“เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่โมตัดสินใจไลฟ์ในโซเชียลมีเดีย ย้อนกลับไปคือช่วงโควิดรอบแรก ตัวโมเป็นคนแอ็กทีฟ มีตารางชีวิตของตัวเอง อยู่ดีๆ ทุกอย่างหยุดนิ่ง ต้องอยู่เฉยๆ มันงงค่ะทำตัวไม่ถูก ก็เลยพยายามหาอะไรทำ เลยลองไลฟ์ดูแล้วกัน อยากลองพูดคุยกับคนที่เข้ามาดูเรา ใครถามอะไรก็ตอบไป

ไลฟ์อยู่ 3 วัน ส่วนใหญ่คุยกับเพื่อนตัวเองที่เข้ามาดู ด้วยความเครียดในตอนนั้น โมเลยไม่น่ารัก โมคิดแบบนี้ ประเด็นคือ โมไม่อยากล้างจาน โมอยากซื้อพวงมาลัย อะไรประมาณนี้ คืนนั้นไลฟ์เสร็จ โมก็หลับไป จนตื่นมาก็คนพิมพ์มาโทรมาเยอะมาก จนเข้าไปดูว่าตัวเองติดเทรนด์ทวิตเตอร์”

โมเล่าว่า พอตั้งสติได้ก็เข้าไปอ่านคอมเมนต์ในโซเชียลว่าคนอื่นเขาคิดยังไงกัน เธอกล้าที่จะอ่าน แต่ไม่กล้าเล่าให้ครอบครัวฟังแม้แต่น้อย

“คนคอมเมนต์เยอะมากๆ อะไรที่คนติ สั่งสอนว่าเราไม่น่ารัก เราฟัง แต่มันมีแบบให้ไปตาย ไปกระโดดตึกสิ ขอให้เราตาย มาทุกช่องทาง โมก็งงว่ามันคืออะไร มันไม่ใช่โมไลฟ์แล้ว มันคือไล่ครอบครัวเราไปตาย โมกลัวพ่อแม่มาเห็นมาก เพราะเขารักเรามาก กลัวเขาจะเจ็บปวด โมเลยไม่เล่าให้ท่านฟังเลย”

เมื่อเวลาผ่านไป โมยอมรับว่ามีร้องไห้เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ยอมรับว่าคนเราย่อมมีวันที่แย่ แต่มันจะเป็นบทเรียนให้ โม มนชนก เปลี่ยนไปเป็นอีกคน 

“จะถึงขั้นฟ้องร้องไหม โมไม่ได้คิดเลย 100% โมคิดแค่ว่าถ้าไม่มีเรื่องนี้โมก็คงไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้เป็นคนคิดบวกนะ มันก็ทำให้เราเรียนรู้จริงๆ คนที่เขาด่า ถ้าเขาไม่วางก็เรื่องของเขาไง แต่ถ้าเราวางได้ เราก็เป็นสุขอยู่ในใจแค่นั้น”