สานฝันปั้นดาว “เซ้นต์ ศุภพงษ์” เปิดค่าย “ไอดอล แฟคทอรี่” ผุดซีรีส์วาย


ให้คะแนน


แชร์

ได้ใช้วิชาร่ำเรียนมาบ้างมั้ย

“ผมไม่ได้เรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์มาเลยครับ เพราะผมเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ ตรงกับแบรนด์สินค้าที่ทำขึ้นมากกว่า แต่ว่าตัวนี้เราใช้ประสบการณ์ เรามีโอกาสได้เล่นซีรีส์มาหลายๆ เรื่อง อาจจะอยู่เบื้องหน้า-เบื้องหลัง แต่กับซีรีส์เรื่องนี้เราอยู่เบื้องหลังเต็มตัว จริงๆเรียกว่าอยากลองเก็บประสบการณ์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก”

พอได้จับงานเบื้องหลังเป็นยังไงบ้าง

“ยากครับ ถ้าเทียบกับงานเบื้องหน้า มันคนละแบบเลย แต่ว่ามีความสนุกของคนเบื้องหลัง เพราะงานเบื้องหลังจะเป็นงานครีเอทีฟเยอะ เป็นงานต้องคิดเยอะ งานเบื้องหน้าจะเป็นงานที่ครีเคทีฟต้องเซตว่าคุณนะต้องทำแบบนี้ๆ งานเบื้องหลัง เราจะต้องคิดทุกระบบ เซตทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมเพื่อให้คนเบื้องหน้าทำงาน”

ซีรีส์เรื่องนี้เรามีแรงบันดาลใจอะไรถึงคิดจะทำเรื่องนี้ขึ้นมา

“เกิดจากการคุยกับน้องๆ หลายคน เพื่อนในวงการหลายคน แล้วเรารู้สึกว่าเรามีความฝันกันแหละ หลายคนตามหาความฝัน หลายคนความฝันถูกทำร้ายมา หรือช้ำมา หรือแบบ เคยได้คำคำนี้มา…คือผมก็เป็นคนนึงที่ได้คำนี้ เราเป็นตัวเต็งเรื่องนี้ เราจะได้เล่นซึ่งผมรู้สึกว่า กว่าเราจะมีโอกาสมันเป็นสิ่งที่เราจะต้องพยายามอย่างหนักมาก จนวันนึงเราโชคดีได้โอกาส พอเรามีช่องทางที่เราจะสร้างโอกาสได้ เราอยากสร้างโอกาสให้กับน้องๆ หรือความฝัน ของน้องๆ ที่ผมรู้สึกว่าอยากให้เค้าศรัทธาในความฝันและเดินจนถึงเส้นชัยเพราะเรารู้สึกว่า เราก็ผ่านตรงนั้นมาแต่เราผ่านที่หนักๆ กว่านั้นเยอะ แต่เราอยากหยิบยื่นโอกาสให้กับน้องๆ ในรูปแบบที่เราลองถูกลองผิดมาแล้วให้มันง่ายขึ้น ให้มันดีขึ้น”

คือเซ้นต์ต้องการย่นระยะเวลาให้น้องว่างั้นเหอะ

“ใช่ครับ ผมใช้เวลาหลายปีมากกว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ แต่น้องๆหลายคนเพิ่งเข้ามาเลยเราอยากให้น้องมาเริ่มต้นกันเลย แนะนำทุกอย่างที่เรารู้ เป็นประสบการณ์มากกว่า เป็นการแชร์ประสบการณ์กันมากกว่า”

ก่อนหน้าที่เซ้นต์เคยไปแคสงานแล้วไม่ได้งานมีท้อแบบไม่เอาแล้วบ้างมั้ย

“ไม่ครับ ผมไม่เคยรู้สึกท้อ เพราะทุกครั้งที่เราแคส เราได้ เหมือนอย่างที่ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปว่า เราอยากได้คำที่เค้าบอก จะติจะชมจะบ่นอะไรก็แล้วแต่ ทุกครั้งที่เราแคส เราได้ตรงนี้ เราไม่รู้ระบบนักแสดง-ศิลปินจะต้องเรียนโน่นเรียนนี่แต่ผมเริ่มจากไม่รู้อะไรมาเลย ไม่ได้เรียนอะไรมาก่อน เพราะฉะนั้นเวลาเราไปแคสผมว่าผมได้ ทำไมเอ็งไม่อย่างนี้ล่ะ? ผมก็อ่อ! ครับ ถึงงานชิ้นนั้นเราแคสไม่ได้แต่ผมรู้สึกว่าเราได้วิชา หรือคนบอกว่าฝัน มันเป็นความฝันที่เป็นไปได้ยากแต่ผมว่าถึงเป็นความฝัน ก็ฝันไปเหอะ ฝันจะใหญ่แค่ไหนก็ได้ เพราะมันไม่เคยคิดสตางค์กับเรา”

กับซีรีส์แอบหลังรัก ที่เราเลือกเซ้ง-บิลลี่-เซอร์ไพรส์ มาเล่นเป็นเพราะอะไรล่ะ

“แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ของตัวเองครับ อย่างเซ้ง จริงๆน้องผ่านอะไรมาเยอะ เข้าวงการมานาน เราเคยอยู่ค่ายเดียวกัน มีความฝัน เคยท้อไปหลายครั้ง ก็เลยดึงน้องกลับมา เรามีซีรีส์เราจะทำ เราอยากให้น้องจับมือมาร่วมความฝันอันนี้กับเรา เพื่อสู้ไปด้วยกัน น้องมีความฝันและมีเป้าหมายชัดเจน รู้สึกว่าความสำคัญของคนตรงนี้คือความทุ่มเท ความฝัน หรือตัวพี่บิลลี่ เรารู้สึกเราเจอเค้า เค้าก็มีความฝัน เค้าผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน ทำงานวงการบันเทิงมาสักพักนึงแล้ว เป็นคนที่มีประสบการณ์วงการบันเทิงมากที่สุดในกลุ่ม ผ่านอะไรมากบ้าง ความสามารถเค้า เราสามารถดึงเขามาเล่นตรงนี้ ทุกตัวละครวางไว้คาแรกเตอร์จะต้องเหมือนในนิสัย เหมือนในบทละคร สองคนนี้ตรงกับนิยาย คนสุดท้ายน้องเซอร์ไพรส์ เข้าอีก ความน่ารักของเค้า ดูผ่านๆ เวลายิ้ม มีคาแรกเตอร์ของตัวละคร เราก็ตามหาคนแบบนี้จะไปหาจากไหน มาวันนึง คุยกันเค้ามีความฝัน ผมไม่มีเป้าหมาย เรามาเล่นซีรีส์เรื่องนี้เรื่องเดียว เราจะก้าวต่อไปเรื่อยๆ ค่ายผมเป็นค่ายเล็กๆ แต่ไอดอล แฟคทอรี่ ผมจะบอกทุกวัน วันนึงเราจะโตไปด้วยกัน เราจะประสบความสำเร็จไปด้วยกัน เราคุยกัน ผู้ชายจะคุยกัน วันนึงเราตั้งใจทำงานกันนะ เก็บเงินซื้อรถ ซื้อบ้าน มันเป็นความสุขที่เกิดขึ้น ค่ายไอดอล แฟคทอรี่ เหมือนเป็นค่ายพี่น้องที่มาเจอกันในค่ายมาแชร์กัน คุยกันทุกเรื่อง”

จริงๆงานเบื้องหน้าของเซ้นต์ก็เยอะยังทำงานเบื้องหลังอีกแยกร่างยังไงเนี่ย

“ผมรู้สึกมันเป็นความฝันแหละ เราสนุกกับทุกสิ่งที่ทำ ส่วนตัวผมรู้สึกว่า ปีที่แล้วเรามีเวลาให้กับตัวเองเยอะ เราได้เรียนรู้ว่าชีวิตเราไม่ได้มีแค่เรื่องงานตรงนี้เพียงอย่างเดียว เราเลือกทำหลายๆ งานไม่ใช่ว่าเราว่าง ถ้าเราโฟกัสกับงานหลักของเรา โฟกัสหนัก เราสามารถเทเวลาไปกับตรงนั้นก็ได้ เรารู้สึกอยากแบ่งเวลาให้เป็นส่วนๆ ทำแบบนี้รวมถึงธุรกิจด้วย ผมมีความฝันอยากทำธุรกิจในทางเศรษฐศาสตร์ชุมชนเพื่อพัฒนาเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ทุกอย่างเราทำตามความฝัน รู้สึกว่าเป็นการช่วยเศรษฐกิจในทุกๆที่ เศรษฐกิจระดับเล็กไปจนถึงเศรษฐกิจระดับโต ซึ่งตรงนี้เป้าหมายของเราทำไปเรื่อยๆ ตอนนี้มีการวิจัยหลายตัวไม่ได้บอกทางสื่อ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ ธุรกิจที่เราชอบวันนึงประสบความสำเร็จขึ้นมาไม่ได้แค่ผลประโยชน์จากเราคนเดียวแต่มันคือทุกคนจะได้มากกว่า ผมเคยวิจัยน้ำตาลตัวนึงใช้ทดแทน คนเป็นเบาหวานก็กินได้ กินแล้ว 0 แคลอรี คือกินหวานแค่ไหนก็ได้ สุขภาพไม่เสีย แต่ราคามันยังสูงมากแต่เราดัมพ์ราคาให้ถูกกว่านี้ก็ไม่ได้”

หนังเรื่องวอน (เธอ) เจอสถานการณ์โควิดพอดีเลย เซ้นต์ในฐานะนักแสดงรู้สึกยังไงบ้าง

“ก็ช็อกไปเหมือนกัน คนที่ได้ไปดูพูดว่าหนังสนุก มีการคุยกันใครคือคนที่ถูกที่สุด ในความเป็นจริงไม่มีใครถูกที่สุดหรอกในชีวิตจริง มันไม่ใช่ข้อสอบแต่มันเป็นความรู้สึกไม่มีถูกผิด ผมดีใจที่หลายๆคนเอาเรื่องของความรู้สึกมาพูดกัน มาจอยกัน เป็นสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยน อย่างน้อยเพื่อนที่ได้ดู ออกจากโรงคุยกัน ผมเห็นบางคนเถียงในทวิตเตอร์ เป็นอาทิตย์ในเรื่องนี้ เราดีใจที่ทุกคนจอยกับภาพยนตร์ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้แต่จริงๆ โรงภาพยนตร์มีมาตรการรัดกุมมากจะต้องใส่แมสก์เข้าไป ทำความสะอาด รวมถึงเจลล้างมือ ไม่ใช่แค่หนังวอน(เธอ)ที่ผมเล่น ภาพยนตร์ไทยหลายๆเรื่อง อยากให้พวกเราไปอุดหนุนกัน ไปร่วมสนับสนุนภาพยนตร์ไทยกัน”

สถานการณ์โควิด-19 ทำให้หนังชะงักไปนะ

“ก่อนที่ภาพยนตร์จะฉาย 4-5 วัน เรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าคาดเดาว่ามันต้องกลับมาแน่ๆ คุยกัน คุยกับผู้ใหญ่มาถามเซ้นต์ว่ารู้สึกยังไงถ้าเกิดฉายก่อนหรือฉายหลัง ผมก็บอกไปว่าเคารพการตัดสินใจของผู้ใหญ่ พี่เค้าเลยบอกว่าพี่มีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องนึง ผู้ใหญ่บอกว่าให้ฉายเลย ไม่ใช่ฉายเพราะสถานการณ์หรืออะไรแต่นี่หนังที่ทุกคนตั้งใจทำให้ทุกคนได้ดู ไม่รู้จะฉายได้กี่วัน และโรงหนังจะปิดหรือเปิดแต่อย่างน้อยนักแสดง และทีมงาน มีโอกาสได้เห็นผลงานตัวเองในโรงภาพยนตร์ เป็นความภาคภูมิใจของทุกคน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้มีโอกาสแค่ฉายในโรงแต่มีโอกาสสู่สายตาชาวโลก เราจะภูมิใจเพราะทุกคนตั้งใจทำผลงาน”

สถานะหัวใจของเซ้นต์บ้าง มีใครที่เรากำลังคุยๆอยู่บ้างไหม

“ด้วยวัยก็โฟกัสกับงานก่อนครับ เรามองตัวเองว่ายังเด็ก หลายๆคนที่มาในยุคผม ช่วงวัยเดียวกับผม เพิ่งเรียนจบ ก็จะเป็นช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว โฟกัสกับงานก่อน ไม่ได้ปิดเรื่องความรักแต่อาจจะยังไม่มีใคร และไม่มีใครเข้ามาในชีวิตของเราขนาดนั้น ส่วนใหญ่อยู่กับการทำงานงานทุกวัน ไลฟ์สไตล์เราอาจจะไม่ตรงกับใครบางคนที่รู้สึกถูกใจ เราก็เลยรู้สึกตอนนี้ไม่มีใคร”

จากความโด่งดังจากซีรีส์วายมีผลทำให้สาวๆที่จะเข้ามาคุยไม่กล้าเพราะไม่มั่นใจในตัวตนของเราหรือเปล่า

“ผมไม่รู้เหมือนกัน ผมรู้สึกว่า ถ้าใครเข้ามาคุย ผมก็พร้อมที่จะเรียนรู้เค้า เขาเป็นคนยังไง ถ้าความรักมาในเวลาที่พอดี กับตอนที่เรารู้สึกว่าคนนี้พอดีในเวลาที่พอดี ผมต้องการตรงนี้นะ เราต้องการใครสักคนที่เข้าใจเรา ตอนนี้ผมไม่มีเวลาให้ใคร แต่รู้ตัวเองว่าถ้ามีแฟนจะเป็นคนที่รักแฟนมาก ถึงตอนนั้นเราอาจจะแบ่งเวลาได้เองแหละ อย่างทุกวันนี้ผมก็หาเวลาโทร.หาแม่ โทร.คุยกับน้องสาวทุกวัน คุยกันตลอด จะมีเวลาพาร์ตของเรา แค่ผมรู้สึกว่าวันนึงถ้ามีแฟนเราคงจัดการเวลาได้แหละ แค่ตอนนี้ไม่มีเลยนึกภาพไม่ออก มาตอนนี้ไม่รู้ทำยังไงเพราะในหัวตอนนี้มีแต่งานกับงานและมีวัดด้วยเพราะเป็นคนชอบหนีขึ้นดอยไปทำบุญที่วัดบ่อยๆ มันมีความสุขตรงนี้ พอมีเวลาว่างเราก็อยากไปครับ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2017959
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2017959