จูเน่ เผยเหตุผลที่ออกจากวง สารภาพครั้งแรก “เมื่อก่อนไม่ชอบ BNK48"


ให้คะแนน


แชร์

“อย่างแรกเลยคือด้วยแพลนของการเรียน คุณแม่บอกว่าเราดรอปไป 2 ปี เขาอยากให้เรากลับไปเรียนแล้ว เราเรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เวลาก็มีจำกัด

ใจจริงก็ยังอยากทำงานอยู่มากๆ ค่ะ แต่ด้วยความที่เราคุยกับคุณแม่ไว้แล้วว่าเป็นทางที่ดีที่สุดในเวลานี้ ปีที่แล้วเราดรอปไปด้วยเพราะเราถ่ายซีรีส์ทั้ง 2 เรื่องเลย ปีนี้ยังไม่มีซีรีส์ที่ต้องถ่ายต่อ เราก็โอเค กลับไปลุยเรื่องเรียนก่อน

เราโชคดีมากที่เข้า BNK48 แล้วเราได้ลองในพาร์ทของการแสดง เปิดประสบการณ์เรามาก หนูฝันว่าอยากเป็นนักแสดงมาตลอด หนูได้ทำงานร่วมกับจีดีเอช บริษัทที่หนูปลื้มมาตลอด

เรามองคนที่ทำงานในบริษัทนี้ในฐานะคนดู เรารู้สึกว่าอยู่ห่างไกลเขามากเลย แต่ว่าวันนี้เราใกล้เขามาก หนูรู้สึกดี คิดไม่ออกแล้วว่ามันจะดีกว่านี้ยังไง ก็เอาเป็นว่าวันนี้เราตัดสินใจมาในทางที่เรามีความสุข มันเป็นไปได้ แฮปปี้ในทุกๆ ฝ่ายค่ะ”

กับคำถามที่ว่าเสียดายรึเปล่าเพราะคนรู้จักเยอะจาก BNK48 หากทำควบคู่กับงานแสดง มันอาจช่วยส่งเสริมกันได้ จูเน่เผยว่าคุณแม่อยากให้มองการเรียนเป็นหลัก อีกทั้งเปิดใจเล่าตรงๆ ว่า BNK48 ไม่ใช่สไตล์ของตัวเองเลย

“ระยะเวลาที่หนูอยู่ BNK48 มันทำให้หนูดรอปมา 2 ปีแล้ว มันทำให้การเรียนและการเป็น BNK48 ไปพร้อมกันมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้

ถ้าเป็นคนอื่นที่เรียนแบบเลกเชอร์ เช็กชื่อ มันก็คงได้ แต่สำหรับหนู หนูเรียนสถาปัตย์ แล้วมันต้องลงมือทำ ทำให้เราต้องเข้าคลาส ขาดไม่ได้เกิน 2 ครั้งในแต่ละวิชา ทำให้เราต้องเลือกจริงๆ และแม่ก็ยังให้เราไปสายการแสดงต่อ

อีกใจนึงจริงๆ หนูทำตามความรู้สึกหนู ณ จุดนี้เราชอบการแสดง เราอยากค้นหาเกี่ยวกับมัน เราอยู่กับ BNK48 กว่า 2 ปีครึ่งแล้วที่คลุกคลีมา รู้จักแล้วได้ซ้อมได้ลองอะไรต่างๆ หนูบอกเลยว่า BNK48 ไม่ใช่ตัวหนูเลย หมายถึงว่าไม่ใช่สไตล์หนูเลย หนูไม่อินญี่ปุ่นเลย แต่วันนั้นที่เราตัดสินใจเข้าไปคือไปลองอะไรใหม่ๆ ให้กับชีวิตเรา

เราไปลองทำอะไรที่เราไม่เคยคิดเคยฝัน แต่เรามีโอกาสตรงนั้น เราก็อยากทำ เราก็ได้ลองแล้วโอเค พอใจแล้ว วันนี้เรามาเจอการแสดงที่รู้สึกว่ามันใช่สำหรับเราในวินาทีนี้มาก แค่ทำตามในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันใช่ก็แค่นั้น”

สารภาพครั้งแรก “เมื่อก่อนไม่ชอบ BNK48”

เมื่อถามต่อว่าเพราะอะไรถึงทำให้รู้สึกว่า BNK48 ไม่ใช่สไตล์ของตัวเอง จูเน่บอกว่าที่จริงก็ชอบร้องเพลง แต่ชอบร้องเพลงในห้องน้ำกับเวลาขับรถ ไม่ค่อยชอบร้องให้คนอื่นฟัง แม้จะเป็นคนกล้าแสดงออกและเป็นผู้นำก็ตาม

“จริงๆ หนูชอบร้องเพลงนะ แต่หนูไม่ค่อยชอบร้องเพลงให้คนอื่นฟัง หนูชอบร้องเพลงในห้องน้ำกับเวลาขับรถ ร้องเพลงแล้วร้องไห้ไป อินๆ เล่นเอ็มวีอะไรแบบนี้” จูเน่หัวเราะก่อนจะเล่าต่อว่า “จริงๆ หนูชอบร้องเพลงและเต้นตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนนำเต้นหน้าห้องเรียน แม่ก็จะบอกว่าเราเต้นไม่เหมือนกันทุกครั้งเลย แต่เราก็ชอบ คือเราเป็นคนกล้าแสดงออก เป็นผู้นำ มีความเต้นๆ กิจกรรมได้ เราก็อาจจะยังไม่ได้ลองอะไรเยอะขนาดนั้น

แต่ว่าในวันนี้ด้วยความที่หนูอยากเป็นนักแสดง จีดีเอชเป็นที่ที่หนูฝัน แน่นอนว่ามันก็เป็นความรู้สึกที่มันอยู่ข้างในหนูมาตลอด มันต่างจาก BNK48 ที่เราไม่ได้อินมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีน้ำหนักกับหนูมาก แต่ไม่ได้แปลว่า BNK48 ไม่ดีหรือว่าไม่เหมาะสมกับหนู วันนี้หนูแค่ตัดสินใจทำในสิ่งที่หนูรู้สึกว่าชอบและมีโอกาสกับตรงนั้นค่ะ”

ก่อนจะเล่าตรงๆ กับบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ให้ฟังเป็นที่แรกว่า เมื่อก่อนเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ชอบ BNK48 เลย

“เราได้ลองกับการเป็น BNK48 แล้ว มันเปิดโลกหนูมาก หนูสารภาพกับพี่เป็นที่แรกเลยว่าเมื่อก่อนหนูเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ชอบ BNK48 เลย หนูบอกกับเพื่อนเลยว่าไม่ชอบ ตอนเพลง “คุกกี้เสี่ยงทาย” ออกมาก็ไม่ชอบ ถามว่าทำไมไม่ชอบ มันแบบ…อะไรอะ มุ้งมิ้งๆ ไม่เข้าใจ คือเราเคยเป็นคนที่มองเนกาทีฟกับองค์กรนี้มาก่อนด้วยซ้ำ

แต่วันนี้เราได้ลองเข้าไปแล้ว กลายเป็นว่าจริงๆ หนูรัก BNK48 มาก รักเมมเบอร์ สาเหตุนึงที่หนูรู้สึกว่าไม่อยากออกเพราะหนูรักพวกเขาทุกคน ทุกคนเหมือนสู้ไปด้วยกัน หนูก็รู้สึกผิดที่หนูออกมา”

จากนั้นจูเน่นิ่งไปสักพักและพูดต่อว่า “เรื่องมันเศร้าค่ะ พูดแล้วก็จะร้องไห้ แต่เราก็เต็มที่ในทุกช่วงเวลาที่หนูทำ และหนูก็ไปตามหัวใจของหนู จริงๆ หนูเป็นคนทำตามสัญชาตญาณตัวเอง แล้วแม่หนูเป็นคนที่รู้ดีว่าเขาไม่สามารถบังคับหนูได้ จะมาให้หนูไปเรียนหนูไม่ยอม จนวันนี้เราก็ต้องยอมเขาเพราะว่าอย่างน้อยเขาก็ยอมให้เราเหมือนกันที่ให้เรามาเล่นการแสดง”

หวิดเป็นโรคซึมเศร้า

แน่นอนว่าการที่เคยยืนอยู่ในตำแหน่งเมมเบอร์ BNK48 จะต้องผจญกับข่าวและประเด็นดราม่าต่างๆ มากมาย ซึ่งค่อนข้างหนักสำหรับวัยรุ่นอายุ 20 ปี และจูเน่เล่าให้ฟังว่าบางครั้งก็มีวันที่ซึมเศร้าเหมือนกัน

“คือในโซเชียลมีคนหลายประเภทมาก มีทั้ง 18+ หื่นกาม หรือก้าวร้าวมาก พูดคำหยาบ ด่าพ่อแม่ ด่าอากงหนูก็เคย โกรธสุดคือด่าอากงนี่แหละ ด่าอากงหนูทำไม หนูก็เจออะไรแย่ๆ มาเยอะนะ

แต่อย่างนึงที่เราพูดไปว่าเราเป็นคนไม่เสพ ซึ่งโชคดีมาก ถ้าเจออะไรแย่หนูก็ขอผ่านไปเลย เอาหลักการมาจากพี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์)

พี่เบิร์ดบอกว่าถ้าเจออะไรแย่ๆ สมมติเปิดทีวีแล้วเจอภาพเสือกำลังตะครุบกวาง พี่เบิร์ดเปลี่ยนช่องเลยนะ ตอนนั้นไปเล่นคอนเสิร์ตกับพี่เบิร์ดมา เขาก็บอกว่านี่คือเคล็ดลับนึงที่ทำให้พี่มีสุขภาพจิตที่ดี เราเลือกที่จะเสพได้ เราเลือกที่จะดูอะไรดีๆ ได้ นี่คือชีวิตเรา

แต่มันก็มีวันที่หนูจมเหมือนกัน วันที่เราซึมเศร้ามากๆ ก็มี เรารู้สึกว่าเราดึงตัวเองขึ้นมาไม่ได้เลยก็มี ก็มีปรึกษาพี่สาว กับรุ่นพี่ที่มีความรู้เรื่องโรคซึมเศร้า แต่ส่วนตัวแล้วไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าขนาดนั้น

แต่หนูค้นพบว่าความคิดที่ทำร้ายเรามากมันไม่ใช่ความคิดที่มาจากคนอื่น แต่เป็นความคิดที่เราเชื่อว่าเราเป็นแบบนั้น ดังนั้นตัวเราสำคัญมาก มันเลยทำให้หนูต้องพยายามคิดให้ดีให้ได้ เพื่อที่จะฮีลตัวเองให้ได้ค่ะ”

จูเน่ยอมรับว่าการจะคิดให้ดีให้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเรามักจะหาข้อจับผิดในตัวเองเสมอ แต่ก็พยายามที่เข้าใจในธรรมชาติของตัวเอง “การจะคิดให้ดีให้ได้ก็ยากค่ะ เพราะพอเราอยู่กับตัวเองมากๆ ไม่ได้สุงสิงกับใคร ความคิดเรามันแล่นตลอด แล้วเรามักจะหาข้อจับผิดในตัวเองเสมอ ซึ่งบางทีเราไม่ได้ตั้งใจ แต่มันเป็นอัตโนมัติแล้ว

เราพยายามยิ้มให้ตัวเองเยอะๆ เราก็บอกว่านี่คือธรรมชาติของเรา เราเกิดมาแบบนี้ เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่เรายังมีชีวิตอยู่ พอเราคิดอะไรแบบนั้นก็รู้สึกว่าเรื่องอื่นที่มันโจมตีเรามันเป็นเรื่องเล็กไปเลย

สุดท้ายชีวิตมันเป็นของเรา เราก็แค่อยู่กับตัวเราเอง คนที่รักเรา มีความสุขไปด้วยกัน ส่วนคนที่ไม่รักเรา เราทำได้แค่หวังว่าสักวันนึงเขาจะเปิดใจให้กับอะไรใหม่ๆ บ้าง เพราะมันจะทำให้เขาเองมีความสุข”

กำลังใจในวันที่ตัดสินใจครั้งสำคัญ

ในวันที่ตัดสินใจออกจาก BNK48 แน่นอนว่ามีทั้งคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ แต่จูเน่บอกว่าแฟนคลับของเธอเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมความมั่นใจในการตัดสินใจครั้งนี้ว่ามาถูกทางแล้ว

เมื่อจะต้องพูดถึงแฟนๆ จูเน่นิ่งไปสักพักก่อนพูดว่า “โอ๊ย มันพูดยากจังเลย” ก่อนจะเล่าต่อว่า “คือเอาตรงๆ อย่างที่รู้กันว่า BNK48 มันก็มีกฎระเบียบเยอะ และหนูเป็นคนนึงที่ค่อนข้างรักอิสระแหละ แต่เราก็อยู่ในกฎมาตลอดนะ

แต่ในวันนี้ที่เรารู้สึกว่าเราจะไปสายการแสดงที่เราเป็นตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่เรารัก และมีหลายๆ คนที่เขารู้จักเราที่เราเป็นเรา โชคดีมาก แล้วเขาสนับสนุน เขาพูดเลยว่า ไม่ว่าคุณจะไปไหน ผมจะตามคุณไป เพราะผมรู้ว่าคุณจะตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุดให้ตัวเองอยู่แล้ว

หนูเลยแบบโอ้โห… คือหนูรู้สึกดี มันเสริมความมั่นใจหนูมาก ทำให้รู้สึกว่าโอเค หนูคงมาถูกทางแล้วกับการตัดสินใจตามสัญชาตญาณของหนู เมื่อก่อนหนูไม่อินกับแฟนคลับขนาดนี้นะ แต่หลังจากที่พอไปเรื่อยๆ แล้ว เขาแสดงออกว่าเขาเข้าใจเราในหลายๆ มุมมากๆ ทำให้รู้สึกเลยว่ามันสัมผัสได้ถึงความเมตตาต่อกันของมนุษย์ค่ะ

เพราะอย่างที่รู้กันว่าความเป็นจริงในวงมันมีกฎ หรือการที่อยู่ในวงการบันเทิงมันก็จะมีกระแสต่างๆ ทำให้เราอาจจะดูไม่ดีบ้างในบางช่วง แต่ว่ามันก็มีคนที่เข้าใจเราและมองเราอย่างเปิดใจ บริสุทธิ์ใจจริงๆ ยอมรับที่เราเป็นเราไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เขาไม่ฟังเสียงคนอื่น แต่เขามองที่เราเป็นเราจริงๆ มันเลยทำให้หนูรู้สึกว่าโอเค หนูก็อยากทำในสิ่งที่ดีนะ เพราะว่าเขาโฟกัสที่เราแล้ว เราไม่โกหกความรู้สึกตัวเองค่ะ”

บทเรียนที่ได้จาก BNK48

ก่อนจะจบการสนทนา จูเน่เล่าถึงการที่เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกวง BNK48 ว่านอกจากจะเป็นประสบการณ์ที่ดีแล้ว ยังได้รับบทเรียนที่ดีคือการเปิดใจ ไม่อคติกับอะไรไปก่อน

“เราได้ประสบการณ์หลายอย่างมาก อย่างที่บอกพี่เป็นที่แรกว่าหนูเคยไม่ชอบ BNK48 มาก่อน แต่อยู่ดีๆ เราก็อยากลองสิ่งนี้ขึ้นมา เข้าไปแล้วเรายอมรับนะว่ามีหลายอย่างที่มันรู้สึกว่าไม่ตรงกับเราจริงๆ

เราค่อยๆ เรียนรู้แล้วเราเข้าใจกับมันมากขึ้น เข้าใจว่าจริงๆ แล้วมันมีเหตุผลของมันที่ระบบเป็นแบบนี้ เข้าใจในมุมไอดอลของญี่ปุ่นมากขึ้น เข้าใจว่าคนตรงนี้เขารู้สึกยังไงกับเรื่องต่างๆ เราต้องอดทน เข้มแข็ง เป็นตัวอย่างที่ดี เราต้องมีมายด์เซตที่ดี มันฝึกหนูเยอะมาก

โชคดีมากที่เราเจอเมมเบอร์ที่โตมาด้วยกันค่ะ เริ่มต้นจากศูนย์ เป็นคนโนเนม ไม่มีชื่อเสียงมาก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาไปด้วยกัน มันเป็นบทเรียนชีวิต หนูจะเอาไปเล่าให้ลูกหลานหนูฟังเลยค่ะ มันทำให้เรารู้สึกว่าครั้งหน้าเราจะค่อยๆ เปิดใจเรียนรู้มัน ก่อนที่เราจะไปอคติกับมันก่อน อันนี้คือบทเรียนสำคัญเลย เพราะตอนแรกเราเริ่มจากอคติกับภาพลักษณ์ไอดอลญี่ปุ่น ซึ่งใครบอกว่าดีหรือไม่ดี สุดท้ายคือตัวเราเองที่ควรจะเปิดใจดูก่อน ลองดูว่ามันเป็นยังไงกันแน่

สุดท้ายทุกคนคือมนุษย์ ทุกคนมีความน่าสงสาร อย่างตอนนี้ที่ BNK48 มีดราม่าโจมตีต่างๆ หนูก็รู้สึกว่ามันก็แย่หน่อยเนอะ เราให้กำลังใจกัน สุดท้ายต่างคนต่างโต มีประสบการณ์ ทุกคนต่างเข้าใจว่าเราปล่อยผ่านกับเรื่องตรงนี้ได้ เรื่องนี้ก็เอามาพัฒนาตัวเองหน่อย เรื่องแบบนี้ก็ไม่ต้องไปแคร์มาก มันทำให้เราโตขึ้น ก็ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาเป็นบทเรียนให้เน่และทุกคน ทำให้รู้สึกว่าเราโตขึ้น เราแข็งแกร่งขึ้น ได้ใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่ที่คิดดีขึ้นค่ะ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
กราฟิก : Taechita Vijitgrittapong
ภาพ : Thairath Online, BNK48 Office, อินเทอร์เน็ต

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1921749
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1921749