ละครเรื่องนี้เป็นอย่างไร

“เรื่องนี้รับบทเป็นฝาแฝดครับ ต้องบอกว่าดีใจมากที่ได้มาร่วมงานกับค่ายมากกว่าฝัน คือ พี่ต้าร์ (ศิริพิชญ์ วิมลโนช) พี่วี (วีรภาพ สุภาพไพบูลย์) เขาเป็นนักแสดงมาก่อน เขาก็ค่อนข้างมีความเข้าใจนักแสดง ว่านักแสดงต้องการอะไรเวลาทำงานและดีใจมากที่ได้มาเจอผู้กำกับที่น่ารักมาก คือบางคนบอกซ้ายต้องซ้าย ขวาต้องขวา แต่พี่ซ้ง (ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์) ผู้กำกับ เขาจะตั้งคำถามก่อนเลยว่าเราทำการบ้านมาอย่างไรบ้าง ใส่ได้เลยนะ เขาบอกว่าคุณต้องรู้จักตัวละครดีกว่าผมอยู่แล้ว ผู้กำกับคือคนมองภาพรวมแต่นักแสดงต้องทำการบ้านตัวละครของตัวเองมา ฉะนั้นนักแสดงแต่ละคนจะพกของตัวเองมาขายอยู่แล้ว การที่เปิดโอกาสให้เราได้ขาย แชร์ไอเดียกัน ซึ่งการทำงานแบบนี้ผมมีความสุขมาก”

ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่เล่นเป็นแฝดหรือเปล่า

“เป็นเรื่องแรกที่เล่นเป็นแฝดเต็มตัว เพราะว่าเรื่องที่แล้ว ดวงใจขบถ กับมธุรสโลกันตร์ มาเจอกันตอนท้าย แต่เรื่องนี้คืออยู่ด้วยกันตลอดเลย เส้นเรื่องก็เดินเรื่องเร็วครับ มาเจอกันเร็ว สลับตัวกันเร็ว”

การร่วมงานกับฐิสาและสกาย 2 คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

“น่ารักทั้งคู่ คือกองนี้เป็นกองที่ผมอยากมาทำงาน”

แกล้งอะไรฐิสาบ้าง

“เขาก็แกล้งผมนะ แล้วจริงๆ ถ้าเขาอยู่พร้อมกัน 2 คนนะ ผมจะแกล้งเขาไม่ได้เข้าใจไหม คือ 2 คน แล้วผมก็จะมีแบบเต้นติ๊กต่อกเล่นกันในกอง ฐิสาเขาก็จะแบบไม่เอาๆ เต้นไม่เป็น แต่ยืนหลังกล้องนะ แล้วเต้นเป๊ะกว่าผมอีก แล้วมาบอกว่าไม่เต้น เขาไม่ชอบแสดงออก แต่จริงๆ ฐิสาเป็นคนเต้นเก่งมาก บอกร้องเพลงเขาก็บอกไม่เอาไม่ร้อง แต่จริงๆ ร้องเพราะนะ ผมถามคุณแม่เขาแล้ว จริงๆ เป็นคนร้องเพลงดีเลย วันนั้นผมก็เลยชวนเขามาร้องเพลงกับผม เพลงรางวัลที่ 1 ของผม ปรากฏว่าร้องดีเลยร้องเพราะด้วย ผมก็ถามเก็บไว้ทำไมความสามารถ เอาออกมาให้หมด”

ต้องฟีทกันแล้วล่ะ ฐิสาเป็นคนไม่ค่อยเปิดตัวเอง

“จริง ต้องชวนไปตะโกน ปาจานไปกำแพง ตัวจริงเขาเป็นคนน่ารักนะ คือเราก็มองเห็นว่าเพื่อนเรามีของดี แต่เพื่อนเราไม่กล้าเปิดเฉยๆ สำหรับเราเรามองว่าเพื่อนทำได้ ทำได้ดี อาจจะเขินอายแหละ ให้เต้น ให้ร้องเพลง”

ตัวเราล่ะ พอมาเป็นดาวติ๊กต่อก

“ผมโดนบังคับ (ยิ้ม) เริ่มจากโดนน้องบอส (บอส นวไพบูลย์) บังคับก่อน ทำคลิปเลย ตอนนั้นคลิปแรกติ๊กต่อก 8-9 ล้าน ผมก็บอกไม่เอาๆ ท่าเยอะ แต่ก็เต้นกันไป พอคนดู 8 ล้านเริ่มสนุกแล้ว หลังๆ ก็ถามเลยวันนี้มีอะไร มาๆ (หัวเราะ)”

เรียกว่าตอนนี้ไมค์พร้อมมาก

“คือเวลาไปกองก็จะมีน้องบอสที่เล่นเป็นตำรวจรุ่นน้องในเรื่อง เวลามากองทุกครั้งก็จะมาพรีเซนต์ พี่วันนี้มีคลิปนี้ หรือจะเป็นคลิปนี้อะไรแบบนี้”

ดูกองนี้กิจกรรมเยอะเชียว

“บทไม่ค่อยอ่านกันหรอก เต้นแต่ติ๊กต่อกกัน (หัวเราะ) คือเรื่องบททุกคนทำการบ้านอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว และเวลาอยู่ในกองผมจะไม่ค่อยสนิทกับพี่อ้น (สราวุธ มาตรทอง) เพราะว่าบทเราจะต้องฟาดฟันกัน วันไหนที่ผมกับพี่อ้นมีบทต้องเชือดเฉือนกันยิ่งห่างเลย”

อ้นไม่งงเหรอ ไมค์คุยเล่นกับทุกคน เว้นเขา

“เทคนิคเดียวกันครับ เขาก็แยกห้องเลยคนนั้นน่ะ (ยิ้ม) ผมก็ถามในกองนะพี่อ้นไปไหน ทีมงานก็บอกห้องนั้นๆ ผมก็คิดเลยเดี๋ยวเจอกันๆ (ยิ้ม) พอละครปิดกล้อง คือสนิทกันครับ เจอกันก็กอดกันแล้ว แต่สไตล์การทำงาน การสร้างสมาธิเราเหมือนกัน”

เข้ากับสกายล่ะเป็นอย่างไร

“บทนางแซ่บนะ นางเล่นได้สบาย แต่ก็จะเขินตัวเองเวลาเล่น เวลาเข้าฉากเมา เขาเมาเหมือนจริงมาก ระดับความยานของเสียงคือดูสมจริงมาก ยังแซวเลยว่าทำไมเล่นดีแบบนี้ ตะกี้ไปเข้าห้องน้ำไปแอบดื่มอะไรมาหรือเปล่า (หัวเราะ) เมาเหมือนจริง หน้าแดงไปหมด ชอบเวลาเขาเล่นบทเมาน่ารัก คือเวลาคนเมาจะพูดอะไรไปเรื่อย พูดไม่คิด แล้วสกายเล่นเป็นธรรมชาติมาก”

ไมค์กลายเป็นคนชอบงานเบื้องหลัง

“ชอบครับ”

เตรียมตัวเป็นผู้จัด

“ก็อยากทำนะครับ แล้วคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วด้วย ผมอยู่กับมันทุกวันอยู่มาเป็น 10 ปีแล้ว อยู่ในดีเทลงานของมันจริงๆ ผู้จัดอย่างพี่ต้าร์ พี่วี ก็เป็นนักแสดงมาก่อน เขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในการทำละครเรื่องหนึ่ง ผมเองก็รู้เพราะเราทำงานมาตรงนี้ก็เป็น 10 ปี อะไรที่ว่าดี อะไรที่คนดูเห็น แต่ยังไม่มีคนทำ เราก็อยากจะทำ”

บางคนเขาบอกยิ่งรู้ ยิ่งเห็น ยิ่งไม่อยากทำ ไม่อยากปวดหัว

“ก็ใช่ แต่ผมมองว่าเป้าหมายมีไว้พุ่งชน ไม่ใช่ทำงานไปวันๆ จะทำงานรอเกษียณเหรอ ไม่อยากเลื่อนตำแหน่งไปสูงสุดก่อนเกษียณเหรอ ผมไม่ใช่คนประเภทนั้น คือมันต้องไปให้สุด ผมอยากรู้ว่าในวันที่ผมจะเล่นละครไม่ได้ผมไปได้ถึงตรงไหน ละครไทย อย่างเรื่องบท เราก็ต้องทำ เราอย่าดูถูกคนดู คนดูไปถึงไหนแล้ว คือผมพูดหลายทีแล้วและต้องพูดเยอะๆ”

บางคนบอกว่าคนไม่ค่อยดูทีวีแล้ว ดูออนไลน์กัน ทีวีวันหนึ่งมันต้องจบ

“ผมว่าไม่จริง สังเกตไหมว่างานละคร งานซีรีส์อะ ถ้ามันดีที่ไหนเขาก็ดู ของดีอยู่ไหนคนก็ไปดู แต่ที่เขาไปดูพวกสตรีมมิงเพราะอะไร ถ้าคุณพัฒนางานของคุณให้มันทันโลกยังไงคนเขาก็ดู โดยเริ่มต้นจากบทก่อน ให้มีความเป็นธรรมชาติ อะไรที่มนุษย์ไม่พูด มนุษย์ไม่ทำก็อย่าไปทำ แต่ถ้าจะทำก็ต้องทำเกินความคิดคนอื่นไป 1 ก้าว ให้เขาพูดเลยว่าคิดได้อย่างไร สุดยอด มีตั้งหลายวิธีให้ทำ”

ขั้นตอนการเป็นผู้จัดตอนนี้ถึงไหนแล้ว

“ผมเคยเข้ามาแล้วที่ประชุม ผมนำเสนอทุกอย่างเรียบร้อย แต่ผมก็เข้าใจผู้ใหญ่ตรงที่ผมยังไม่มีประสบการณ์อะไรจริงๆ แนวทางผมอาจจะไม่ได้ 100% ผมก็บอกผู้ใหญ่ไว้ตลอดแหละ ถ้ามีอะไรบอกผมได้ ให้ผมทำอะไร คือถ้ามีโอกาสผมก็อยากทำให้บ้านตัวเองก่อน ผมยังไม่ได้ไปนำเสนอที่อื่นเลย ผมอยากลองเหมือนกันนะถ้ามีคนอยากซื้อผม แต่ผมลองไม่ได้เพราะผมมองว่าที่นี่คือบ้านของผม ถ้าที่บ้านของผมไม่ซื้อ”

ให้เวลากับที่นี่นานแค่ไหน

“ถ้าผมไปเล่นเองก็คงหลังจากหมดสัญญาครับ ตอนนี้สัญญาเหลือปีหนึ่ง”

โอกาสต่อสัญญารอบหน้า

“คือมันเป็นความคิดของผม เป็นความฝันของผมที่อยากจะเติบโตในทางของผม ถ้าเราเอาตัวเองออกไปคุยกับคนเยอะๆ เราก็จะเห็น อย่างตอนทำรีเสิร์ตคอนเสิร์ต ผมนั่งพูดคุยกับแฟนคลับเป็นพันๆคน ผมถามทุกคนดูเรื่องอะไรกันอยู่ ทำไมถึงดูเรื่องนั้น แฟนละครช่อง 7 ทุกคนนะเนี่ย เขายังไปดูสตรีมมิงเลย ทำไมล่ะ เขาก็บอกว่า เพราะแบบนี้ๆ คือเขาพัฒนาไปไกลแล้ว เขาบอกช่อง 7 ดูละครไมค์เรื่องเดียว เพราะเขารักผม ถ้าเขาไม่รักเขาก็ไม่ดู”

ปีหน้าการต่อสัญญาคือ 50-50 ใช่ไหม

“ใครจะว่าอย่างไรผมไม่รู้นะ ผมก็รักช่อง 7 ผมไม่ได้อยากจะไปไหน ผมมีอะไรดีๆ ผมก็อยากให้ที่นี่ที่แรก”

ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เราก็จะอยู่บ้านหลังนี้

“ใช่ครับ”

แต่ถ้ายังไม่ใช่ล่ะ

“คือจริงๆ ผมก็อยากอยู่ที่นี่แหละ ไม่อยากไปไหน”

มีไอเดีย แต่ไม่สบโอกาส แอบน้อยใจหรือ ท้อบ้างไหม

“มันมีอยู่ตลอด คือผมคิดจะทำมา 3 ปีแล้ว มันเป็นสิ่งที่ผมเพิ่งไฟลงเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว แต่หลังปีใหม่ไฟก็กลับมาอีก คือเราคิดเราอยากทำ เราตอบตัวเองได้อย่างชัดเจน”

อัปเดตความรักกับปุ๊กลุก เป็นยังไงบ้าง

“ความรักดีครับ ดีเสมอ”

ใกล้จะมีข่าวดียัง

“ทำงานก่อนครับ คือมีความสุขกับการใช้ชีวิต ท่องเที่ยว ทำงาน เรารู้สึกว่าถ้าถึงเวลาก็คือวันนั้นแหละ การแต่งงานคือแต่งไม่แต่งจริงๆ ก็เหมือนกันแหละ บางคนแต่งไปแป๊บเดียวก็เลิกกันแล้ว คบกันมา 10 ปีแต่งงานก็ยังเลิกกันได้ สำหรับผมคือมันไม่ต่าง เราเรียนรู้กันไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะมั่นใจ 100% แล้วเราค่อยคุยกัน คือจะปีหน้า เดือนหน้า อาทิตย์หน้าก็ได้ เราต้องเรียนรู้ต้องปรับตัวกันไป เพราะเรายังไม่ได้เรียนรู้กันในทุกมิติ ช้าๆ ใจเย็นๆ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม”

รู้จักกันในหลายมุมมากขึ้น

“ความโชคดีคือเราได้เป็นเพื่อนกันมาก่อนหลายปี 3 ปีแล้วเราเพิ่งมาสนิทกันช่วงละครนายฮ้อยทมิฬ เราได้เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งรีบ”

เป็นสายคลั่งรักไหม

“ไม่ได้คลั่งแต่ก็รักเฉยๆ คือโตแล้วเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กๆ อะไรที่มันเยอะไปก็ไม่ดี เชื่อผม ไม่ต้องตามใจกันมาก ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองไปซะทุกอย่างเพื่อเขา ความรักมันคือการปรับตัว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าเขาขอให้เราเปลี่ยนตรงนี้ เราก็ต้องมาดูว่าสิ่งที่เขาขอมันเยอะไปไหม แล้วสิ่งที่เราทำเนี่ยมันไม่ดีเหรอ ถ้าเกิดสิ่งที่เราทำมันไม่ดีจริงๆ เราก็สมควรที่จะต้องเปลี่ยนให้เขา เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เขาไม่แฮปปี้ที่เราเป็นแบบนี้ แต่บางอย่างมาขอให้เราเปลี่ยนนิสัยแล้วเรามองว่า นิสัยตรงนี้ไม่เห็นเป็นไรเลย คืออะไรที่เราเปลี่ยนได้เราเปลี่ยน แต่ต้องไม่ล้ำเส้นเกินไป”

อะไรที่ทำให้คบกันได้นาน

“การที่เราเป็นเพื่อนกันมาก่อนมันจะไม่ซับซ้อน คือถ้าคนเป็นแฟนแบบจีบมาเพื่อเป็นแฟนกันเลยเนี่ย มันจะเริ่มต้นจากความเกรงใจ คือทำอะไรที่ผิดธรรมชาติตัวเองไปหมดเลย จนวันที่
ตัวเองรู้สึกอึดอัดแล้วก็พูดไม่ได้ คือทำให้เขามาตั้งนานแล้วจะมาเปลี่ยนมันก็ไม่ได้ แต่พอเป็นเพื่อนเราเป็นตัวของตัวเองมา 100% ตั้งแต่แรกแล้ว ทุกวันนี้คือคุณเห็นเรา เราเห็นคุณ เรารู้จักกัน คุยกันสบาย ปัญหาเราเลยไม่ค่อยมี เพราะคุยกันได้หมดวิจารณ์งานกันได้ เป็นคำพูดเชิงสร้างสรรค์ เราโตมาด้วยกัน เราวิจารณ์งานกันได้แต่ก็ต้องมีวิธีการพูดกับเขานะ เขาเองก็เหมือนกัน คือไม่ใช่ว่าจะมาบอกว่าเราเล่นแย่นะ เขาจะมาแบบฉากนี้เธอคิดอะไรอยู่ เราก็อธิบายไป เขาก็จะบอกว่าอ๋อคิดแบบนี้ถูกต้องแล้ว แต่สายตาน่าจะแบบนั้น คือเรียกว่าเป็นการวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์มากกว่าครับ”.