ชาวร็อกไปไม่เป็น ตูน บอดี้สแลม เขินหอมแก้ม ก้อย ลั่นอยากมีลูกแล้ว (คลิป)


ให้คะแนน


แชร์

ตูน “ผมว่าทุกคนแหละ ถ้าสมมติว่ามีใครสักคนที่เค้าทำให้เรามีความสุขอยู่เสมอ ไม่ต้องให้ของก็ได้ ให้เรามีความสุขระหว่างวัน ผมว่าใครๆ ก็แพ้ทาง”

ทำไมเมื่อคืนก้อยถึงทำเซอร์ไพรส์?

ก้อย “อย่างที่พี่ตูนบอกค่ะ คือก้อยเป็นคนชอบเซอร์ไพรส์อยู่แล้ว เวลาเห็นคนที่เรารักมีความสุข ยิ้ม ดีใจ เราก็มีความสุขตาม เป็นคนชอบเซอร์ไพรส์มาแต่ไหนแต่ไร และก็มันก็เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของเราทั้งคู่ ก้อยก็อยากจะมีข้อความดีๆ ที่จะบอกเค้าก่อนวันสำคัญ เป็นของที่พี่ตูนอยากได้ ไปแอบหามาให้”

หลังจากนี้ก็ต้องใช้ชีวิตคู่เป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการแล้ว เกร็งมั้ย หรือว่าต้องปรับตัวยังไงบ้าง?

ก้อย “เกร็งตอนนี้ค่ะ ตอนที่สัมภาษณ์อยู่(หัวเราะ) ก้อยคิดว่า เราคุยกันเนอะว่ามันจะมีอะไรเปลี่ยนไปมั้ย จากแฟนเปลี่ยนเป็นสามี-ภรรยา แต่ว่าก้อยรู้สึกในการปฏิบัติ ในความรู้สึกอาจจะเหมือนเดิม แต่ในการปฏิบัติ เราเองเหมือนอาจจะต้องเปลี่ยนสถานะเป็นภรรยา ในอนาคตเราเป็นแม่ คือมันต้องมีบทบาทที่เพิ่มเติมมากขึ้น

เพราะฉะนั้นมันต้องมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ถามว่าเกร็งมั้ย ก้อยว่ามันเป็นอีกหนึ่งบทบาทใหม่ที่เราจะต้องเรียนรู้ แล้วก็ปรับตัวกันต่อไป เพราะว่า 10 ปีที่ผ่านมา เราก็เรียนรู้กันในระดับหนึ่ง พอมันเปลี่ยนไปอีกบทบาทหนึ่ง มันก็ต้องมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม มันก็เป็นอะไรที่น่าสนุกค่ะ เหมือนเราได่เลื่อนขั้นเข้ามหาวิทยาลัย”

ตูน “อย่างที่ก้อยบอก คือเรารู้สึกว่าเราได้เรียนต่อในขั้นต่อไปของความเป็นคน คือเราคบกันมา 10 ปี เราเป็นแฟนกัน เราเป็นลูกของพ่อแม่ เรายังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่ได้มีลูกที่จะทำเพื่อเค้า เหมือนเรายังเป็นเด็กอยู่เสมอ เรารู้สึกว่าการแต่งงาน หรือการมีครอบครัว มันคือการที่ขยับความเป็นคนของเราให้มันสมบูรณ์มากขึ้น

ผมก็ตื่นเต้นที่จะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเหมือนกัน คือเราก็ซ้ำชั้นมัธยมมาจะอายุ 41 ปีแล้ว เราคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ตื่นเต้นกับความรู้สึกใหม่ๆ ตื่นเต้นในแง่ดีนะ สุดท้ายไม่ใช่ว่ามันก็จะเจอเรื่องดีแค่ด้านเดียว ไม่ใช่มีแค่ความสุขอย่างเดียว เราเจอความทุกข์ แล้วเราจะจัดการกับมันยังไง

วันที่เราได้ไปแจกการ์ดให้กับผู้ใหญ่บางคน เราได้คำสอนดีๆ เราได้คำเตือนสติดีๆ จากท่านเหล่านั้นมาเก็บในคลังข้อมูลให้เราได้ใช้ คำสอนเหล่านี้จะได้นำไปบอกเรากับก้อยในอนาคตว่า เราจะทำแบบที่ผู้ใหญ่สอน ก็ตื่นเต้นที่เราจะได้ขยับที่ทางของตัวเอง”

กว่าจะผ่านด่านแต่ละประตูเมื่อเช้า?

ตูน “ด้วยความสัตย์จริง ผมคิดว่ามันจะหนักกว่านี้นะครับ คือผมก็ไม่ได้ทำอะไรที่มัน…(ยิ้ม)”

ก้อย “หนูว่าเพื่อนหนูเกรงใจพี่ตูน เพราะก้อยบรีฟไว้ว่า จัดหนัก เอาให้เต็มที่ แต่ว่าไม่ยากใช่มั้ยคะ”

ตูน “ยากๆ แต่ว่าการใช้ซองก็แก้ปัญหาได้(หัวเราะ)”

ก้อย “ก้อยให้เพื่อนครีเอทค่ะ คือเราก็อยากเห็นว่าการกั้นประตูจะเป็นยังไง ก้อยก็ไม่ได้ดู ก็ไม่รู้ว่าพี่ตูนเจออะไรบ้าง”

พี่ตูนเตรียมเข้าชมรมพ่อบ้านใจกล้าเลย?

ตูน “จริงๆ ใช้คำว่าเคารพมากกว่านะ ไม่ใช่เคารพแบบเด็กผู้ใหญ่ แต่เหมือนเป็นการเคารพซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกัน แบบเกรงใจในความเป็นส่วนตัวของเค้า ความคิดของเค้า ซึ่งแน่นอนทุกอย่างมันต้องเติมเต็มกัน เราขาดเค้าเติม ก็เคารพกันตรงนี้ และพยายามประคับประคองมากกว่า”

ในส่วนของสินสอด?

ก้อย “ไม่ได้ดูเลยอ่ะ คือไม่ได้มองตรงนั้นเลย ใจไปจดจ่อที่คุณพ่อคุณแม่ แล้วก็โมเมนต์ของการสวมแหวน เลยไม่ได้ไปสังเกตว่าพี่ตูนให้อะไรบ้าง คืออันนี้มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่มากกว่า ที่เป็นพิธีการ แต่จริงๆ สำหรับก้อยมันไม่ได้สำคัญไปกว่าที่เรามีวันนี้ด้วยกัน”

เติมเต็มให้กันในส่วนไหนบ้าง?

ตูน “สำหรับผม ผมคิดว่า คือเราไม่ใช่คนที่คบกันแค่ปีสองปีแล้วมาแต่งงานกัน แต่เราต่างที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันมาตลอด 10 ปี แล้วก็เติมให้กันตลอด 10 ปีอยู่แล้ว 10 ปีที่ผ่านมาก็จะเป็นพื้นฐานต่อการใช้ชีวิตคู่ไปอีก 10 ปี 20 ปี 30 ปีถ้าเราโชคดี อยู่ได้มากขนาดนั้น ระหว่างทางก้อยจะเป็นคนเติมให้ผมซะเยอะ

ไม่ว่าผมจะไปทำกิจกรรมอะไร ไม่ว่าผมจะมีคอนเสิร์ตเล็กใหญ่ ถ้าเค้าว่างก็จะไปเชียร์ตลอดเวลา หรือการที่เค้าออกไปวิ่ง เค้าก็ไม่ใช่คนออกกำลังหรือวิ่งแต่แรก เค้าก็เลือกที่จะมาจะตากแดด ตากลมกับเรา นั่งรถไปวิ่งไกลๆ คือลำบาก

เค้ายอมที่จะเข้ามาอยู่ในวงโคจรชีวิตเรา ซึ่งเราเคารพเค้ามากในการตัดสินใจ ที่อยากจะมาร่วม ซึ่งมันไม่ง่ายสำหรับใครบางคน ที่จะมาใช้ชีวิตกับผมที่มันบ้าระห่ำ ทำอะไรสุดโต่ง เต็มที่ เค้าเติมให้ผมซะส่วนใหญ่”

ก้อย “สำหรับก้อย พี่ตูนเป็นได้ทุกอย่าง(ยิ้ม) เป็นได้ทั้งพี่ชาย เป็นได้ทั้งเพื่อน เป็นทั้งคนรัก แล้วก็พี่ตูนจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ทุกอย่างที่พี่ตูนทำ ได้เปลี่ยนให้ก้อยเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน คือทั้งหมดมาจากความรัก แล้วก็เราเคารพซึ่งกันและกัน คือสิ่งที่พี่ตูนทำที่เค้าปฏิบัติต่อครอบครัว ต่อแฟนเพลง ต่อคนรอบข้าง ความอ่อนน้อมในตัวของพี่ตูน ความเป็นคนใจดีของพี่ตูน มันทำให้ก้อยโตขึ้นมากๆ

ก้อยเชื่อว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทุกคนจะได้เห็นพัฒนาการความคิดของก้อยเนอะ ก้อยรู้สึกว่าพี่ตูนเข้ามา เค้าไม่ได้เปลี่ยนก้อย แต่เค้าทำให้เป็นก้อยที่ดีขึ้น แล้วนั่นแหละมันคือสิ่งที่เค้าเติมเต็มในส่วนที่ก้อยขาด ซึ่งบางทีพี่ตูนอาจจะไม่ได้บอกก้อยตรงๆ หรือพูดตรงๆ แต่การกระทำของเค้าสำคัญที่สุด”

คำมั่นสัญญา?

ก้อย “ไม่มีเนอะ เราไม่เคยสัญญาอะไรเลย”

ตูน “ไม่มีครับ เราไม่อยากผูกมัดด้วยเงื่อนไขหรืออะไร แต่ถ้าถามว่าอนาคตเราอยากจะทำอะไรกัน เราอยากมีลูก คิดว่าอยากจะมีลูกเลย อันนี้อาจจะตอบคำถามในเรื่องของสัญญาได้ คือเราคุยกันว่าเราอยากที่จะมีลูกเลยเพราะผมก็ 40 กว่าแล้วก้อยก็ 36 ย่าง 37 ปี คิดว่าถ้าอยากจะมีลูกให้ทันก็ต้องด่วนๆ”

ก้อย “ตอนนี้ยังทันอยู่ใช่มั้ยคะ (หัวเราะ)” 

อยากจะมีลูกสักกี่คน เพราะพี่ตูนเหมือนอยากจะมีลูกมาก?

ตูน “ใช่ๆ เพราะจริงๆ มันเป็นความฝันของผม มันเหมือนเรื่องที่ผมต่อไปคือการขยับขยายที่ทางของตัวเองในฐานะความเป็นมนุษย์คนนึง การมีลูกคือการที่เราอาจจะมีความคิดอีกแบบนึง

เราอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิต จะไม่ได้เห็นผมออกไป วิ่งไกลๆ หรือปีนเสาคอนเสิร์ตหรือกระโดดจากลำโพงเพราะเราต้องห่วงลูก มันก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่เราก็ อยากที่จะ ไปเผชิญกับมัน ว่ามันจะสนุกแค่ไหนมันจะลำบากแค่ไหน”

ก้อย “อยากจะพาลูกไปวิ่งมาราธอนด้วย พ่อแม่ไปวิ่งแล้วมีลูกรอเชียร์อยู่หน้าเส้นชัยมันคงเป็นภาพที่น่ารักดี”

ถ้าอย่างนั้นก็คอยจะไปเป็นแม่บ้านเลยมั้ย?

ก้อย “ก้อยก็ปล่อยให้มันเป็นไปตาม วิถีชีวิต เราก็ไม่ได้อยากที่จะไปกะเกณฑ์อะไร ว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราอยากที่จะสนุกไปกับมัน แต่แน่นอนว่าบทบาทในวงการบันเทิง ในช่วงแรกมันอาจจะลดลง พอเรามีน้องแล้ว เพราะก้อยเป็นคนที่เวลาทำอะไรสมมติว่า ถ้าเราจะเป็นแม่ เราก็อยากที่จะเป็นแม่ที่ดีที่สุด

คือเราเป็นคนที่ทำได้ทีละอย่าง คือเหมือนโฟกัสว่าโอเคถ้าตอนนี้เรามีลูก เราก็อยากที่จะเลี้ยงเขาด้วยตัวเอง อยากจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้มันดีที่สุด ส่วนอื่นๆ เราก็ยังจะทำต่อ คงไม่ได้หายไปไหนจากวงการบันเทิง

แต่มันอาจจะไม่ได้ถี่ ไม่ได้บ่อย เหมือนแต่ก่อนแล้ว เวลาจะรับงานอะไรก็ ต้องคำนึงถึงพี่ตูนด้วยครอบครัวด้วย และเราอาจจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ”

เรื่องที่จะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ วางแผนไว้ว่าจะไปเมื่อไหร่?

ตูน “ผมว่าด้วยธรรมชาติมันน่าจะประมาณ 2-3 ปี อีก 2-3 ปีที่วิถีชีวิตที่เรา ต้องปรับการเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตตามที่ต่างๆ มันเป็นยังไง ชีวิตก้อยกับงาน สมมติถ้ามีลูกแล้วจะเป็นยังไงบ้านที่ทำไว้จะสร้างเสร็จใหม่ด้วย แต่คาดว่าอยากที่จะให้มันเกิดขึ้นเร็วที่สุด ประมาณอีก 2 ปี 3 ปี”

แสดงว่าเรามีแพลนที่อยากจะมีลูกเลย?

ตูน “มีเลย ถ้าผมมีความสามารถพอ(หัวเราะ)”

อันนี้คือเรามั่นใจในตัวเอง หรือว่าได้ปรึกษาแพทย์เรียบร้อยแล้ว?

ก้อย “เราไปตรวจเพื่อการเตรียมตัววางแผนการเป็นคุณพ่อคุณแม่ แต่เราก็อยากจะใช้วิธีธรรมชาติก็ลองดูกันก่อนว่านั่นแหละค่ะ (หัวเราะ) อย่างที่พี่ตูนบอก”

อยากมีลูกสาวหรือลูกชาย?

ตูน “ได้หมดเลยครับขอแค่ให้เขาสมบูรณ์แข็งแรง”

ก้อย “ไม่ได้ซีเรียสเลยค่ะ อะไรก็ได้ค่ะ”

สักกี่คนดี?

ก้อย “เหมือนว่าพี่ตูนเขาอยากมีลูกแฝด”

ตูน “คือผมอยากมีมากกว่าหนึ่ง อยากให้เขามีเพื่อน และก็ด้วยความที่ก้อยเขา สมมติถ้าหากมีคนแรกตอนอายุ 37 สมมติว่าโชคดีปีหน้าเรามีได้ อีกทีหนึ่ง ถ้าจะต้องมีมันก็ต้องเป็นช่วง 38-39 ซึ่งผมคิดว่ามันก็อาจจะเสี่ยงเกินไปมั้ย หรือไม่ดีกับแม่และลูก ก็เลยคิดว่าฝาแฝดน่าจะเป็นทางเลือกที่ใช่สำหรับครอบครัวเรา”

แสดงว่าก็อาจจะต้องพึ่งแพทย์ด้วยเหมือนกัน?

ตูน “ก็ต้องอย่างนั้นครับ”

ก้อย “ถ้าจะมีแบบนั้นนะคะ แต่ยังไงตอนนี้เราก็อยากจะลองธรรมชาติดูก่อน วางไว้เป็นแพลนบี เพราะเราก็อยากลองใช้ความสามารถของเราก่อน”

บรรยากาศค่ำคืนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?

ก้อย “เดือด พูดได้คำเดียวค่ะ”

ตูน “น่าจะสนุก คือตอนแรกเราไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องเป็นไซส์อะไรขนาดไหน แต่พอเรามานั่งคิดกันดีๆ คือตลอดทางที่ผมร้องเพลงมา 18 ปีเกือบ 20 ปี ก็มีคนหลายๆ คน พี่ๆ ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่อยู่ในวงจรชีวิตเราที่เข้ามาสนับสนุนอุปถัมภ์ค้ำจุนเรา เพื่อนๆ เราเองตลอดตั้งแต่เพื่อนที่บ้านเกิด จนถึงเพื่อนมหาลัย และเพื่อนนักดนตรี

ดังนั้นมันเลยเล็กไม่ได้ ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นวันที่เราได้ขอบคุณเขา วันที่เราได้จัดปาร์ตี้สักงานหนึ่งเพื่อให้พวกเราได้มาเจอกัน และก็มีความสุขด้วยกัน ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยกัน ขอบคุณด้วยการทำให้พวกเขามีความสุขครับ”

ฮันนีมูนของเราตั้งใจไว้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน?

ก้อย “ภูเก็ตที่เดิมค่ะ เพราะพี่ตูนมีแพลนจะไปวิ่งมาราธอนต่อหลังจากจบงานแต่ง ซึ่งตอนแรกเขาก็ชวนก็ก้อยไปวิ่งด้วย แต่ก้อยบอกว่าพักก่อนเพราะมันน่าจะโหดอยู่ 42 กิโลเมตร และก้อยยังก็ไม่ได้ซ้อมเลยด้วย แต่ก็ตั้งใจแล้วค่ะว่าจะทำหน้าที่ซัพพอร์ตเขาเหมือนเดิม”

วันนี้มีอะไรอยากจะบอกกันและกันบ้างไหม?

ตูน “สำหรับผมเองวันนี้มัน… มันเกินจริงมาก ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีภาพแบบนี้หรือแม้กระทั่งงานตอนเช้าในจินตนาการของผมเลย คือผมรู้นะครับว่าอยากแต่งงาน แต่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ไม่คิดว่าพ่อแม่จะต้องมานั่งแบบนี้ ให้เราได้กราบเท้าท่าน ให้ท่านอวยพรหรืออะไรก็แล้วแต่

วันนี้มันเป็นวันที่ดีมากสำหรับผมที่มันเกิดขึ้น มันทำให้ผมมีความสุขมาก และผมก็อยากจะขอบคุณ เพราะว่าความสุขทั้งหมดภาพที่มันเกิดขึ้น ทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้เพราะว่าเขา เพราะว่ามีเขาครับ”

ก้อย “จริงๆ ก็คล้ายๆ กันค่ะ คือก่อนที่จะเริ่มต้นวันนี้ เราก็ได้รับคำอวยพรจากผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน และทุกคนก็จะพูดเหมือนกันว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็ตาม ให้นึกถึงวันแรกที่เราเจอกัน ให้นึกถึงวันที่เราตกหลุมรักกัน

ซึ่งตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เราผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมาก เยอะมากจริงๆ คือไม่ว่าจะร้ายหรือดี หรือจะอะไรก็ตาม พี่ตูนก็ไม่เคยไปไหน และก็ความรักที่พี่ตูนให้ก้อย มันมากพอที่จะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งกล้าที่จะมีแรงเดินต่อไปในทุกๆ วัน (ร้องไห้)

ซึ่งก็คิดว่าชีวิตคู่ของเรามันเหมือนการวิ่งมาราธอนเหมือนกันนะคะ ระหว่างทางเราต้องผ่านทั้งการฝึกซ้อม ความอดทน กว่าจะลงสนามบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องไปเจอกับอะไรบ้าง จะร้อน จะหนาว ทางจะยากลำบาก  เราจะบาดเจ็บมั้ย เราจะเป็นอะไรมั้ย

แต่ว่าสุดท้ายพอเราเดินมาถึงเส้นชัยทุกอย่างมันสวยงามเสมอ ซึ่งวันนี้เราก็รู้สึกว่าจริงๆ เราเหมือนจะเดินไปถึงเส้นชัยนะ แต่ว่าจริงๆ แล้วมันเพิ่งเริ่มต้น มันคือจุดเริ่มต้นของของก้าว ของมาราธอนครั้งใหม่ชีวิตที่เราจะต้องไปด้วยกันต่อ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1985388
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1985388