"หนุ่ม กรรชัย" กับความจริงในห้องประชุมวันนั้น และปมคาใจ "แพรวา-ลัลลาเบล"


ให้คะแนน


แชร์

“เจ้าชู้” กับหนุ่ม กรรชัย คือสิ่งที่มาคู่กัน?

ช่วงแรกๆ ที่ทำพิธีกรก็ยังไม่มีใครมาพูดค่อนแคะอะไรกับการทำงานมากนัก แต่พอมาเริ่มทำรายการโหนกระแส กับทางช่อง 3 อันนี้เริ่มมีคนพูดถึงและจับตามองมากขึ้นว่า ดาราคนนี้ นักแสดงคนนี้ถึงมาสัมภาษณ์ฮาร์ดทอล์กแบบนี้ จะรอดเหรอ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมาก

จนถึงวันนึง คือการได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ของช่อง 3 คุณอัมพร มาลีนนท์ ท่านเรียกผมไปคุยและต้องการให้ผมเป็นผู้ประกาศข่าว แต่ตัวผมไม่มั่นใจ เพราะผมเป็นคนชอบเสือก ชอบอยากรู้เรื่องคนอื่น อะไร ยังไง ชอบถาม อยากรู้ อยากเห็น อันนี้มันเป็นในเรื่องของงานส่วนพิธีกร

แต่การเป็นผู้ประกาศข่าวมันต่างกันคนละขั้วเลย การเป็นผู้ประกาศคือการเอาเรื่องของคนอื่นไปเล่าให้เขาฟัง ซึ่งมันต่างกัน ผมเป็นคนชอบฟังเรื่อง แต่ไม่ชอบเล่าเรื่อง แต่วันนึงพอต้องมาเป็นผู้ประกาศ ก็ต้องไปเล่าเรื่องคนอื่น ต้องอ่านเรื่องคนอื่น ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือไม่

ตอนนั้นผมหนีนายอยู่ 2 เดือน จนกระทั่งนายถามว่าจะเอายังไง งานมันจะต้องเริ่มแล้ว มันรอไม่ได้แล้ว สุดท้ายผมก็ตัดสินใจ และทบทวนให้ดีๆ ว่าจริงๆ แล้วการได้มานั่งเป็นผู้ประกาศของช่อง 3 มันเป็นเกียรติของชีวิตเรามาก

เพราะมีอีกหลายร้อย หลายพัน หรือหลายแสนคน อยากจะได้โอกาสนี้ โอกาสที่ได้มานั่งเป็นผู้ประกาศข่าว และเป็นผู้ประกาศข่าวหลักของช่องที่คนอื่นไม่ได้รับโอกาสนี้

แต่ผมเหมือนถูกลอตเตอรี่ มีคนเอาลอตเตอรี่มายื่นให้ ก็ถามกับตัวเองว่า จะไม่รับจริงเหรอ นั่นแหละผมจึงตัดสินใจว่าจะรับและทำ ถ้าไม่ดีค่อยไปแก้ไขใหม่ แต่วันนี้ขอทำก่อน”

ทนโดนดูถูก ค่อนแคะ แต่วันนี้ผมทำได้ดีกว่าพวกเขา

จากนั้น หนุ่ม กรรชัย บอกว่าต่อว่า โอกาสของชีวิตมันมีไม่กี่ครั้ง ถ้าปฏิเสธการเป็นผู้ประกาศข่าวของช่อง 3 ก็ไม่รู้จะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่ หรืออาจจะไม่มีโอกาสนี้อีกเลยตลอดชีวิต เพราะไม่ใช่ว่าจะมีคนมายื่นโอกาสนี้ให้ตลอดเวลา

เพราะการทำงานแวดวงสื่อโทรทัศน์ มันมีเรื่องของกระแส และเรตติ้ง มากดดัน เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ หากเรตติ้งดี นั่นหมายความว่า คุณคือผู้ชนะ แต่ถ้าเรตติ้งตก คุณคือจุดอ่อน 

“ผมไม่กดดันเลย (ยิ้ม) เพราะผมมองว่า อะไรก็ตามที่รับมาทำแล้ว เราก็ต้องทุ่มเทกับมัน ต้องพยายามขวนขวายหาความรู้ คนที่เขาเคยทำมาก่อนหน้านี้ ทำงานหนักแค่ไหน เราก็ต้องทำให้ได้อย่างเขา หรืออาจจะต้องหนักมากขึ้นกว่าเขาอีกเพราะเราไม่ได้เดินมาทางสายนี้โดยตรงตั้งแต่แรก

เพราะฉะนั้น เมื่อได้มาทำ ผมก็จะมีวิธีการคือต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ออกจากบ้าน 06.10 น. มาถึงช่อง 7 โมง หลังจากนั้นก็หาข่าวว่าจะอ่านเรื่องอะไรบ้าง แล้วก็ประชุมข่าวว่าจะมีข่าวอะไรบ้าง

มาคุยกับแขกรับเชิญของรายการเพื่อเอาข้อมูล ข้อเท็จจริงจากคนที่เป็นข่าว ต้องรับรู้เอง เพราะข้อมูลมันชัวร์กว่า จะได้รายละเอียดมากกว่า จากนั้นก็มาแต่งหน้าทำผม แทบจะไม่ได้กินข้าว แล้วก็ทำงาน ชีวิตผมวนอยู่แบบนี้

และที่สำคัญมันจะหนักตรงที่ผมทำรายการโหนกระแสด้วย เราต้องช่วยกันหาแขกรับเชิญ ตัดสินใจว่าจะเอาเรื่องอะไร เพราะรายการของเราอยู่แบบครอบครัว ไม่มีโปรดิวเซอร์ ผมจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะเล่นอะไร ทีมงานจะติดต่อให้ แต่ถ้ามันยากผมก็จะติดต่อเอง ผมทุ่มเทกับการทำงานรายการนี้มากเหมือนกัน”

เพราะกรรชัย ชอบการทำข่าวแบบฮาร์ดทอล์ก เราเลยขอถามแบบฮาร์ดๆ กับเจ้าตัวดูบ้างว่า การเป็นพิธีกรและผู้ประกาศข่าวรายได้ไม่เท่ากับการเป็นนักแสดง ต้องทำงานทุกวันแทบไม่ได้หยุด แต่ทำไมถึงยังเลือกที่จะทำ ซึ่ง หนุ่ม กรรชัย หัวเราะเสียงดังก่อนตอบเราว่า 

“มันเป็นความสุข ผมแก่แล้วนะ บังเอิญว่ามันเป็นโอกาสของผมที่จะได้ทำ และมันก็เป็นอีกเส้นทางนึงของวงการ ผมก็เลือกที่จะทำ มันเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วย

และอีกอย่างคือ ผมถูกค่อนแคะเยอะมาก (ลากเสียง) ตอนที่ผมมาทำข่าวใหม่ๆ ทุกคนจะมองว่าผมไม่ใช่สื่อ ไม่รู้จะขนานนามว่าอะไร เขาจะพูดว่า เป็นสื่อที่ไม่มีมารยาทในการถาม เป็นสื่อแต่เป็นสื่อกลางไม่ได้ มองว่าผมไม่ใช่สื่อจริงๆ มองผมว่าเป็นคนบันเทิงแต่มาทำสื่อ

มันเหมือนเป็นแผลนะแต่ผมไม่ได้โกรธแค้นพวกเขา แต่ผมเอาสิ่งเหล่านี้มาสร้างเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองว่า ในสิ่งที่คุณกำลังประณามผม บูลลี่ผม ต่างๆ นานา ผมไม่โกรธหรอก แต่สิ่งที่ผมคิดคือ แล้วจะทำให้เห็นว่า ผมทำได้ดีกว่าคุณ

และถ้าถามว่าวันนี้ผมมาถึงเป้าหมายของผมแล้วหรือยัง ผมตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ผมทำให้คุณได้เห็นแล้วว่า ผมก็ทำได้ดีกว่าคุณ เท่านั้นเอง ผมพอใจในสิ่งที่ทำมาและเดินมาจนถึงตอนนี้ได้”

เคลียร์ปมครหาทำไมต้องช่วย “แพรวา” 

จากนั้น หนุ่ม กรรชัย ก็เล่าเรื่องหนึ่งให้เราฟังว่า “อย่างเรื่องของแพรวา ที่ขับรถชนคนบนโทลล์เวย์ เรื่องนี้แม่แพรวาติดต่อผมมาเอง ว่าให้ผมเป็นสะพานให้ ช่วยประสานกับผู้เสียหาย

ผมบอกว่าประสานให้ไม่ได้หรอก จนกว่าคุณแม่จะรับปากว่าจะหาเงินมาซัพพอร์ตผู้เสียหายทั้งหมด เพราะว่าทุกคนสูญเสีย เขาลำบากกันมาก ชีวิตไปต่อไม่ได้ ถ้าคุณแม่ต้องการให้ผมไปเชื่อมทางนู้นให้ก็ต้องรับปากผมก่อน ซึ่งเขาโอเค

ผมก็เริ่มกระบวนการของผม ถามว่ามีที่ มีทรัพย์สินมั้ย ผมก็เอาไปขายให้ แต่ขายไม่ได้ ก็บอกแม่แพรวาให้ไปยืมเงินคนอื่นมาก่อนด้วยการเอาที่ดินไปวางค้ำ ก็ช่วยหาวิธีการ

จนกระทั่งสุดท้ายเขาไปหาเงินมาได้ 50 ล้าน แต่แม่ให้ผมช่วยเอาเช็คไปวางที่ศาลแทน เป็นตัวแทนให้หน่อย ผมก็ทำให้ เอาเช็คไปวางที่ศาล ก็ยังไม่วายมีคนมาด่าว่าผมทำเกินหน้าที่ สื่อบางสื่อบอกว่า การเป็นสื่อ เป็นสื่อกลางได้ แต่เป็นคนกลางไม่ได้ ใช้คำพูดคำนี้

แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ผมไม่ได้มองแบบนั้น ผมมองว่า การเป็นสื่อ มันคือการที่คนต้องพึ่งพาเราได้ด้วย และต้องพึ่งพาได้ในหลายๆ เรื่อง ไม่ใช่แค่พึ่งพาในเรื่องการนำเสนอข่าวอย่างเดียว จบแล้วแยกย้ายไป

ถ้าสื่อเป็นสื่อกลางได้ แต่เป็นคนกลางไม่ได้ ถ้ามองแบบนั้น จริยธรรมของการเป็นมนุษย์มันอยู่ตรงไหน ถ้าวันนึงผมเป็นสถาปนิก ผมมีหน้าที่ออกแบบอย่างเดียวใช่มั้ย

แล้ววันนึงสถาปนิกคนนี้เดินไปแล้วเจอเด็กโดนรถชน ต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่ช่วยเพราะผมเป็นสถาปนิก ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่กู้ภัย แล้วเดินผ่านไป สังคมจะอยู่ยังไง

แต่ถ้าคนที่มีจริยธรรมของความเป็นมนุษย์ มันต้องช่วยเด็กคนนั้น ต่อให้ทำอาชีพอะไร คุณก็ต้องช่วย คิดว่าช่วยได้ต้องช่วย เท่านั้นเอง มันคือความเป็นมนุษย์ ช่วยได้ก็ช่วย อย่าไปติดว่า เราไม่ได้ทำงานนี้ อย่าไปยุ่งกับเขา ไม่ต้องไปช่วย ผมมองว่าอะไรช่วยได้ก็ช่วย

ผมถูกคนด่าว่าทำไมเข้าข้างแพรวา ผมไม่ได้เข้าข้าง ประโยชน์สูงสุดไม่ได้อยู่ที่ผม ไม่ได้อยู่ที่แพรวา แต่อยู่กับคนที่เขาสูญเสีย และเขาก็ได้รับเงินไป ถ้าวันนั้นไม่ได้ไปเจรจากับแม่ สุดท้ายจะทำยังไง ต้องไปขึ้นศาล วันนี้จะได้เงินรึยัง

และการที่ผมไปเป็นคนกลาง มันผิดตรงไหน ถ้าผมจะทำให้สังคมมันเดินต่อไปได้ อาจจะไม่ได้ช่วยทั้งประเทศ ทั้งโลก แต่ในมุมนึงที่ผมทำ แล้วคนเห็นด้วยแล้วทำเหมือนกันมันก็จะพาสังคมไปได้ เท่านั้นเอง

บางคนอาจจะไม่เข้าใจในความคิดของผมก็ได้ แต่อันนี้เป็นความรู้สึกของผมจริงๆ ผมมาถึงเป้าหมายที่ผมพูดได้เลยว่า ผมจะทำให้ดีลบล้างคำสบประมาทเหล่านั้นให้ได้

และผมก็ว่าผมทำได้ ผมชัดในแนวทางของผม แต่ถ้าจะทำให้คนอื่นโกรธแค้น ไม่สบายใจ มันไม่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องของเขา แต่ในมุมของผม ผมก็ทำตามแนวทางของผม”

ได้เรตติ้งจากเขาแล้วก็รู้จักเป็นผู้ให้กันบ้าง

แต่ถึงแม้ หนุ่ม กรรชัย จะดูเป็นคนพูดตรงๆ ดูน่ากลัวบ้างในบางครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้ว ผู้ชายคนนี้เป็นคนขี้สงสาร เวลามีคนมาออกรายการจะชอบควักเงินช่วยเหลือตลอด ซึ่ง หนุ่ม กรรชัย พูดถึงเรื่องนี้พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ว่า 

“ผมไม่ได้เป็นคนขี้สงสารคนนะ เพียงแต่รู้สึกว่า สังคมมันต้องไปต่อให้ได้ ผมจะยกตัวอย่างเรื่องของช่างสักกับผู้หญิงคนนึงที่สักออกมาไม่ตรงปก แล้วเขาก็มีเรื่องกันทางเฟซบุ๊กด้วยการด่ากันไปด่ากันมา ทางผู้หญิงไปแจ้งความ เคลียร์กันจนเรียบร้อย แต่ยังตกลงเรื่องเงินกันไม่ได้ ผมเลยเสนอว่า จะช่วยจ่าย 2 หมื่นให้กับผู้หญิง

ที่จ่ายให้ไม่ใช่ช่วยคนผิดนะ แต่รู้สึกว่าถ้าเราปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไป ช่างสักก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ทางผู้หญิงก็ต้องเสียเงินค่าทนาย มันไม่ได้มีอะไรดีขึ้น

แล้วเงิน 2 หมื่น ถ้าช่วยเขาได้ เราไม่ได้เดือดร้อนมาก ก็ช่วยไปทุกคนจะได้แยกย้ายกันไปทำมาหากิน ในมุมผมก็มองว่ามันเป็นการช่วยเหลือสังคมให้มันเดินไปด้วยกันได้ ไม่ใช่เราทำรายการเสร็จได้เรตติ้งก็จบๆ ไป ผมไม่อยากเป็นคนแบบนั้น

และในกรณีของลูกลัลลาเบล ที่ลูกเขาเดือดร้อนไม่มีค่าเล่าเรียน เด็กอายุแค่ 3-4 ขวบ ผมให้ค่าเทอมเขาไป 6 หมื่น แล้วก็บอกว่า ถ้ามีปัญหาเรื่องการเรียนของลูกลัลลาเบลให้มาบอกผม ขอให้นึกถึงผมเป็นคนแรก ผมจะจัดการให้ ไม่ต้องเกรงใจ หลายคนก็ถามว่าไปให้เงินเขาทำไม

แต่ในมุมของผม ผมมองว่าจริงๆ แล้ว ทั้งโหนกระแส และข่าวเที่ยงวัน เล่นข่าวลัลลาเบลเยอะมาก มีประเด็นทุกวัน ผมก็แค่รู้สึกว่า เราได้จากเขาแล้ว เอาเรื่องเขามาเล่น แล้ววันนี้ผมจะคืนให้กับลูกสาวของลัลลาเบล มันจะเป็นอะไรมั้ย

ชีวิตคนเรา มันรับแล้วมันก็ต้องให้คนอื่นด้วย จะมานั่งรับอย่างเดียวไม่ได้ ถ้ารับอย่างเดียว ตัวคุณแตกแน่ รับอย่างเดียวมันไม่ได้ดีกับชีวิตหรอก ต้องรู้จักคืนให้กับคนอื่นด้วย

ผมได้เรตติ้งจากลัลลาเบล แล้ววันนี้ ผมคืนเงินเป็นการช่วยเหลือครอบครัวเขา สำหรับผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดแผกแปลกไปจากชีวิตของมนุษย์ที่เราควรกระทำ ผมไม่ได้เป็นคนใจดีนะ แต่ผมแค่มองว่า สังคมจะต้องอยู่ร่วมกันให้ได้เท่านั้นเอง ก็ช่วยไปหลายคน ช่วยเรื่อยๆ เวลาช่วยคนอื่นผมก็ไม่ค่อยได้บอกเมย์ เพราะมันเป็นเรื่องของผม เป็นเงินส่วนตัวของผม”

ห้องประชุมในวันนั้น…มันมีอะไร?

ก่อนหน้านี้มันมีเรื่องที่ทำเอาหลายฮือฮา และเป็นข่าวลือร้อนแรงที่หลุดออกมาจากห้องประชุมกับข่าวที่ว่า ผอ.ข่าวคนใหม่ไม่ปลื้ม หนุ่ม กรรชัย เตรียมปลด เตรียมถอดรายการออก อันนี้เรื่องเท็จจริงเป็นอย่างไร เคลียร์กันลงตัวแล้วใช่หรือไม่ งานนี้หนุ่มตอบกับเราว่า 

“มันไม่ได้มีอะไรเลย เวลาเข้าห้องประชุม ความคิดเห็นเราไม่จำเป็นต้องตรงกันทุกคน การประชุม มันคือการแชร์การทำงานร่วมกัน หาแนวทางการทำงานให้มันเดินไปข้างหน้าให้ดีที่สุด คนนึงเสนอแบบนี้ อีกคนเสนอแบบนี้ ไม่เหมือนกันเลย มันเป็นเรื่องในห้องประชุม

และพอมันหลุดออกมาจากห้องประชุม มันถูกขยายความแบบผิดๆ กลายเป็นโหนกระแสถูกปลด หนุ่ม กรรชัย ถูกปลด ผอ.ข่าวคนใหม่ต้องการแบบนี้ แต่กรรชัยไม่ยอม มันกลายเป็นอีกเรื่องไปเลย

ซึ่งเรื่องจริงคือ เราประชุมเพื่อจะหาทางพัฒนารายการร่วมกัน เราออกความคิดเห็น แล้วหาตรงกลางร่วมกัน แค่นั้นเอง แต่ข่าวที่ออกมา ทำผมตกใจมาก ข่าวลือออกมาขนาดนี้เลยเหรอ

และเพราะเรื่องของการเพิ่มเวลานี้แหละที่ทำให้เราต้องเข้าห้องประชุมกัน ว่าเวลาที่เพิ่มมาจะทำอะไรดี ปรับให้เป็นอย่างไรในช่วงนั้น แต่คนไม่เข้าใจ”

ส่วนประเด็นที่หลังจากข่าวนี้ออกมากลายเป็นพิธีกรเนื้อหอมหลายช่องรุมจองตัว อันนี้จริงหรือเปล่า เรื่องนี้ หนุ่ม กรรชัย ตอบเราว่า “ผมไม่ได้ยกตัวเองนะ แต่มันมีติดต่อมาเรื่อยๆ แหละ ก่อนที่จะมีเหตุการณ์นี้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเรายังยืนยันว่ายังเป็นพนักงานของช่อง 3 อยู่ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้มีความคิดว่าเราจะไปที่อื่น”

พ่อหนุ่ม ของ น้องมายู

เพราะ กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นผู้ชายที่ดูแล้วก็มีทั้งมุมอ่อนโยน และความดุไม่น้อย เราเลยอยากรู้ว่า ในบทบาทของการเป็นคุณพ่อของน้องมายูนั้น หนุ่ม กรรชัย เป็นอย่างไร ซึ่งเจ้าตัวบอกกับเราว่า 

“ห่วงลูกมาก อยากให้ลูกเป็นทอม แต่สุดท้ายมายูจะเป็นอะไรก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่อยากให้ลูกดูแลตัวเองได้ ทันเล่ห์เหลี่ยมสังคม เพราะปัจจุบันนี้ก็เห็นว่าพวกจิ้งจอกมันเยอะ ยิ่งมีพ่อที่เคยเจ้าชู้มาก่อน มันยิ่งคิดไปเป็นทวีคูณ เหมือนเรารู้จักตัวตนของผู้ชายดีว่ามันจะมาไม้ไหน แบบไหน 

แม้ตัวเองจะอยากได้ลูกผู้หญิงอยู่แล้ว แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าต่อไปชีวิตลูกจะเป็นยังไง จะไปเจอผู้ชายแบบไหน ส่วนการเลี้ยงดูนั้น บอกเลยว่า ไม่เคยเลี้ยงลูกแบบตามใจ ไม่ใช่อยากได้อะไรก็ได้ และอีกอย่างคือ มายูเลี้ยงยากมาก (ยิ้ม) เขาเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ได้อะไรก็งอแง ไม่ยอม ซึ่งตนเองนั้นจะดุ ถ้าลูกเอาเท้าถีบของ ผมก็จะตีขาทันที”

จากนั้น หนุ่ม กรรชัย เล่าต่อว่า เวลาที่จะได้เจอลูกในแต่ละวันนั้นน้อยมาก หรือแทบไม่ได้เจอเลย เพราะต้องออกจากบ้านแต่เช้า กลับไปเจอกันบ้างเล็กน้อย แต่ลูกไม่ถามหรืองอนนะว่าทำไมพ่อไม่อยู่ด้วยเลย ซึ่งมายูเขาเข้าใจในการทำงานของตน

แอนตี้การมอบรางวัลลูกดารา

จากนั้นเราถามต่อถึงเรื่องความรู้สึกที่มีต่อการมอบรางวัลให้กับลูกดารา ที่หนุ่ม กรรชัย นั้นเคยประกาศกร้าวว่า อย่าเอาลูกตนไปจัดอันดับอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ผ่านมาจนถึงวันนี้ ความรู้สึกแอนตี้การประกาศ หรือจัดอันดับเด็กๆ นั้นเบาบางลงไปบ้างหรือยัง ซึ่งดูเหมือนเรื่องนี้จะทำให้ หนุ่ม กรรชัย เดือดเบาๆ อีกครั้ง

“ผมไม่ชอบเลย การที่มนุษย์จะได้รางวัลอะไรมาสักอย่าง มันควรต้องมีผลงานในการพิสูจน์ว่าใครทำได้ดี ใครทำไม่ได้ดี แล้วค่อยมาแปรผลเป็นรางวัล แต่สำหรับเด็ก มันเป็นการตัดสินกันเอง

เด็กคนนั้นน่ารักกว่าคนนี้ เด็กคนนี้น่ารักกว่าคนนั้น ผมถามว่าทำแบบนี้มันได้เหรอ มันเป็นการคิดจากตัวคุณเองว่าเด็กคนนี้น่ารัก คือผมรู้สึกว่ามันโหลยโท่ย มันเป็นการทำร้ายเด็กทางอ้อม

ถามว่าเพราะอะไร เพราะว่าเด็กแต่ละคน พ่อแม่หรือตัวเด็กก็จะมีแฟนคลับของเขา ถ้าอยู่ดีๆ ไปจัดอันดับว่าเด็กคนนี้อยู่อันดับนี้ เด็กคนนี้ก็จะถูกแฟนคลับของเด็กอีกคนมาด่า ว่าไม่เห็นจะน่ารักเลย เด็กของฉันควรจะได้มากกว่า ทำแบบนี้มันมีประโยชน์อะไร

ที่สำคัญที่สุด ลูกดาราไม่ได้เก่ง ไม่ได้น่ารักทุกคนเสมอไปนะ ลูกชาวบ้านเก่งกว่าลูกดาราอีก น่ารักกว่าลูกดาราอีก เพียงแต่ว่าเขาไม่มีโอกาสเท่านั้นเอง เราเลยไม่ได้เห็นมุมของเขา

เพราะฉะนั้น อยู่ดีๆ คนมาบอกว่าเด็กคนนี้น่ารัก มันตลก แล้วจาก 10 อันดับ อย่าลืมว่า ลูกดารา ลูกคนในวงการมีมากกว่า 10 คน และคนอื่นๆ ที่ลูกไม่ติดอันดับ เขาจะไม่คิดว่าลูกเขาไม่น่ารักเหรอ แค่ในวงการนะ มันคือค่านิยมแบบเลวทราม ผมขออนุญาตใช้คำนี้ในการมาจัดอันดับเด็ก ผมไม่ได้แรงนะ ผมมองแบบนั้น

เด็กน่ารักทุกคน ไม่มีใครน่ารักกว่าใคร เขาก็มีมุมน่ารักในแบบของเขา เด็กไม่ใช่แค่หน้าตาน่ารัก แต่บางคนนิสัยเขาน่ารัก คุณอาจจะไม่เคยได้ไปสัมผัส ถ้าจะเห็นแค่หน้าตาแล้วตัดสินมันไม่ใช่

ผมไม่ชอบเรื่องแบบนี้มานานแล้ว เพียงแต่ว่าในวันนั้นผมไม่มีปากมีเสียงที่จะสามารถพูดได้แต่วันนึงเมื่อผมมีปากมีเสียงที่จะพูดได้ ผมก็เลยพูด จะไม่ปล่อยผ่านไปเท่านั้นเอง และหลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าก็ไม่มีใครจัดอันดับเด็ก ก็ไม่ค่อยมีแล้ว”

จะกลับไปเล่นละครก็กลัวเด็กมันด่าพ่อเอา

ก่อนจะจบการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ เราก็ไม่พลาดที่จะถามคำถามทิ้งท้ายที่หลายคนอยากรู้ไม่แพ้เราว่า ในวันข้างหน้า เราจะมีโอกาสได้เห็น หนุ่ม กรรชัย กลับมาเล่นละครอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งหนุ่มกรรชัยตอบแบบไม่ต้องคิดอะไรเยอะกับเราว่า 

“เรื่องนี้น่าจะยาก เพราะว่าด้วยอาชีพตอนนี้ที่ทำอยู่มันแทบไม่มีเวลาอยู่แล้ว อย่างที่ผมบอกไป เช้าตื่นมาออกไปทำงาน เย็นเลิกงานกลับบ้าน ตารางชีวิตแน่นมาก จะเอาเวลาที่ไหนไปถ่ายละคร แทบไม่มี

แต่ถามว่าคิดถึงมั้ย คิดถึงนะ แต่ถ้าจะกลับไปเล่นมั้ย สองจิตสองใจ อยากเล่นบ้างนะ มีความรู้สึกนั้นบ้าง แต่ว่ากลัวว่าถ้ากลับไปเล่นอีกเด็กอาจจะด่าพ่อเอา (หัวเราะ)

คือเดี๋ยวนี้เด็กเขาเล่นละครเก่งมาก แต่เราเหมือนเล่นเป็นแพทเทิร์น จำบทได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนเรื่องบท บทดีๆ มีส่งมาให้เยอะมาก แต่ก็ปฏิเสธไปหมด เพราะเราไม่มีเวลาจริงๆ ไปเล่นรับเชิญให้ละครคุณเมย์สักฉากสองฉากก็ไม่ได้ เพราะเวลาทำงานผมมันแน่นมาก ไม่มีเวลาว่างเลย (ยิ้ม)”

1 ชั่วโมงกับการพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ เราได้แง่คิดและมุมมองใหม่ๆ จากพิธีกรและผู้ประกาศข่าวจาก หนุ่ม กรรชัย มาไม่น้อย และที่สำคัญ ภาพของผู้ชายเจ้าชู้ในวันนั้น ที่เคยเป็นข่าวอื้อฉาวเรื่องความรัก ได้ถูกฝังกลบไปกับกาลเวลาแล้ว เหลือเพียงภาพความเป็นพ่อของน้องมายู ภาพความเป็นสามีของ เมย์ ปทิดา และภาพการเป็นพิธีกรและผู้ประกาศข่าวของประชาชน. 

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย

กราฟิก : Supassara Taiyansuwan

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1937263
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1937263