หุ่นพยนต์ พร้อมเข้าฉาย ปรับ 2 เวอร์ชั่น งงคนเซ็นเซอร์ใช้เกณฑ์ตัดสินอะไร


ให้คะแนน


แชร์

หุ่นพยนต์ พร้อมเข้าฉาย ปรับ 2 เวอร์ชั่น งงคนเซ็นเซอร์ใช้เกณฑ์ตัดสินอะไร ทำไมไม่เหมือนกัน

ได้ฤกษ์เข้าฉายแล้วสำหรับภาพยนตร์เรื่อง หุ่นพยนต์ หลังจากประกาศด่วนว่าหนังต้องเลื่อนฉายไม่มีกำหนด เพราะทางกองเซ็นเซอร์อนุมัติให้เป็นหนังเรต ฉ.20- จนทำให้ทั้งผู้กำกับอย่าง ไมค์ ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ ต้องเข้าไปคุยกับกองเซ็นเซอร์ถึงเรื่องการตัดต่อหนัง และเรตของหนัง

โดยล่าสุด(6เม.ย.) ผู้กำกับคนเก่ง ได้นำภาพยนต์เรื่อง หุ่นพยนต์ มาฉายให้ดูอีกครั้งว่าหลังจากผ่านการตัดต่อใหม่เป็นอย่างไร ก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉาย ไมค์ ภณธฤต ได้เปิดใจถึงประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ตัดทุกฉากที่เป็นประเด็นเลยไหม? “แก้ไขทุกฉากที่มีประเด็นในร่างที่เป็นเรต 18+ มันเป็นการแก้ไขที่ไม่ตัดออกหมด ใช้วิธีทำคัตติ้งเอา เอาคัตติ้งช่วย เราพยายามเอาซีนทุกอย่างไว้อยู่ ใช้วิธีในการตัดช่วย หรือว่าภาคเพิ่มเข้าไป มันเลยเพิ่มมาอีก 4 นาทีในการขยายความ”

มีการถ่ายเพิ่ม? “จริงๆ มันมีฟุตอยู่แล้ว ในเวอร์ชั่นเรต 20- เราเล่าให้คนดูตีความเอง แต่พอมามีปมเรื่องศาสนาที่มันยังไม่เคลียร์ เลยจำเป็นต้องเล่าเพิ่ม เอาที่เราถ่ายไว้แล้วมาเพิ่ม จริงๆ แล้วอยากให้คนดูดูแล้วตีความเองมากกว่า พอบางอย่างเขากลัวว่าคนจะเข้าใจผิด คือมันเกี่ยวกับศาสนา เราก็ใช้วิธีในการเล่าด้วยภาพ คัตติ้งเพิ่มเข้าไป (ฉากเณรกอดแม่ยังอยู่ไหม?) ยังอยู่ครับ เราอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่มันก็ไปชิ่งอีกซีนที่มีจับตัวสีกาเหมือนกัน แต่อันนั้นใช้คัตติ้งช่วย”

ใน 6 ข้อที่ทางกองเซ็นเซอร์ไม่ให้เราผ่าน มีข้อไหนที่ติดใจเรา? “มันก็มีข้อที่ประหลาดๆ ข้อนี้ผมงงมากชื่อวัด ไม่ให้เห็นชื่อวัด เราก็รู้สึกว่าชื่อวัดเป็นชื่อที่ผมตั้งขึ้นมาในเรื่อง มันไม่มีของจริงในโลกใบนี้ แล้วตัวละครต้องเดินเข้าวัด ผมไม่สามารถยกอันนี้ออกไปได้ ตอนแรกยังไงผมก็ไม่ยอม เขาเองก็ไม่ยอม เลยเดินคนละครึ่งทาง ผมลบคำว่าวัดออก(หัวเราะ) ผมเชื่อว่าคนดู ดูก็เข้าใจ”

“อย่างเณรที่ผมยาว ผมก็ให้เหตุผลว่า เขาไม่ได้เพิ่งบวช เขาบวชมานานแล้ว อันนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นประเด็นได้ อันนี้แอบน้อยใจ เมื่อวานผมก็ได้ดูหนังเรื่องนึง พระผมยาวกว่าเรื่องของผมอีก ผมก็เอ๊ะ! คือผมว่ามันขึ้นอยู่กับคนที่ตรวจมากกว่า เลยมองว่าไม่ได้อยู่ที่มาตรฐาน แต่อยู่ที่คนตรวจคนนี้ที่พิจารณาว่าเขารู้สึกแบบไหน เราบังเอิญเจอคนนี้มั้ง”

“เมื่อวานผมลงเปรียบเทียบดู ผมนั่งดูหนังเรื่องนั้น ผมก็ช็อกเลย เรื่องนั้นเป็นหลวงพ่อ แต่ทำไมเรื่องนั้นได้ ทั้งที่มันก็ต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ที่เดียวกัน อันนี้ไม่ได้พาดพิงนะ แค่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ มันเลยไม่รู่ว่าทำถูกใจใคร หรือให้ถูกใจเซ็นเซอร์ที่เป็นตรวจ ซึ่งไม่รู้ว่าจะโดนเซ็นเซอร์คนไหนอีก”

“แล้วประเด็นที่เป็นฉากคลุกข้าว ผมก็ใช้วิธีตัดช่วย ซีนนั้นก็ยังอยู่ คือถ้าให้ยกซีนนั้นออกมันทำให้มิติตัวละครนั้นมันหาย จริงๆ ผมอยากสื่อให้เห็นว่าทำไมตัวละครถึงรู้สึกแบบนั้น จุดเริ่มต้นคืออะไร มันก็กลายเป็นว่าจะเบาลงมาหน่อย แต่ยังรู้ว่าตัวละครที่เป็นเณรกับตัวละครที่เป็นเด็กพิเศษเขาทำอะไรกัน และเกิดอะไรกับเขา มีแก้ทีละข้อ”

เราได้แย้งอะไรกับเขาบ้าง? “ให้เหตุผลมากกว่า ว่ามันเกิดจากอะไร ทำไมเราถึงทำแบบนี้ แต่ส่วนหนึ่งเราต้องยอมรับบางอย่างมันตัดสินมาแล้ว มันก็ต้องมีการแก้ไข แต่มันก็อยู่ว่ามันเหมาะกับเรา แต่ถ้าให้ยกซีนออก ผมทำใจไม่ได้จริงๆ มันทำให้หนังผมเสีย ผมหาวิธีเดินทางยังไงถึงไปคนละครึ่งกับเขามากกว่า ส่วนอรรถรสทั้งหมด พอผมได้ดูหนังรวมทั้งเรื่องผมรู้สึกมันยังสนุกอยู่”

รสชาติจะเหมือนกันไหม ระหว่างเรต 18+ กับ 20- ? “ถ้าคนดูได้ดูเรต 20- คนดูจะได้กลับไปคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับวัดวัดนี้ แล้วทุกคนในวัดคิดยังไง ในเรื่องของศาสนา ทุกคนคิดยังไง แต่ในเรต 18+ เราขยายให้เขารู้เลยว่า เขารู้สึกยังไง ไม่ต้องคิดเยอะ แต่หนังคนดูจะได้อรรถรสต้องให้คนดูกลับไปคิดด้วย แต่นี่ก็เข้าใจ เขาลดเรตลงมาเพื่อให้เด็กได้เข้าไปดูได้ อาจจะต้องทำให้เด็กเข้าใจในหนังเลย”

ในส่วนของชื่อ ทำไมไม่ใช้ชื่อที่เหมือนกันเลย? “ในความรู้สึกเราอยากทำให้มันเป็นหนังสองเรื่องไปเลย จริงๆ มันเป็นหนังเรื่องเดียวกัน แต่คือเวลาเราจะไปดูหนัง เราจะได้ดูว่าจะไปดูเวอร์ชั่นไหน ถ้าเยากดูเวอร์ชั่นเรต 20- ผมก็จะไปดูเรื่องหุ่นพยนต์ แต่ถ้าผมได้ดูเรตแค่นี้ก็ไปดูเรื่อง ปลุกพยนต์เลย”

“แต่อีกเรื่องที่ผมรู้สึกน้อยใจสุดๆ เกิดเรื่องเมื่อวันฉายรอบสื่อวันนั้นเราช็อตฟีล วันนั้นเป็นวันที่ 7 เป็นวันที่ผลพิจารณาออกมาว่าเราได้เรต 20- ซึ่งมันมีเหตุการณ์นึงที่ติดตาผมถึงทุกวันนี้ มันจะมีกลุ่มแฟนคลับของนักแสดงผม หรือนักแสดงที่ถูกเชิญมา เอาตั๋วมาคืนผม แล้วบอกผมว่าพี่หนูหนังพี่ไม่ได้นะ ผมดูหนังพี่ไม่ได้นะ เจอตรวจบัตร ผมก็ช็อก เขาเองก็ช็อกเพราะว่าผลมันรู้วันนั้น แล้วเขาตั้งใจมาดู”

“เรารู้สึกว่าไม่อยากให้เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นกับหนังเราอีก ในวันที่หนังเราฉายจริง มีกระทั่งอินบอกซ์มาว่าจองตั๋วล่วงหน้าไปแล้ว แต่อายุไม่ถึงจะทำอย่างไรผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง แต่ก็บอกเขาไปว่าต้องติดต่อไปทางโรงหนังเพื่อขอคืนเงิน”

“ผมเลยรู้สึกว่าไม่ได้จะให้เกิดเรื่องแบบนี้กับหนังผม คุยกับบริษัทและตัดสินใจทำเป็นหนังเรื่องปลุกพยนต์ขึ้นมา คือยังไงเราก็ต้องการกลุ่มเป้าหมายคนดูกลุ่มนี้อยู่ อย่างที่ผมบอกวันนั้นเป็นภาพที่เซ้นซิทีฟสำหรับตัวผม ตั้งแต่งานเริ่มเขารู้สึกว่าเดี๋ยวเขาจะได้ดูหนัง แต่เขาเดินเข้าไปจะดูหนังจริงๆ เขาเข้าไม่ได้ แล้วเขาก็เดินเอาบัตรมาคืนเรา เพราะเขาดูไม่ได้”

“มันเลยช็อตฟีลในความรู้สึกเรา มันเลยกลายเป็นเหมือนว่าปิดกั้นเขาไปเลย แทนที่เขาจะได้รับอะไรกลับไปประมาณนี้ เราไม่อยากปิดกั้นเขาเราก็ต้องดูเวอร์ชั่นที่เขาดูได้และยังได้อรรถรสอยู่เหมือนเดิม”

จริงๆ เรตหนังมันต้องออกก่อนหน้าที่หนังจะฉายหรือเปล่า? “ผมก็ไม่แน่ใจ จริงๆ เรตอันเดิมมันเกิดจากการที่ห้ามฉายก่อน แต่คนคุยตอนแรกคือบริษัท แล้วผมไม่รู้ แล้วก็มาอีกทีหนึ่งคือวันรอบสื่อ ก็ทำเรื่องเข้าไปใหม่ แล้วมันด้วยความกระชั้นชิดของวัน ต้องเร่งเอาผล แล้วมันออกวันที่ 7 พอดี ว่าได้ เรต 20- นะ ทั้งผมทั้งนักแสดงก็รู้วันนั้น เราเลยนอยด์”

“ตอนโดนเลื่อนฉายเราก็ไปปรับแก้ แต่ถ้าผมยอมฉายไปตอนนั้นมันก็คือเรต 20- แล้วอย่างที่บอกว่ามีเด็กมาคืนตั๋วเรา ผมยอมไม่ได้ ทางบริษัทก็เลยมาคุยและเลื่อนฉายออกไป เอาง่ายๆ ผมนอยด์จนผมไปบวชเลยอะ ไปถือศีล8 ที่วัดป่าคลอง 11 ไปปิดวาจาเลย นั่งสมาธิวันละชั่วโมงเดินจงกรม มันแบบช็อตไปเลย ไม่คุยกับใคร”

“ได้แต่สงสัยว่าเรื่องนี้มันอะไรวะ(หัวเราะ) มันเกิดอะไรขึ้นวะ ด้วยความที่เราไม่เคยเจอสถานการณ์นี้ไง เราก็ทำหนังพระ เราก็ไม่เคยเจอห้ามฉาย 20- มันเป็นสถานการณ์ที่เราตั้งรับไม่ทัน มีแต่คนอื่นเขาโดนกัน พอเราโดนเองเราก็ช็อต มันก็เลยรู้สึกแย่”

งบประมาณมากขึ้นไหม หนังมี 2 เวอร์ชั่น? “มันเหมือนเดิมครับ เพียงแต่เป็นเรื่องของการตัดต่อ เราต้องมาตัดใหม่ ทำเพลงใหม่ (เรื่องโรงฉายจะยังไง?) อันนี้ต้องถามบริษัท ว่าเขาจะวางยังไง เพราะเดือนเมษายนหนังไทยค่อนข้างเยอะ (มีแนวคิดที่จะขยับไปอีกไหมตอนแรก?) การวางโปรแกรมจะเป็นเรื่องของทางไฟว์สตาร์ ผมจะไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร อยู่ที่ความสะดวกของผู้ใหญ่ ที่อยากฉายตอนนี้เพราะด้วยเหตุผลอะไรของเขา”

กระแสโซเชียลก็เข้าใจเร และแปลกใจว่าทำไมหนังถึงไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์? “ขอบคุณทุกๆ แรงใจเลยที่ผมเป๋ไป แต่ผมก็มองว่าจริงๆ ผมมีกำลังใจเยอะมากนะ ผมได้กำลังใจจากคนที่ไม่รู้จักเยอะมาก ที่เขามาซัพพอร์ตหนังเรา โดยที่บางคนยังไม่ได้ดูหนังเลย แล้วก็มีส่วนหนึ่งที่ดูรอบสื่อไปแล้ว แล้วเขารู้สึกเห็นแย้ง เขาก็ออกมาพูด ว่ามันไม่น่าจะขนาดนั้น มันไม่ได้มีอะไร มันเป็นหนังผีเรื่องหนึ่ง”

ช่วงนี้เรื่องพระสงฆ์กำลังมีประเด็นแรงๆ เลยทำให้ไม่ผ่านหรือเปล่า? “ถ้าถามผม ผมก็ไม่รู้วิธีของเขาอะ เพราะแค่เรื่องทรงผมกับหนังสองเรื่องมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ว่าตกลงเขารู้สึกยังไงกับมัน เขาคิดยังไงด้วยมาตรฐานของเขา เราก็ต้องแย้งไป และตั้งรับกับมัน”

ต่อไปยังจะกล้าทำหนังพระอยู่ไหม? “ยังทำอยู่ครับ เราสายนี้มา อันนี้ไม่สามารถหยุดผมได้ มันยิ่งทำให้ผมมีพลังมากขึ้นในการทำด้วยซ้ำไป สุดท้ายคนที่ให้กำลังใจผมมากที่สุดก็คือทุกเพจ ผมยกมือไหว้ทุกสื่อเลย อยากบอกเขาว่าขอบคุณมากๆ ที่ให้กำลังใจ ที่ปกป้องและก็เชียร์หนัง ทำให้รู้ว่าคนไทยยังรู้สึกโอเคกับหนังไทยอยู่ เขายังต้องการจะดู แสดงว่าคนไทยยังรักหนังไทย เลยเป็นแรงผลักดัน ว่าลายเซ็นผมตั้งแต่ทำพี่นาคมา ที่เป็นพระ เป็นวัด ผมก็ยังคงมันไว้อยู่”

เรื่องของเราก็กระตุ้นผู้กำกับหลายๆ คน เหมือนกัน มีแรงกระเพื่อมเยอะมาก? “ใช่ๆ มันเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมายาวนาน (หัวเราะ) อยู่ที่ช่วงนั้นจะแจ๊กพอตที่เรื่องไหน ของผมรู้สึกว่าจะเป็นในรอบ 3 ปีมั้ง พอมันเกิดขึ้นมันก็เป็นแรงที่แบบ มันกลับมาอีกแล้วเหรอประเด็นนี้ ทำไมมันถึงไม่ถูกปฏิรูปสักทีหนึ่ง”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7599573
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7599573