โจอี้ ภูวศิษฐ์ เจอเงินปาหน้าจนเป็นแผลในใจ ถึงเป็นนักร้องแต่ก็มีศักดิ์ศรี


ให้คะแนน


แชร์

เป็นนักร้องร้อยล้านวิวที่มีแฟนเพลงติดตามเยอะมาก สำหรับ โจอี้ ภูวศิษฐ์ เจ้าของเพลงฮิต นะหน้าทอง, ดวงเดือน มาตอนนี้ โจอี้ สามารถซื้อบ้านหลังแรกให้ตัวเองได้สำเร็จแล้ว สร้างความฮือฮาและหลายคนร่วมแสดงยินดีอย่างมาก อีกทั้งล่าสุดเพิ่งได้มีโอกาสพาแม่และพี่สาว รวมไปถึง พี่แบงค์ โปรดิวเซอร์ และคุณแม่ของป๊อบ ปองกูล ไปเที่ยวญี่ปุ่นตามความฝันของตัวเอง 

ล่าสุด โจอี้ ได้มาเปิดใจเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองผ่านทางรายการ The Driver พร้อมกับเล่าถึงดราม่าที่ผ่านมาที่มีผู้หญิงมาปาเงินใส่หน้า โจอี้ บอกว่า ตนเองนั้นเสียใจมากๆ ต่อให้เราเป็นนักร้อง เราก็มีศักดิ์ศรีของเราเหมือนกัน

โจอี้ เผยว่า ตอนนี้ซื้อบ้านแล้ว จริงๆ หมู่บ้านที่ซื้อนี้ พี่ป๊อบ ปองกูล พาไปดู ตอนนี้ย้ายเข้าไปอยู่แล้ว เพราะกลัวผีไปอยู่แทน อยู่กับแม่และพี่สาว บ้านใหม่ยังไม่ได้ตกแต่งอะไร 

และโอ๊ตได้บอกว่า ก่อนจะมาเป็นนักร้อง โจอี้ เป็นคุณครูมาก่อน ซึ่ง โจอี้ เล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วเรียนครูมา 5 ปี ก่อนที่จะมาเป็นนักร้อง พอเรียนจบครูก็เข้ากรุงเทพฯ แล้วมาเรียนครูต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สอบเป็นครู ตอนที่สอนเด็ก สอนวิชาดนตรี เป็นดนตรีพื้นบ้าน แล้วได้ส่งคลิปประกวด The Voice ตอนแรกจะเรียนกีตาร์ แต่ลองแล้วมันยาก เลยย้ายมาเรียนดนตรีพื้นบ้าน เล่นพิณเป็นเครื่องดนตรีเอก 

นอกจากนี้ โจอี้ บอกว่า ก่อนจะมาเป็น โจอี้ ภูวศิษฐ์ ได้ชื่อ โจอี้ จักรกฤษ ขำจิตร์ มาก่อน แต่ได้มาเปลี่ยนมาใช้ โจอี้ ภูวศิษฐ์ ตั้งแต่ก่อนเข้าวงการบันเทิงได้ 2-3 ปีแล้ว ก่อนที่จะปล่อยเพลงดวงเดือน ออกมาอีก ตอนนั้นเพิ่งจบจาก The Voice มา เหมือนชีวิตไม่ดีขึ้นเลย ยังใช้ชื่อ โจอี้ จักรกฤษ อยู่ เลยได้ไปหาหมอดูที่นับถือ เขาบอกว่าชื่อนี้มันไม่ดี ลองเปลี่ยนชื่อดูมั้ย

เลยได้ซินแสมาเปลี่ยนชื่อให้เป็น ภูวศิษฐ์ เพราะชื่อเดิมเป็นนักบวช ถ้ามาเป็นศิลปินจะไม่รุ่ง เลยได้เปลี่ยนทั้งชื่อทั้งนามสกุล ซึ่ง คาริสา เป็นคนแนะนำซินแสท่านนี้ให้ช่วยเปลี่ยนชื่อให้ แถมยังออกเงินให้อีกด้วย เพราะตอนนั้นไม่มีเงินเลย มีเงินติดในบัญชีแค่ 1,500 บาท 

เมื่อก่อนไม่มีเงินเลย เวลานอนก็ไปนอนห้องซ้อมดนตรีบ้านพี่แบงค์ (แบงค์ รัฐวิชญ์ โปรดิวเซอร์) เวลาโควิดก็ไปนอนบ้านพี่ป๊อบ (ป๊อบ ปองกูล) คือมาแต่ตัว ไม่มีใครรู้จักในกรุงเทพฯเลย เพื่อนก็ไม่มี มารู้จักแต่พี่ป๊อบ พี่แบงค์ หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้วผ่านไปเดือนหนึ่งก็ไปบ้านพี่ป๊อบ แล้วเจอพี่อาร์ม แล้วเขาแนะนำให้รู้จักพี่ต๋อม ส่งเพลงไปแล้วได้เซ็นสัญญากับแกรมมี่

โจอี้ บอกว่า ชีวิตทุกวันนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก แต่เราก็ยังไม่ชิน มันเปลี่ยนไปตรงที่เรามีงานทุกวัน แต่ว่าชีวิตเราก็ยังดำเนินไปด้วยความสมถะเหมือนเดิม แต่แค่มีเงินเพิ่มมากขึ้น ต้องยอมรับว่าการที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำให้ชีวิตปรับตัวไม่ทัน ทั้งเรื่องการทำงานที่ต้องติดต่อกับคนเยอะมากขึ้น ก็ปรับตัวไม่ค่อยทันเท่าไร

ส่วนดราม่าที่มีผู้หญิงมาปาเงินใส่หน้าตอนนั้น โจอี้ บอกว่า อันนั้นตนเองเสียใจมาก แต่ไม่ได้รู้สึกโกรธ อยากต่อย หรืออยากขยำหน้าเขา แต่รู้สึกตกใจและเสียใจ คือเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นมีพี่คนหนึ่งเขาพยายามจะให้ทิป แต่เราร้องเพลงและดีดกีตาร์อยู่ และเรากำลังจะเดินไปเอา

แต่ผู้หญิงในข่าวเขาเดินถือกล้องมาแล้วแย่งเงินจากพี่คนนั้นและโยนเงินใส่หน้าผม เหมือนเขาทำคอนเทนต์ถ่ายวิดีโอ และเขาดูน่าจะเมาด้วย ซึ่งตัวเองก็ตกใจมากที่โยนเงินปาใส่หน้า คือตั้งแต่เกิดมาเงินทุกบาททุกสตางค์กว่าจะหาได้ เราก็ไม่เคยโยนทิ้ง เราก็กลัวตา ยาย แม่ มาเห็น ต่อให้เราเป็นนักร้อง เราก็มีศักดิ์ศรีของเราด้วย

ซึ่งตอนนั้นเราก็พยายามฮึบ ฮึบ ก็คิดในใจเราจะทำยังไงดี จะเดินลงเวทีไปทำใจ หรือจะขึ้นรถตู้กลับ หรือเล่นต่อ ก็มองคนอื่นที่มาดู เขาก็พยายามเอาใจช่วยเรา ก็เลยพยายามเล่นต่อจนจบ จากเหตุการณ์ดังกล่าวก็พยายามที่จะลืม แต่ในใจก็คิดว่าจะทำยังไงดีเพื่อปกป้องความรู้สึกของตัวเอง มันเลยกลายเป็นแผลใจบางอย่าง ไปขึ้นโชว์ที่ไหนๆ เวลาคนที่เดินมาหาเราหน้าเวทีก็กลายเป็นระแวงไปเลย.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/celeb/2673686
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/celeb/2673686