ตั๊กแตน ชลดา สตรองฝ่าดราม่า ที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า "ทุกอย่างคือธุรกิจ"


ให้คะแนน


แชร์

ทีนี้คนก็อาจจะมองว่าเฮ้ย ตั๊กแตนเปลี่ยนไป แต่เอาจริงๆ แตนไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แตนคนเดิมเหมือนเดิมทุกอย่าง นิสัยเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่การแต่งตัวแตนก็แต่งตามเพลงนั้นๆ ที่แตนจะโปรโมตออกไป ลุคนั้นๆ ก็จะถูกตีแผ่จากเนื้อหาของเพลงว่าเพลงนั้นพูดถึงอะไร

แล้วเพลงแบบนี้จะมานุ่งผ้าซิ่นมันก็ไม่ได้ มันก็จะต้องตีแผ่ความแซ่บออกมาเพื่อให้เข้าถึงบทเพลง อันนี้แตนเลยถูกมองว่าตั๊กแตนเปลี่ยนไป แต่แตนยังเป็นเด็กบ้านนอกคนเดิม ทุกวันนี้ก็ยังกินส้มตำปูปลาร้าเหมือนเดิม กินง่ายอยู่ง่ายเหมือนเดิม”

นิยามคำว่า ชลดาสไตล์

เมื่อถามว่าชอบทุกพาร์ทของตัวเองไหม ตั๊กแตนบอกว่า “ชอบค่ะ จริงๆ ชอบทุกพาร์ท อย่างความเรียบร้อย เห็นแตนห้าวๆ แบบนี้ บางมุมบางอารมณ์ของแตน แตนก็ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ซึ่งเป็นซะส่วนใหญ่ด้วย โดยเฉพาะเวลาที่เราเหนื่อยจากงาน แต่เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงหรือทีมงานแตนจะห้าวเป้งลั้นลา

แต่ในชีวิตประจำวันจริงๆ คือป้ามาก ใส่เสื้อยืด กางเกงผ้ายืดย้วยๆ บานๆ ไม่แต่งหน้า ทำสวยก็ไม่ได้ทำบ่อย นานๆ ที ด้วยความที่เลือดนักสู้ในตัวของเรามันเยอะ เหมือนฮอร์โมนเพศหญิงในตัวเรามันเลยน้อยไปหน่อย ก็เลยจะไม่ค่อยกระตุ้นว่าฉันจะต้องไปทำสวยบ่อยๆ แต่ในสมองจะกระตุ้นว่าฉันต้องทำงานๆๆๆ มันจะถูกสั่งแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก”

กับคำถามว่าถ้าให้คำจำกัดความตัวตนของตั๊กแตนว่าจริงๆ เป็นคนแบบไหนกันแน่ ลูกทุ่งสาวนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ก่อนตอบว่า “ก็ชลดาสไตล์ คือไม่ปิดกั้นตัวเอง อะไรที่มีความสุขแตนจะทำ คือชีวิตของแตนมีความสุขไม่กี่อย่าง คือกิน เที่ยว ทำงานที่เรารัก และเปย์คนที่เรารัก โดยเฉพาะครอบครัว คือแตนจะมีความสุขกับสิ่งเหล่านี้ แตนก็เลยค่อนข้างให้ความสำคัญกับตรงนี้ ก็เลยไม่มีอะไรสามารถมาปิดกั้นคนอย่างแตนได้ คือแตนจะปลดล็อกตัวเองทุกอย่าง”

ลุคเปลี่ยน เพลงก็เปลี่ยน

ไม่ใช่แค่ลุคภายนอกที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่เนื้อหาเพลงของตั๊กแตน ชลดา ก็เปลี่ยนไปจากเดิมตามลุคที่เปลี่ยน เราถามว่าเมื่อก่อนโด่งดังจากเพลงช้าๆ เศร้าๆ เทียบกับปัจจุบันต่างกันแค่ไหน ตั๊กแตนเผยว่า “จริงๆ มันแค่เป็นการสับเปลี่ยนการทำงานมากกว่า พอเราขาดแนวนี้ เราจะเติมแนวนี้เยอะๆ ถามว่าเราทิ้งเพลงช้ามั้ย ไม่นะคะ เรายังปล่อยเพลงช้าอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่แฟนๆ จะโฟกัสเราแบบไหน ตรงไหน ตอนไหนมากกว่า”

ก่อนจะขยายความต่อว่า “อย่างที่เคยบอกไปว่ามันมีแต่เพลงช้าแล้วไม่มีเพลงสนุก ถ้าเราจะมีแต่เพลงรักมือที่ 3 มันก็มีแต่มุมเดียว และจริงๆ ชีวิตคนจริงๆ มันไม่ได้มีมุมเดียวนะ ชีวิตคนทุกคนมันมีหลายมุม ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มุมไหนกับใคร แตนก็เลยมีความรู้สึกว่าทำไมเราจะต้องมาทีหลังตลอด ทำไมต้องเป็นเมียน้อยตลอด ทำไมจะต้องเป็นนางเอกตลอด จริงๆ ถ้าเจออะไรที่ร้ายกับเรา เราร้ายกลับบ้างก็ได้ ถ้าเราร้ายเพื่อปกป้องตัวเองมันก็ไม่ผิดนะ

เพราะฉะนั้นหน้าที่ของศิลปินคือนักร้องที่ตีแผ่เรื่องราวชีวิตจริงของคนในสังคมปัจจุบัน ถ้าแตนสามารถตีแผ่เรื่องไหนแล้วทำให้ทุกคนรู้สึกนึกคิดได้ นำไปใช้กับประสบการณ์ชีวิตจริงได้ แตนยิ่งจะดีใจ ยิ่งรู้สึกว่าเขาผ่อนคลาย เขาฟังเพลงเราแล้วเขาคิดได้และนำไปใช้กับชีวิตก็ยิ่งดี”

เมื่อถามว่าบางเพลงที่ร้องตรงกับชีวิตจริงๆ ของตั๊กแตนเองรึเปล่า นักร้องลูกทุ่งสาวตอบว่า “ส่วนใหญ่” แต่หลังจากนั้นตั๊กแตนรีบขยายความว่า “จริงๆ มันไม่ได้แต่งมาจากชีวิตจริง แต่ชีวิตจริงมันบังเอิญไปตรงกับเพลง” ก่อนจะหัวเราะชอบใจและเล่าต่อว่า “แต่ที่ถูกสั่งแต่งเพราะชีวิตแตนเลยคือเพลง “โคตรเลวในดวงใจ” อันนั้นพี่ตี่ (กริช ทอมมัส) เป็นคนให้เขียนแบบนั้นเลย แต่ถามว่ามีความหลังอะไรกับเพลงนี้ เราไม่ต้องพูดถึงมันดีกว่า”

เมื่อถึงวันต้องรับมือกับดราม่า

ตั๊กแตน ชลดา เป็นศิลปินที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งในเรื่องความรักที่เคยผิดหวังหนักๆ รวมถึงการถูกบูลลี่จากโลกโซเชียล ดังจะเห็นได้จากข่าวๆ ต่างที่ออกมาเรื่อยๆ

เราถามถึงวิธีการรับมือดราม่าในโซเชียลแบบชลดาสไตล์ เธอบอกว่า “เขาดราม่า แต่เราไม่ดราม่าด้วย คือฟาดมาฟาดกลับแค่นั้นเอง แต่แตนไม่ได้ร้ายกับทุกคนทุกคอมเมนต์ ถ้าบังเอิญวันไหนแตนเมนส์มาหรือวันไหนเราหงุดหงิด หรือรู้สึกว่าคำพูดนี้คุณแย่มาก ไม่น่าพูด อันนั้นอาจจะมีโดนบ้าง แต่ส่วนใหญ่คือแตนก็ปล่อย

เพราะแตนจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้ แตนจะให้ความสำคัญกับคนที่เขารักแตนเพราะรู้สึกว่ามีคุณค่ามากกว่า ถ้าเราไปตอบกลับคนเหล่านี้เยอะๆ เราเหนื่อยเปล่า เพราะคนที่ไม่รักเรา ทำยังไงก็ไม่มีทางที่จะรักเรา ต่อให้เราดีเป็นแม่ชี เขาก็ไม่รักเรา ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีคนนินทาเลย นับประสาอะไรกับเรามนุษย์ธรรมดาเดินดินคนนึงค่ะ”

เมื่อถามว่าเวลาเจอปัญหาหนักๆ ในชีวิต มีคติประจำใจอะไรที่สามารถทำให้เรามูฟออนได้ ตั๊กแตนบอกว่า “อย่าไปคาดหวังกับอะไรเยอะแยะ ทำทุกอย่างที่เรามีความสุขโดยที่เราไม่ทำให้ใครเดือดร้อนแค่นั้นพอ ยิ่งคาดหวังยิ่งเจ็บ ถามว่าเคยคาดหวังมากและผิดหวังแรงๆ มามั้ย เคยค่ะ เราผ่านจุดที่มันแย่ที่สุดมาแล้ว

คือจริงๆ ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องความรัก ชีวิตวัยเด็ก ความยากจน เราก้าวผ่านมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว เกิดมาตายหนเดียว จะได้เกิดอีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ที่ผ่านมาเคยมีมุมท้อๆ ที่เคยแวบๆ เข้ามา แต่สุดท้ายเราก็คิดได้เองว่าจริงๆ เราไม่ต้องไปโฟกัสตรงนั้น

ถามว่าเคยเสียใจนานที่สุดแค่ไหน ถ้าได้ร้องไห้แล้วก็จบ เหมือนเราได้ระบายแล้วก็จบ จบแล้วจบเลยด้วยนะ จะไม่กลับมาพูดอีก และจะไม่เสียใจกับสิ่งนั้นอีก เพราะเหมือนเราได้ระบายและเต็มที่กับมันแล้ว คือถ้าแตนตัดสินใจก้าวออกมาจากตรงไหน เราต้องมั่นใจในตัวเองมากแล้วว่าเราจะไม่เสียใจหลังจากเราตัดสินใจแล้ว เหมือนเราให้เกียรติตัวเอง เคารพการตัดสินใจของตัวเอง”

รุ่นนี้บ่มีคำว่าเหงา

เราเปิดพื้นที่ให้ตั๊กแตนได้เล่าถึงผลงานเพลงล่าสุด “รุ่นนี้บ่มีคำว่าเหงา” ซึ่งนักร้องสาวเล่าถึงเพลงนี้ไว้ว่า “เพลงนี้คอนเซปต์เพลงคือเหมือนเป็นชีวิตของคนที่ผ่านเรื่องราวมาค่อนข้างเยอะ จะเรียกว่าโชกโชนก็ได้ คือผ่านทั้งเรื่องราวความรักทั้งผิดหวัง สมหวัง รวมถึงเรื่องต่างๆ ซึ่งแต่ละคนจะมีชีวิตที่แตกต่างกันไป และแค่คำว่าเหงา เราจะก้าวข้ามมันไปได้ ความเหงามันไม่สามารถทำอะไรเราได้ คือรุ่นนี้แล้ว เจอมาเยอะแล้ว รุ่นใหญ่แล้ว

ส่วนคอนเซปต์การถ่ายทำเอ็มวี แตนเลยมองภาพว่า เฮ้ย พอเพลงมันมาใหญ่ขนาดนี้ คือภาพมันเป็นรุ่นใหญ่แล้วน่ะ ก็เลยอยากได้ความเป็นตัวแม่นิดนึง เฟียร์สๆ ก็เลยนึกภาพเอ็มวีอยู่เมืองนอก เป็นลูกทุ่งสมัยใหม่ ฟีลแบบสายสตรอง ไม่สนไม่แคร์อะไร ทำชีวิตของตัวเองให้มีความสุข จริงๆ เป็นเพลงที่มีพลังงานบวก นำพาให้ทุกคนมีความสุขได้ ทุกเรื่องเรายังผ่านมาได้เลย เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรมันก็ไม่ใหญ่สำหรับเราแล้ว มันอยู่ที่ตัวเรา”

พอเราแซวว่าเนื้อหาโดนใจคนโสด หมดยุควิ่งตามผู้ชายแล้ว นักร้องสาวยิ้มก่อนตอบ “มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องสนใจหรือเหนื่อยแล้ว” เราถามอีกว่าเป็นเพลงที่กลั่นกรองจากประสบการณ์ตัวเองรึเปล่า ตั๊กแตนตอบว่า “จริงๆ ก็ส่วนนึงนะ คือตัวแตนเองก็ต้องยอมรับว่ามีประสบการณ์หลายๆ เรื่อง และบังเอิญนักแต่งเพลงคือ อ.บุญล้อม แกแต่งเพลงนี้ไว้ แล้วมันตรงกับคอนเซปต์ที่แตนอยากได้พอดี ก็เลยมาป๊ะกัน

เสร็จแล้วเหลือการทำดนตรีและถ่ายทำเอ็มวีเพื่อให้มันลิงก์กับสิ่งที่อยู่ในหัวของแตน ให้ถ่ายทอดได้ตรงกับในหัวของแตนมากที่สุด แต่นักแต่งเพลงเขาแต่งมาเป็นแนวลูกทุ่งอีสานปกติ แตนก็เลยใส่ท่อนภาษาอังกฤษเพิ่ม เพื่อให้ดูมีความแปลกใหม่ ซึ่งมันน้อยมากที่จะเป็นแบบนี้ แล้วเราก็อยากให้ดนตรีมีความอินเตอร์ขึ้นมาสักนิด แต่ก็ไม่ทั้งหมด เราก็ยังคงความเป็นตัวเราอยู่”

ตั๊กแตนเผยว่ารู้สึกดีใจที่ฟีดแบ็กดี แม้ในวันแรกจะเจอเหตุที่ไม่คาดคิด “เข้าไปอ่านฟีดแบ็กแล้วรู้สึกดีใจที่แฟนเพลงชอบ จริงๆ เขาก็รู้สึกว้าวเหมือนกันนะที่มาลุคตัวแม่เลย ก็มีคนแซวๆ มา แต่พอเปิดเอ็มวีวันแรกโชคดีเลย ยูทูบล่มทั่วโลก (หัวเราะ) แต่ไม่เป็นไร

ตอนนี้ยอดวิวก็ดีค่ะ ถือว่าโอเคสำหรับยุคนี้ เพราะยุคนี้อะไรก็เปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก และระบบยอดวิวของยูทูบก็เปลี่ยนไปเรื่อย เห็นคอมเมนต์ก็หายเหนื่อยค่ะ ต้องบอกว่าตัวเรามีความสุขด้วยที่ได้ทำตรงนั้น เราเห็นงานออกมาดีก็แฮปปี้ เพราะอันนี้แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เรียกว่าเพิ่งเริ่มต้นฝึกเป็นตัวแม่ใช่มั้ย (หัวเราะ) คือมันเหมือนเป็นเพลงแรกเลย”

ชีวิตปัจจุบันของชลดา

เราถามถึงชีวิตในปัจจุบันของตั๊กแตนว่าเป็นอย่างไรบ้าง นักร้องสาวตอบทันทีว่า “แฮปปี้นะคะ เพราะว่าเราโตขึ้น ไม่มีอะไรมาทำร้ายเราได้แล้วอะ มันเหมือนเราผ่านมาเยอะจริงๆ เหมือนเพลงล่าสุดเลยเนอะ บังเอิญอีกแล้ว (หัวเราะ) จริงๆ เขาไม่ได้แต่งให้เรานะ แต่บังเอิญมันเหมือน คนก็เลยคิดว่าเอาชีวิตตัวเองถ่ายทอด จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ไม่เถียงๆ”

เราแซวว่าแต่ชีวิตจริงไม่น่าโสดเหมือนเพลงรึเปล่า ตั๊กแตนรีบตอบทันที “จริงๆ ก็ยังโสดนะ ตราบใดที่ยังไม่ใช้คำว่าครอบครัว” ก่อนจะหัวเราะชอบใจและพูดต่อว่า “เรียกว่าเรายังไม่สรุป ถามว่าเรียกว่ามีแฟนได้มั้ย เรียกว่าคบกันดีกว่า เรื่องแพลนอนาคตยังเลยค่ะ

ถามว่าต้องคิดนานกว่าเดิมมั้ย จริงๆ ไม่เรียกว่าคิดนาน เรียกว่าให้ระยะเวลามันทำความรู้จักกับทุกสิ่งทุกอย่างให้มันมากพอก่อนแล้วค่อยสรุป เพราะที่ผ่านมาเราอาจจะรีบสรุปเร็วเกินไปในทุกๆ เรื่อง ด้วยความที่เรายังไม่โตมากพอ แต่ ณ วันนึงถ้าเรารู้สึกว่าประสบการณ์เริ่มเยอะแล้ว และเราผ่านร้อนหนาวมาเยอะแล้ว เราเคยเดินตกหลุมนี้แล้ว แล้วเราจะไปตกซ้ำ มันไม่ควรค่ะ ก็เลยขอใช้เวลานานกว่านี้หน่อยค่ะ”

จากนั้นเราถามถึงชีวิตเป็นศิลปินอิสระหลังหมดสัญญากับค่ายเพลงดังว่าเหนื่อยกว่าเดิมรึเปล่า ตั๊กแตนยอมรับว่าเหนื่อยกว่าเดิม แต่ก็สนุกกว่าเดิม ได้มีโอกาสเรียนรู้เพิ่มเติม

“เหนื่อยกว่าเดิมค่ะ แต่ก็สนุกกว่าเดิม ได้อย่างเสียอย่าง คือเมื่อก่อนเรามีบริษัทคอยดูแลซัพพอร์ต ซึ่งมันก็อาจจะทำให้เราทำอะไรไม่ค่อยเป็น พอเรามีโอกาสดูแลตัวเอง เราก็รับรู้ถึงความลำบากยากเข็ญของบริษัทว่าตอนที่เขาปั้นเราเป็นยังไง ทำงานเองแล้วเหนื่อยขนาดไหน แต่ความโชคดีคือทำให้เรามีโอกาสเรียนรู้เพิ่มเติม ทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งข้อดีข้อเสีย”

ส่วนโอกาสที่จะเห็นตั๊กแตนกลับมาทำโปรเจกต์พิเศษกับแกรมมี่โกลด์จะมีหรือไม่ ตั๊กแตนตอบว่า “จริงๆ ก็ขึ้นอยู่กับการคุยมากกว่า อย่างที่รู้กันว่าที่แตนออกมาจากค่ายเพราะเป็นเรื่องของการทำงาน ระบบการบริหาร พอเปลี่ยนระบบการทำงาน เปลี่ยนผู้บริหาร เราก็รู้สึกไม่คุ้นชินแค่นั้นเอง

ก็ไม่แน่ถ้าระบบทุกอย่างมันเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แตนก็ยังยินดีร่วมงาน เพราะทุกวันนี้ยังไปถ่ายรายการที่ตึกแกรมมี่อยู่เลย คือจริงๆ แกรมมี่เป็นผู้มีพระคุณสำหรับแตนอยู่เสมอ แตนมีวันนี้ได้ก็จากแกรมมี่ด้วย ถ้าหากมีโปรเจกต์ให้เรากลับไปร่วมงาน เราไม่มีข้อแม้อยู่แล้วกับเขา เพราะเขาคือผู้มีพระคุณค่ะ”

ปิดท้ายกับคำถามที่ว่า 17 ปีในวงการเพลงให้อะไรกับเราบ้าง ตั๊กแตน ชลดา ตอบตรงๆ ตามสไตล์ว่า “ให้เงิน” ก่อนจะหัวเราะชอบใจและพูดต่อว่า “ก็ต้องเรียกว่าให้เงิน ให้ชีวิตใหม่ มันทำให้เรามีอยู่มีกิน ดูแลครอบครัวได้ เปย์คนที่เรารักได้โดยเฉพาะครอบครัว ทำให้เรามีพื้นฐานการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น”

ก่อนจะทิ้งท้ายได้สุดแซ่บว่า “วงการเพลงได้สอนค่ะว่าทุกอย่างคือธุรกิจ อันนี้ทำให้แตนทราบ จากประสบการณ์ที่แตนอยู่มาทั้งหมด 17 ปี ทุกอย่างคือธุรกิจ ใจแลกใจไม่ได้ใช้ได้กับการทำงาน ทุกอย่างมีต้นทุนของมัน บางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจเขา บางเรื่องเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรา ทุกคนควรจะอยู่ในมุมที่ตัวเองสบายใจและมีความสุขมากที่สุดแค่นั้นเองค่ะ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย, ทีมงานตั๊กแตน ชลดา, อินเทอร์เน็ต
กราฟิก : Sathit Chuephanngam

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1978645
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1978645