เปิดใจ เฌอเอม ชญาธนุส กับทุกดราม่า หลังเข้าประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์


ให้คะแนน


แชร์

เราปรับอะไรให้กับแฟนนางงาม กับเวทีประกวดนางงามบ้าง?
“ก็อย่างแรกคงเป็นการเดินค่ะ เพราะอย่างแรกการเดินของเอมค่อนข้างผิดธรรมชาติ เอมเป็นคนที่เดินอย่างนี้มาสักพักหนึ่งแล้วตั้งแต่เป็นนางแบบ ทีนี้เรียนรู้การจัดระเบียบร่างกายให้ดีขึ้น ให้ร่างกายรีแลกซ์ เดินให้มันสนุกขึ้น หนูก็เอ็นจอยนะ แล้วอีกอย่างคือสายตาค่ะ

คือเมื่อก่อนเอมจะเป็นคนกลัวกล้อง และไม่ค่อยมองตาคนค่ะ เพราะวัยเด็กเราไม่ค่อยโอเคกับผู้คนค่ะ เดี๋ยวนี้ก็จะมองตาคนขึ้นค่ะ ไม่กระพริบตา ไม่หลบตามองพื้นค่ะ(ยิ้ม)”

ถ้ามีโอกาสได้ไปเวทีใหญ่ต่างชาติ คิดว่าจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรเพิ่มกับตัวเรา?
“อันที่จริงก็ไม่ค่อยเกี่ยวนะคะ แต่อยากเพิ่มน้ำหนักค่ะ(ยิ้ม) คือหนูอาจจะผอมไปนิดนึง ด้วยช่วงนี้น้ำหนักมันลงอัตโนมัติจากกิจกรรมที่มันเข้มข้น แล้วก็เจ็บกระดูกไปหมดแล้วค่ะตอนนี้

พอไขมันน้อยมันก็เจ็บง่ายค่ะ จับอะไรก็เจ็บค่ะ หนูเป็นคนบอบบางอ่ะ ก็อยากจะให้เฟิร์มขึ้น ให้มันกระชับขึ้น เราก็จะได้ถึกทนกับการฝึก เพราะปีนี้การเตรียมตัวน้อยค่ะ แล้วอีกอย่างหนึ่งคือภาษา เอมไม่ได้คิดว่าต้องพูดให้ได้ 100% นะคะ ภาษาอังกฤษ แต่ว่าถ้าเราสื่อสารได้ เราก็จะสามารถเมคเฟรนด์ได้

“ก็คงเตรียมใจค่ะ เพราะเรารู้อยู่แล้วมันเป็นภาระ มันเป็นเกียรติ เหมือนที่เปียเคยพูดว่า โอเคมันเป็นชื่อเสียงมันเป็นเกียรติยศ มันยังคงเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สำคัญคือต่อความรับผิดชอบของตัวเอง และต่อความคาดหวังของคนไทย ซึ่ง 3 สิ่งนี้ เอม ว่ามันต้องบาลานซ์ไปด้วยกัน

ที่สำคัญคือความคาดหวัง คาดหวังได้ แต่มันก็คงจะมีบางคนที่จะต้องผิดหวังในตัวเรา ที่นี้สิ่งสำคัญเราจะถือความคาดหวังนี้ยังไง โดยไม่ทำให้ตัวเองเฟล แล้วก็โฮลความคาดหวังของคนไทย เพราะฉะนั้นมันจะต้องหาจุดกึ่งกลางให้ได้ ซึ่งสิ่งนี้เอมเชื่อว่าการทำงานกับกองประกวดมันจะทำให้ตัวเองพัฒนาไปได้ถึงจุดสูงสุดค่ะ”

ตอนนี้เรารับมือกับดราม่าที่เกิดขึ้นกับตัวเรายังไง?
“เอาตรงๆ ดราม่ามันเป็นสิ่งที่ถ้าเลือกจะรับ ก็แค่รับ ไม่แก้ แต่ถ้าเลือกไม่รับ ก็ไม่ต้องรับ ไม่ต้องแก้เหมือนเดิม ถ้ามันเป็นคำแนะนำแปลว่าเราต้องแก้ แต่บางทีดราม่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ มันไม่ได้ติเพื่อก่อ ฉะนั้นก็ไม่ต้องรับ

เพราะว่าถ้ารับเมื่อไหร่มันจะเข้าแค่ตัวเรา มันไม่ได้เข้าคนอื่น อย่างเอมมีเรื่องการเดินใช่มั้ยคะ ถ้ามีคนแนะนำเรื่องการเดินที่เป็นรูปธรรม เช่น ลองทิ้งสะโพกดู อันนี้เราฝึกได้ แต่ถ้ามาพูดว่าทำไมไม่เดินให้เป็นนางงามกว่านี้ ถ้าพูดอย่างนี้เราก็คิดแล้วว่า นี่มันไม่ใช่คำแนะนำ เพราะถ้าแนะนำให้จริงๆ มันต้องทำได้ ถูกมั้ยคะ มันต้องทำได้เลย

ถ้าเราอยากให้ใครทำอะไรสักอย่าง เราจะต้องคิดว่าคนๆ นั้น ทำสิ่งนั้นได้รึเปล่า ถ้าคุณพูดโดยที่ไม่ได้คิดถึงสิ่งนี้ เอม คิดว่าเนื้อในคุณอาจจะไม่ได้ชอบเราสักเท่าไร ซึ่งนั่นก็ไม่ได้สำคัญค่ะ เพราะว่าการประกวดไม่ได้ต้องชอบนางงามทุกคน แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดนางงามทุกคน คุณแค่ต้องยอมรับเขาในสิ่งที่เค้าเป็น”

แสดงว่าเราเลือกที่จะรับสิ่งที่เค้าติติง และเราพร้อมที่จะปรับปรุง?
“ใช่ค่ะ คือเอมเรียนรู้ ในสิ่งที่เอมจะเรียนรู้ได้ค่ะ คือพยายามจะเรียนรู้ตลอดเวลา คือกายภาพภาพอย่างนี้มาติเรามากๆ มันเป็นสิ่งที่เราเปลี่ยนไม่ได้ ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว มันก็จะเหมือนวนไปในเรื่องที่เอมเคยฟันหักว่า ผิดเหรอที่ฉันโดนล้อ ผิดเหรอที่ฉันโชคร้าย ผิดรึเปล่าที่ฉันเกิดมาไม่มีสะโพก สุดท้ายมันก็เป็นแค่ธรรมชาติของเรา มันไม่มีอะไรผิด”

แสดงว่าเราอยากจะเป็นนางงามคนแรก ที่อยากให้คนลบภาพแพทเทิร์นนางงามแบบเดิมๆ ออกไป ถูกมั้ย?
“ค่ะ ก็ในเมื่อทุกคนอยากให้ประเทศได้มงที่ 3 อยากให้สังคมพัฒนา อยากให้ผู้หญิง มีภาพลักษณ์ใหม่ แล้วสิ่งเดิมๆ มันสร้างอะไรให้กับความแปลกใหม่ มันก็ไม่ได้สร้าง ถูกมั้ยคะ

รากฐานที่สำคัญซึ่งเราเรียนรู้เก็บมาใช้ แต่มันไม่สามารถเหมือนเดิมได้ตลอดไป เพราะโลกข้างนอกมันก็ไม่เหมือนเดิมถ้าเราเหมือนเดิมเราก็จะเป็นประเทศที่ไม่ได้มงที่ 3 ตลอดไปค่ะ อันนี้ในความคิดของเอมเลยค่ะ

เพราะว่าทุกประเทศตอนนี้เค้ากำลังพัฒนา คือเค้าให้พื้นที่ผู้หญิงไปสู่พื้นที่ใหม่แล้วค่ะ ทำไมเรายังมีกรอบนางงามที่มีการพรีเซนต์ผู้หญิงอยู่ในกรอบเดิมๆ ปีก่อนอย่าง ตุ่นศรี มิสยูนิเวิร์สปีที่แล้ว อันนั้นเค้าก็สตรองมากเลยนะคะ ซึ่งตอนนี้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก แล้วเวทีไทยพร้อมหรือยังกับเรื่องนี้คะ”

เรื่องอุบัติเหตุที่เราเจอ จนฟันหัก แล้วคนมาว่าเรา มันเกิดอะไรขึ้น?
“อ๋อ หนู ตกลงมาจากเครื่องเล่นค่ะ แล้วมันกระแทกแนวฟันส่วนบน ฟันหน้าหักไปซี่ครึ่ง แล้วฟันก็โยก ตอนนั้นยังเด็กอยู่เลยค่ะเหมือนเพิ่งจะได้ฟันแท้ประมาณยังไม่ถึง 10 ขวบเลยค่ะ ก็เรียกได้ว่าใช้ชีวิตกับสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตกับปมด้อยมาตั้งแต่เด็ก

คือคนก็ต้องมองเมื่อเรามีความแตกต่าง คือเราเป็นเด็กที่ไม่ได้มีหน้าตาน่ารักเป็นทุนเดิม เค้าก็จะยิ่งมองเราว่า เราเป็นตัวตลก ทีนี้มันทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่มีสิทธิ์จะเป็นอะไรได้ไปมากกว่านี้ได้เลย เพราะเมื่อเราเป็นเมื่อไหร่คนก็จะพยายามบอกว่าเราทำไม่ได้หรอก มันก็ฝังเข้ามาในตัวเรา

เพราะเรารู้สึกว่า ถ้าเราไม่พยายามเราก็ไม่เจ็บ แล้วเอมก็จะไม่ค่อยพูดไม่ค่อยยิ้มเห็นฟันสักเท่าไหร่ ลองสังเกตว่าแรกๆ เอม จะไม่ยิ้มเห็นฟันเลย แล้วก็เป็นคนที่ไม่สบตาคน ตอนที่ออดิชั่นต่อหน้ากล้องก็สั่น ทั้งที่เรารู้ว่าเราไม่ใช่คนคนเดิมเราไม่ใช่เด็กผู้หญิงแล้ว

แต่ว่าเมื่อร่างกายเจอความกดดันที่คุ้นเคย เราจำความรู้สึกของสายตาคนในแบบไม่ได้ทำให้เกิดความสั่น คือมันอยู่ในตัวเราถึงแม้ว่าหัวใจเราจะลืมไปได้ หรือคิดว่าก้าวผ่านมันไปได้ แต่ด่านข้างนอกสุดของมันคิดว่ามันไม่สามารถดึงสิ่งนี้ได้”

จากเหตุการณ์นี้มันส่งผลอะไรต่อเราอีก นอกจากไม่กล้าสบตาคน เรื่องการออกเสียงด้วยมั้ย?
“นิดนึงค่ะ เพราะถ้าสมมติว่าเรารู้เรื่องการออกเสียงจริงจัง จะไม่ใช่แค่รู้ว่าเฉพาะลิ้นเราทำไมใหญ่ แต่เป็นเรื่องของคนที่มีปัญหาด้านเพดานปาก เสียงพูดแบบนี้เค้าจะรู้เลยว่าเป็นเสียงของคนที่เคยใส่ฟันปลอม

ตอนเด็กเอมเคยใส่ฟันปลอมค่ะ เพราะวิธีมูฟลิ้นมันจะไม่เหมือนกับคนทั่วไป แล้วก็มีความผิดปกติที่ช่องปากแต่กำเนิด เพราะว่าลิ้นเอมจะใหญ่ผิดกว่าปกติ

เอมพูดชัดตอนนี้ก็จะต้องควบคุมโคนลิ้น ควบคุมคอค่อนข้างเยอะ แล้วเองก็จะเจ็บริมลิ้น เพราะขอบลิ้นมันเบียดเข้าไปกับฟันกราม คือถ้าเห็นเอมยิ้ม ก็จะรู้ว่าฟันเอมเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ถ้าสังเกตก็จะเหมือนลิ้นหมาลิ้นแมว

เอมกัดปากตัวเองบ่อยมาก นี่ก็ต้องอดทน ในฐานะตัวแทน เพราะเสียงเราจะต้องดังที่สุด ต้องชัดที่สุด แล้วมันไม่ได้ชัดเพื่อที่จะลบเลือนข้อบกพร่อง แต่มันจะต้องชัดเพื่อที่จะอินสไปร์ กัดลิ้นตัวเองเจ็บค่ะ แต่เจ็บกว่าคือไม่ได้พูด”

แล้วเราต้องใส่ฟันปลอมนานแค่ไหน?
“จริงๆ 17-18 หนูก็ยังใส่นะโดยไม่มีคนรู้ อันนี้เพิ่งเปิดใจตอนออดิชั่นเลยนะคะ”

นอกจากเราจะชนะใจคน เรายังชนะใจตัวเองด้วยใช่มั้ย เพราะเคยบอกว่าเป็นคนขี้อาย?
“ก็จริงๆ เป็นคนขี้อายค่ะ เป็นคนปฏิเสธสังคมก่อน ก่อนที่สังคมจะปฏิเสธเรา ซึ่งมันคือลักษณะของคนที่มีความเจ็บปวดมาก เอมคิดว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปตอนนี้ไม่ใช่ความกล้าแสดงออก

แต่เป็นความที่ เรากล้าที่จะให้สังคมสัมผัสกับเราเรากล้าที่จะเปิดเผยความเป็นตัวเราให้กับสังคมเพราะว่าถ้าเรายังกลัวที่จะโดนโจมตี เราไม่กล้าที่จะทำอะไร ก็แปลว่าเราไม่กล้าจะยืนด้วยความภาคภูมิใจ ทั้งที่เรารู้ว่าเราไม่มีอะไรต้องอาย”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1938366
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1938366