทั้งพี่โป๊ป พี่เบลล่า พี่กิ๊ก สุวัจนี เองก็ตาม พี่ปุ๊กกี้ พี่บ๊อบบี้ พี่นนกุล ทุกคนมีความน่ารัก ทุกคนมีความเฟรนด์ลี่

ตัวพี่ปิ๊ง อดิสรณ์ เองก็ด้วย ไปออกกองก็เล่นๆ กัน มีการแกล้งๆ กัน มีมุก สุดท้ายเราก็ลืมความกดดันนั้นไป มีการละลายพฤติกรรมไปในตัว จนถึงจุดหนึ่งเราก็ลืมความกดดันนั้นไปเลย แค่เหมือนไปเล่น ไปสนุกกับทุกๆ คน”

ทำงานสนุกลุกนั่งสบาย ไม่เอาค่าตัวยังได้

“กับพี่โป๊ป พี่เบล เราเคยเจอกันตามงานมาก่อน ไม่ได้เจอกันครั้งแรกครับ แต่ยังไม่เคยร่วมงานกันจริงๆ จังๆ และเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกครับ ก็ตอนแรกเราก็มีมายเซ็ตที่จะไปเป็นน้องที่น่ารัก ด้วยความที่ผมเป็นคนที่เด็กที่สุดในกอง ก็อยากจะไปเป็นน้องที่น่ารักให้พี่ๆ ทุกคนเขาเอ็นดู พอไปถึงแล้วก็คือ เรากลายเป็นว่าเราต้องสู้ชีวิตครับ

เราอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ เพราะว่าพี่ 2 คนนั้นเขาไม่ธรรมดาครับ ทั้งพี่โป๊ปและพี่เบลล่า เขาเป็นคนขี้แกล้งมาก และด้วยความที่เขาสนิทกันเองอยู่แล้ว เขาก็จะแกล้งกันเองไปเรื่อยๆ พอเบื่อแล้วก็จะมาแกล้งเรา เราเหมือนเป็นเป้าหมายที่แกล้งง่ายที่สุด เพราะว่าเป็นเด็กที่สุด ต้องยอม พี่โป๊ปเขาชอบใช้แรง จับจั๊กกะจี้

ส่วนพี่เบลล่าก็จะชอบกวนสมาธิ พูดเสียงสูงใส่ หรือบางทีก็จะพูดเป็นแบบฟิลเตอร์ติ๊กต่อก แบบนี้ทั้งวัน แล้วบางทีเราก็แบบพี่เบลแป๊บนึงได้ป่ะ ขอทำสมาธิแป๊บนึง เดี๋ยวกลับมาเล่นด้วย เราก็ต้องเป็นแบบนั้นไป ก็ดีครับผม พวกนี้เหมือนทำให้เรารีแล็กซ์ตัวเองได้ ละลายพฤติกรรมของเราไปได้”

ไอซ์ บอกว่า การทำงานในกองถ่ายกองนี้ ไม่มีความเครียดและกดดันเลย “ไม่เครียดเลยครับ คือช่วงแรกๆ เรามีความกดดัน เหมือนคิดเยอะ แต่ว่าพอเราทำไปเรื่อยๆ อย่างพี่ปิ๊งเขาก็จะชอบมีมุกใหม่ๆ มาให้เราลองเล่น ตลกดี บวกกับโดนแกล้งไปด้วย เราก็ไม่ได้เครียดเลย ไปกองคือสนุกตลอด

และด้วยความที่เซตมันใหญ่มากเลยครับ ตั้งแต่ผมทำงานมาทั้งชีวิต เราไม่เคยอยู่ในเซตที่มันยิ่งใหญ่มาก่อนในชีวิตเลย ด้วยความที่มันเป็นหนังพีเรียดด้วย สร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่หมดเลย สร้างเมืองทั้งเมือง สร้างตรอก สร้างตลาด เรือก็เป็นเรือไซส์จริงๆ แบบที่เราไปเดินบนนั้นได้ ทำให้เราสนุกที่ได้หลุดเข้าไปในโลกสมัยก่อน”

“ตอนที่เป็นละคร ผมดูครับ ผมดูจบ 2 รอบเลย คือผมดูตอนที่ละครออนแอร์ และดูตอนที่เขาเอามาอยู่ในเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้นะว่าจะได้เล่น แต่เราแค่เหมือนเบื่อๆ เราก็ดูและเอนจอยกับมันมากๆ ซึ่งเราก็ยังไม่รู้นะว่าจะเอามาทำเป็นหนัง ดู 2 รอบจบก็ชอบมาก แล้วพอ GDH ติดต่อมา ซึ่งแค่ GDH ติดต่อมา เราก็โอเคอยู่แล้ว แล้วนี่เป็นบุพเพฯ ไปอีก ผมรีบตอบตกลงแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย เล่นไม่เอาเงินก็ได้ (หัวเราะ)”

แอบหวังขอให้รายได้หนังถึง 500 ล้าน

“คือจริงๆ ผมว่าทุกๆ งานที่เราทำ เหมือนเรามีลูกคนหนึ่ง เราก็อยากเห็นเขาเติบโตไปในทางที่ดีเนอะ อันนั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก เราก็อยากแค่ให้คนดูมาเอนจอย มาสนุกกับตัวละครเรา เห็นเราได้ทำอะไรใหม่ๆ ผมว่าแค่นั้นก็สุดแล้ว แต่ในใจก็ยังมีนะ ขอให้พี่ปิ๊ง 500 ล้าน”

เมื่อถามว่า มีแอบไปมูเตลูไว้มั้ย ไอซ์ บอกว่า “ก็ไม่ได้ไปมูอะไร เพราะว่าผมไม่ได้เป็นสายนั้นซะทีเดียว ผมเชื่อว่ามันทำให้คลายเครียดจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้”

ทำไมต้องมาดู บุพเพสันนิวาส 2

“ก็อยากฝากหนังเรื่อง บุพเพสันนิวาส 2 นะครับ คืออยากให้ทุกคนได้เข้ามาเห็นบรรยากาศของมันจริงๆ เซตที่ใหญ่มากๆ ผมรู้สึกว่ามันไม่น่ามีที่ไหนใหญ่เท่านี้ได้อีกแล้ว แล้วก็ CG ที่มันเยอะมาก สวยมาก ผมไปดูมาแล้ว ผมก็ช็อกเหมือนกันว่าตอนเราเล่น เราต้องเล่นกับผ้าเขียวเนอะ เราต้องเล่นกับจินตนาการไป คือมันเล็กไปเลย

พอไปดูในภาพใหญ่จริงๆ เขาทำ CG ใหญ่มาก เราว่าเราจินตนาการไว้ใหญ่แล้วนะ แต่ของจริงใหญ่กว่าเดิมอีก ก็อยากจะให้ทุกคนได้ไปดูกันครับ อยากจะฝากทุกคนไว้ด้วยครับ จริงๆ หนังเรื่องนี้เขาทำมา 2-3 ปีแล้วนะครับ แล้วบทมันก็สนุกมาก มีความกลมกล่อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นคอเมดี้ โรแมนติก แอ็กชั่นก็มี หรือว่าดราม่าก็ด้วย ครบรสจริงๆ อยากจะฝากไว้ด้วยครับ กับภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส 2 ครับ”.

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

กราฟิก : Chonticha Pinijrob

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2461899
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2461899