ไมค์ ภัทรเดช เกือบเสียความเป็นตัวเองเพราะเล่นละคร เหตุแยกแยะไม่ได้


ให้คะแนน


แชร์

เป็นอีกหนึ่งพระเอกที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปี และสั่งสมฝีมือจากการแสดงจนขึ้นแท่นเป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ ของวงการไปแล้ว สำหรับ ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี ซึ่งต้องยอมรับว่า ฝีมือการแสดงของหนุ่มไมค์ก็ไม่เป็นสองรองใคร เล่นละครเรื่องไหน เรตติ้งก็ปังตลอด 

และหลังจากที่เจ้าตัวหายหน้าไปจากหน้าจอนาน 2 ปี ตั้งแต่โควิดระบาด ล่าสุด ไมค์ ภัทรเดช ก็กำลังมีผลงานละครเรื่องใหม่อย่าง เภตรานฤมิตร ที่กำลังออกอากาศอยู่ในตอนนี้ และเป็นการกลับมาเจอกับนางเอกสาว มุกดา นรินทร์รักษ์ อีกครั้ง 

ซึ่งวันนี้เราได้คิวฮอตของหนุ่มไมค์มาทั้งที ก็ไม่พลาดที่จะอัปเดตเรื่องราวชีวิตของพระเอกหนุ่มคนนี้ หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน กับมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังจากที่ไมค์ตั้งใจทำงานในวงการบันเทิงมานับสิบปี 

เกือบสูญเสียความเป็นตัวเอง

ซึ่งคำถามแรกที่เราถามไมค์ เป็นสิ่งที่นักแสดงหลายคนจะประสบปัญหาสภาพจิตใจ เนื่องจากการรับบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆ และอินกับบทบาทมากเกินไปจนแยกตัวละครกับชีวิตจริงไม่ออก ซึ่งไมค์ก็ทำงานในวงการมานาน ต้องเจอกับปัญหานี้หรือไม่ ซึ่งไมค์ให้คำตอบกับเราว่า 

“ตัวละครที่ผมเล่น มันยากทุกเรื่องครับ ผมพยายามล้างตัวเองทุกเรื่อง พยายามจะไม่เอาความเคยชิน จากที่เคยเล่นมาใช้ในเรื่องต่อๆ ไป

ผมยังตื่นเต้นทุกครั้งที่เล่นละครเรื่องใหม่ ถึงจะทำงานมาสิบกว่าปี แต่ผมก็อยากที่จะเป็นตัวละครตัวใหม่ เป็นตัวละครนั้นได้อย่างดีที่สุด

วิธีการล้างตัวละครของผมคือ พอละครปิดกล้อง ผมก็จะลืมตัวละครตัวนั้นไปเลย เพื่อมาเริ่มเป็นตัวละครใหม่ อีกอย่างคือ ผมจะล้างภาพตัวละครทุกวัน คือหลังถ่ายเสร็จในแต่ละวันพอกลับบ้าน เราก็จะต้องกลับมาเป็นตัวเอง”

และ ไมค์ ภัทรเดช ก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่เจ้าตัวอินกับตัวละครที่ได้รับมากจนเกือบทำให้มีเรื่องกับคนขับแท็กซี่ให้เราฟังว่า 

“ก่อนนี้ผมเคยนะ ช่วงที่เล่นเรื่อง รอยรักแรงแค้น ตัวละครที่ผมได้รับจะเกรี้ยวกราดมาก แล้วผมดันไปหลงรักตัวละครตัวนี้

คือชีวิตจริงผมไม่ใช่คนพูดเสียงดัง ไม่ใช่คนที่จะระเบิดอารมณ์ใส่ใคร พอเราได้เล่นเราสะใจ เราได้ตะคอกใส่หน้า ได้ต่อย ซึ่งตอนนั้นพี่ตั้ว (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) เป็นคนทำบทมาให้ด้วยคือ เป็นบทที่สะใจมาก ผมชอบมากๆ

ปรากฏว่ามีวันหนึ่งผมขับรถอยู่ แล้วเจอรถแท็กซี่ปาดหน้าผม ผมก็บีบแตรใส่เขา เขาจอดรถลงมาหาเรื่องผมเลย ซึ่งวันนั้นถ้าเป็นตัวผมแบบปกติ ก็คงจะถามว่าพี่มีอะไรครับ พี่ปาดหน้าผมนะ ถ้าเขาจะมีเรื่องผมก็คงจะไม่มี

แต่วันนั้นผมไม่รู้อารมณ์ไหน เขาลงมาชี้หน้าผม ผมก็ลงไปเหมือนกันถามเลย พูดคำหยาบใส่เขาด้วย ปรากฏเขารีบขึ้นรถแล้วขับไปเลย ผมก็ไม่จบนะ ขับตามเขาไปอีก คือเป็นนิสัยของตัวละครที่ผมกำลังเล่นจริงๆ

วันนั้นพอขับรถกลับมาถึงคอนโดฯ ผมจอดรถหน้าคอนโดฯ หัวใจผมเต้น ตึกๆ แล้วก็ถามตัวเองว่า เมื่อกี้ทำอะไรลงไป คือถ้าเราไม่แยกแยะระหว่างตัวเราเองกับตัวละคร ชีวิตของนักแสดงเราจะเป็นใครก็ไม่รู้ มันเคยเกิดคำถามขึ้นกับผมตอนที่ผมเล่นละคร

ผมถามตัวเองว่า จริงๆ แล้วผมเป็นคนยังไง เพราะเวลาเราอิน เราก็อินมาก เรารักมัน เราพยายามเป็นมัน จนลืมว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา ละครเรื่องนั้นเลยเป็นบทเรียนสำหรับผมเลยครับ ที่จะต้องกลับมาหาตัวตนของตัวเองให้เจอ

ผมก็มานั่งคุย โทร.หาเพื่อนเก่าสมัยมัธยมเลยนะ ถามเพื่อนว่า เมื่อก่อนเราเป็นยังไง เพื่อนๆ ก็มานั่งคุยกัน คือมานั่งหาตัวเองว่าเราเคยเป็นยังไง มันถึงขั้นนั้นจริงๆ จนทุกวันนี้เราต้องสลัดให้ได้ แยกให้ได้ อันไหนตัวเรา อันไหนตัวละคร”

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้น ไมค์ ภัทรเดช ก็ได้เล่าให้เราฟังต่อว่า เขาจะต้องติดต่อไปหาเพื่อนๆ เพื่อหาตัวเองให้เจอว่าจริงๆ แล้วตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นเป็นอย่างไรกันแน่

“ใช่ครับ แยกแยะหาตัวตนของตัวเอง ถามตัวเองว่านี่คือใช่ตัวเราไหม (แล้วไมค์เป็นคนยังไง) ไม่รู้เลยครับ (ยิ้ม) คือ ผมเป็นคนคิดเยอะ จะพยายามไม่คิดเยอะ ปล่อยวาง ไม่เครียดจนเกินไป คือคิดเยอะได้เพราะชีวิตคือชีวิต ถ้าไม่คิดอะไรเลยอนาคตก็อาจจะไม่มีอะไรเหมือนที่ไม่คิด แต่ต้องไม่เครียด ผมก็บอกตัวเองแบบนี้”

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

แต่กว่าจะมาเป็น ไมค์ ภัทรเดช ที่มีชื่อเสียง เงินทอง และการยอมรับจากแฟนละครอย่างทุกวันนี้ ในอดีต ไมค์เคยมีความเครียดกับการทำงาน จนทำให้ชีวิตแย่มากๆ ในช่วงนั้น ซึ่งไมค์เล่าให้เราฟังว่า 

“จริงๆ ชีวิตมันไม่มีอะไรเลย ชีวิตคนเราง่ายนิดเดียว คืออดีตเป็นผลลัพธ์ของปัจจุบัน ดังนั้นอย่าไปโทษอดีต ให้มองว่าถ้าอดีตเราเป็นอย่างนั้น ปัจจุบันจึงเป็นแบบนี้ ปัจจุบันต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคต

เอาง่ายๆ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดในเวอร์ชันเรา เราอยากทำอะไรลงมือทำให้ดีที่สุด พอถึงอนาคตถ้ามันถึง มันก็จะถึงเป้าหมาย แต่ถ้าไม่ถึงเราก็บอกตัวเองได้ว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว

ทุกวันนี้ผมเลยไม่เครียด เพราะเคยเครียดที่นั่งคิดว่าวันนั้นทำไมเราไม่ทำ ผมพยายามปิดจุดตรงนั้น ด้วยการคิดแล้วทำ อย่างถ้าผมอยากเป็นโปรดักชัน อยากทำงานนี้ ผมจะเริ่มโทร. เริ่มศึกษาเลยว่า ผมจะทำได้ไหม เอาความจริงเลย”

เพราะผลจากการเปลี่ยนตัวเองในวันนั้น ทำให้ไมค์เป็นไมค์ในวันนี้ และเราถามพระเอกหนุ่มชื่อดังว่า คิดว่าวันนี้ตัวเองเป็น ไมค์ ภัทรเดช ได้อย่างสมบูรณ์แล้วหรือยัง ซึ่งเราได้รับคำตอบว่า 

“ไม่มีอะไรสมบูรณ์ครับ ความรู้สึกมันละเอียดมาก เราแค่ต้องรู้ทัน อย่าหลงไปกับความรู้สึก ทั้งสุข ทั้งทุกข์ อย่าหลงไปกับมัน อย่าไปยึดกับอะไร ว่าอันนี้ดี อันนี้แย่ ผมพูดกับทุกคนในบ้านผม อย่าเอาความรู้สึกไปไว้ที่ใคร เพราะสุดท้ายเขาก็จะเลือกชีวิตเขาเอง เพราะผมผ่านจุดที่คิดเยอะมาแล้ว ตอนนี้ก็เลยรู้สึกเบาๆ ไม่มีอะไรเลย สบายๆ (ยิ้ม)”

ชีวิตที่มีเป้าหมาย

แต่บางคนมีคำถามว่าทำไมไมค์ถึงต้องคิดเยอะ เพราะทุกวันนี้ก็มีชื่อเสียงเงินทองอยู่ไม่น้อย ซึ่งเราได้รับคำตอบจากพระเอกหนุ่มว่า 

“ก็ต้องยอมรับว่าจุดหนึ่งคำว่าความมั่นคงของแต่ละคนอาจจะต่างกัน ซุปเปอร์สตาร์บางคนคือสามารถสร้างรายได้ 200-300 ล้าน ก็ดูมีความมั่นคงนะ แต่ถ้าใช้ชีวิตหวือหวา มันก็อาจจะไม่มั่นคงก็ได้ เพราะชีวิตของการทำงานมันมีจุดที่พีก และเราต้องอายุเยอะขึ้นเป็นธรรมดา ตัวผมเองก็มีวันหนึ่งที่จะไม่ได้เป็นพระเอก แล้ววันนี้กว่าที่จะถึงวันนั้นผมได้สร้างอะไรไว้

สำหรับการทำงาน ผมว่าผมวางแผนให้กับชีวิตมากขึ้น ผมมีความฝันที่อยากทำ ผมเคยแนะนำแฟนคลับว่า มีความฝันไหม แล้วความฝันนั้นกินได้ไหม ถ้าเป็นฝันที่กินได้ก็ตั้งใจทำ แต่ถ้าฝันนั้นกินไม่ได้ ก็ต้องทำในสิ่งที่ทำได้ก่อนแล้วก็อย่าทิ้งความฝัน

บางคนเลือกที่จะตามฝันแต่ไม่สามารถดูแลชีวิตตัวเองได้ หรือบางคนเลือกที่จะทิ้งความฝันไปเลยก็มี สำหรับผมชีวิตผมเองผมวางเอาไว้ว่าจะต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงส่งหลานเรียน อยากให้เขาได้เรียนอย่างดีที่สุดด้วย นั่นยังไม่นับความต้องการของตัวเอง

ผมอยากมีบ้าน อยากมีเงินในบัญชีเท่านี้เพื่อความมั่นคงของผม มีเงินที่จะซื้อประกันให้แม่และผมไปตลอดชีวิต เกิดเราเป็นอะไรมาเราจะได้มีเงินในการรักษา ไม่ลำบากตัวเองและคนอื่น เราใช้เงินเก็บของเรา ในวันที่ผมไม่อยู่พวกเขาจะได้สบาย มันคือเป้าหมายของผม

ผมก็ต้องกลับมามองในปัจจุบันว่าผมทำอะไรอยู่ ผมต้องกำหนดเวลาด้วย อย่างอายุ 40 ผมอยากมีบ้านหลังใหญ่ รถพร้อมคนขับ เงินในบัญชีเท่านี้ ผมก็ต้องกลับมามองแล้ววันนี้ สารตั้งต้นของผม ผมมีอยู่เท่าไร แล้วจะทำอย่างไรให้ไปถึงตรงนั้น โดยที่วิถีชีวิตผมไม่ได้เปลี่ยน เพราะผมเป็นคนชอบเที่ยว

ผมคงไม่มานั่งตั้งตาเก็บเงินให้ได้เท่าที่คิดไว้ตอนอายุ 40 หรอก ผมก็คงต้องใช้ชีวิตของผมไปด้วย แต่จะทำอย่างไรให้เราไปถึงตรงนั้น บาลานซ์ชีวิตตัวเอง หรือทำธุรกิจอะไรลองดูไหม ผมว่าสนุกนะครับ พอเรามีเป้าหมาย เราก็จะทำชีวิตให้ไปถึงเป้าหมาย (ยิ้ม)”

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Chonticha Pinijrob

ช่างภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2664808
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2664808