เปิดอีกด้านพระเอก เกรท วรินทร ซึ้งในรสพระธรรม หากไม่มีภรรยาจะออกบวช


ให้คะแนน


แชร์

คำถามแรก เราถามคำถามง่ายๆ ที่ถามว่า ถ้าวันนี้ไม่เป็นพระเอก เกรทน่าจะทำอาชีพอะไรอยู่ จะกลับบ้านไปขายทอง หรือทำงานด้านที่ตัวเองจบมา คำถามนี้ทำเอาหนุ่มเกรทถึงกับยิ้มละมุนและพูดบอกกับเราว่า 

“เป็นคำถามที่ดี (หัวเราะ) อาจจะกลับบ้านนะ หรือไม่ก็ทำงานประจำสักงานหนึ่ง ใช้สิ่งที่เรียนมา เกี่ยวกับอินทีเรีย แต่ว่ามันทิ้งไปนานแล้ว แต่ว่า ณ ตอนนั้นจบใหม่ๆ ก่อนที่จะเข้าวงการ ก็คงอยากจะหางานทำ ใช้วิชาที่เรียนมาให้ได้ ถ้าเกิดไม่ได้จริงๆ ก็คงจะกลับบ้าน”

ในตอนนั้นไม่ลังเลเลยเหรอว่าจะเป็นนักแสดง หรือจะทำอาชีพที่เราร่ำเรียนจนจบมา พอจบคำถาม พระเอกหนุ่มเลยอธิบายถึงการเลือกอาชีพของตัวเองให้เราฟังว่า

“อาชีพนักแสดงมันเข้ามาถึงผมก่อนเรียนจบ ตอนนั้นอยู่ประมาณปี 3 ก็ได้ไปแคสต์โฆษณา ได้เล่นโฆษณาบ้าง และผมเริ่มเรียนอินทีเรียด้วยพื้นฐานด้านศิลปะน้อยกว่าคนอื่น เพราะตอนมัธยมผมเรียนสายวิทย์มา

พอมาเรียนอินทีเรีย มันก็ยาก ก็ไม่ได้ทำดีเท่าคนอื่นเขา ฝีมือเราไม่ดีอะ (ยิ้ม) ศึกษาดูภาพแต่งบ้านเยอะๆ แต่ก็ไม่สู้คนที่เขาจบช่างศิลป์ ดรออิ้งมาไม่ได้ ถือว่าเรียนไม่ได้ดีมากในทิศทางที่ตัวเองเลือก

แต่กลับมีงานโฆษณา แฟชั่นโชว์พวกนี้ค่อยๆ เข้ามา ตอนนั้นมันทำให้เรารู้สึกว่า หรือว่าเราจะมาทางนี้ ที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจจะมา

คือมันมีงานเข้ามาเรื่อยๆ ทำแล้วสนุก แคสต์งานไปเรื่อยๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง จนเรียนจบ ก็มีหนัง และช่อง 3 มาติดต่อ

ตอนนั้นในใจคิดว่า ถ้าที่ไหนคอนเฟิร์มก่อนก็จะไปทางนั้น สรุปช่อง 3 ให้เข้ามาคุยและเซ็นสัญญา ก็เลยยึดเป็นอาชีพ

ตอนนั้นผมคิดนะว่า ถ้ายังต้องเดินแคสต์งาน ผมจะใช้ชีวิตแบบนั้นสักปี 2 ปี ถ้าไม่ได้สังกัดก็จะกลับบ้าน หรือทำงานประจำ ไม่ทำแล้ววงการบันเทิง”

เส้นทางชีวิตที่เลือกเอง

ตอนที่เกรทเลือกที่จะทำงานในวงการบันเทิง ถามจริงที่บ้านสนับสนุนมั้ย เขาไม่อยากให้กลับบ้านมาช่วยธุรกิจที่บ้านเหรอ เพราะเกรทเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวนะ พระเอกหนุ่มตอบคำถามนี้ของเราว่า 

“แม่แค่อยากให้ผมเรียนจบ แล้วกลับไปช่วยที่ร้าน เรียนจบเป็นคนดีของสังคม ก็กลับมาทำกิจการที่บ้าน แต่พอเรียนจบแล้วมีงานเข้ามา

ซึ่งที่บ้านไม่เคยว่า ไม่เคยขัดใดๆ เขาแค่ขอให้เราเป็นคนดีเท่านั้นเอง ผมว่าผมโชคดีที่ที่บ้านสนับสนุนในสิ่งที่อยากเป็น และผมก็ไม่เคยคิดนะว่าตัวเองจะได้ทำ

ถามว่าทำงานในวงการมันเหนื่อยมั้ย ตอนเรียนการแสดง มันก็เหนื่อยนะ มีท้อบ้าง แต่ผมยังสนุกกับมัน ก็เลยโฟกัสสิ่งตรงหน้า

บอกตัวเองว่า ถ้าเราตั้งใจมันก็เป็นอาชีพของเราได้ ไม่เคยลังเล พอเข้ามาแล้วรู้สึกได้มาอยู่ในจุดที่เราไม่คาดคิดมาก่อน เคยดูทีวี ดูบอลดารา

วันนึงได้มาเตะบอลดารา ได้มาอยู่ตรงนี้ มันเป็นอะไรที่เกินเป้าหมายในชีวิต เป็นกำไรชีวิตตั้งแต่เข้าวงการ ผู้ใหญ่ให้โอกาส ส่งไปเรียนการแสดง เราก็อยากทำงานตอบแทนเขาให้มันดีที่สุด ก็เลยอยู่ตรงนี้มาจนถึงทุกวันนี้ (ยิ้ม)”

พร้อมทำใจเมื่อคลื่นลูกใหม่มาแทนคลื่นลูกเก่า

แต่ เกรท ก็อยู่ในวงการบันเทิงมานานแล้ว และบทบาทการเป็นพระเอกมันมีอายุของมัน อายุเกรทก็เริ่มเยอะแล้ว วางอนาคตของตัวเองไว้อย่างไรสำหรับการทำงานในวงการบันเทิง เจอคำถามนี้ หนุ่มเกรทถึงกับส่งยิ้มหวานๆ นุ่มๆ ก่อนตอบคำถามนี้กับเราว่า 

“ผมก็เคยเป็นเด็กใหม่มาก่อน ก็จะมองเห็นรุ่นพี่เราอย่าง พี่ปอ ทฤษฎี, พี่เคน ธีรเดช, พี่สมาร์ท กฤษฎา วันนี้เด็กๆ ก็คงจะมองผมแบบนั้นเหมือนกัน (หัวเราะ) เราก็เลยเข้าใจจุดนี้ดี ว่ามันมีอายุการใช้งานของมัน ผมว่ามันต้องยอมรับความจริงให้ได้

ในมุมนี้ผมมองว่า ผมก็อยากดูแลตัวเองให้ดีที่สุด รูปร่าง หน้าตา หุ่น ฝีมือ อย่างน้อยที่สุดเลย ฝีมือต้องไม่ห่วยลงนะ (ยิ้ม) หน้าตาก็ต้องดีขึ้น

ถึงเราจะแก่ขึ้น แต่ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนวันนึงถ้ามันจะต้องไปเล่นเป็นพ่อ เป็นพี่พระเอก มันก็ต้องเข้าใจวัฏจักรของมัน ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติตรงนี้

แล้วถ้าวันนั้นมาถึง ก็ค่อยมาถามตัวเองว่าเรายังแฮปปี้อยู่มั้ยที่จะยังทำงานเบื้องหน้า แต่โดยส่วนตัวระยะสั้น ผมจะตั้งใจยืนอยู่ตรงนี้อีกสัก 5 ปี 40 ผมก็ยังจะต้องเป็นพระเอก (ยิ้ม)

อันนี้ผมตั้งเป้ากับตัวเอง เราจะทำให้ดีที่สุด อยู่เบื้องหน้าให้นานที่สุด จนกว่ามันจะไม่ได้เป็นพระเอกแล้ว ค่อยมาหาแนวทางอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ”

ถามจริงๆ ตอบจริงๆ นะ ห้ามโกหก ตอนนี้ทางช่องมียื่นบทอื่นที่ไม่ใช่พระเอกให้เกรทบ้างมั้ย เราได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มกว้างๆ พร้อมกับท่าเก็กหล่อ ยืดอกแบบภาคภูมิใจในตัวเองแบบที่พระเอกหลายๆ คนชอบทำกันให้แฟนคลับใจบางว่า 

“ไม่มีครับ (ยิ้มกว้าง) ยังอยู่ในจุดที่แฮปปี้อยู่” 

ยุคโซเชียลที่สร้างความเจ็บปวด

จากนั้นเราถามคำถาม เกรท วรินทร ต่อว่า เกรทก็อยู่ในวงการบันเทิงมานาน มีอะไรที่ทำให้เกรทไม่แฮปปี้บ้างมั้ย เช่น พวกข่าวต่างๆ หรือคอมเมนต์แรงๆ ชาวเน็ต ซึ่งคำถามนี้เจ้าตัวถึงกับอธิบายให้เราฟังแบบยาวเหยียดและละเอียดว่า 

“ผมเป็นคนเครียดยาก เรื่องข่าวเป็นเรื่องที่เครียดที่สุดละ เรื่องการทำงานมีเครียดบ้าง บทที่ยากๆ แต่มันต้องผ่านไปให้ได้ คนจะเก่งจะประสบความสำเร็จมันจะต้องผ่านอะไรที่ยากๆ ให้ได้

แต่ข่าวยุคนี้มันเป็นยุคของข้อมูลที่มันเยอะ มากมายหลากหลายที่หลั่งไหลเข้ามาใส่ตัวเรา คนที่ไม่รู้จักไม่เคยเจอหน้าก็ยังด่ากันได้ ผมว่ามันเป็นอะไรที่อันตรายนะ คนเราต้องตามเรื่องนี้ให้ทัน

ผมมองว่ามันก็สร้างความเจ็บปวดได้นะ สำหรับคนที่ไม่รู้จักแล้วอยู่ๆ มาโดนด่ากับเรื่องที่ไม่เป็นความจริง มันไม่ยุติธรรมหรอก แต่มันก็คือธรรมชาติของโลก พูดตามตรง ตอนนี้โซเชียลมันก็สร้างทั้งประโยชน์และก็โทษ

ผมมองว่าเราต้องผ่านมันไปให้ได้ เพราะเราเป็นคนของสังคม เราต้องผ่านมัน แต่บางอย่างมันมากเกินไป และเราควบคุมมันไม่ได้ ก็ให้ถามใจตัวเองว่าเราจะโฟกัสความสุขไว้จุดไหน ควรเก็บสิ่งพวกนั้นมาคิดมั้ย อันนี้เป็นวิธีการจัดการของผม หรือว่าถูกรุกล้ำมากเกินไป ก็ค่อยไปดำเนินคดี”

แล้วเกรทได้อ่านคอมเมนต์บ้างมั้ย ซึ่งเจ้าตัวบอกกับเราว่า อ่านตลอด เลื่อนผ่านๆ แต่ตนเองนั้นเป็นคนระมัดระวัง อาจจะมีข่าวบ้าง แต่ไม่เยอะ เพราะอะไรที่ไม่ค่อยดีก็จะไม่ทำ ค่อนข้างรักษาภาพลักษณ์ตัวเองพอสมควร 

ข่าวเรื่องความรักที่ผ่านๆ มา ถามจริงๆ เลย ว่ามันส่งผลกระทบกับเกรทมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเกรทตอบเราว่า

“ผมไม่รู้คนมองผมเปลี่บนไปมั้ย ผมไม่รู้ว่าคนมองผมอย่างไร แต่ผมก็ไม่อยากให้คนเข้าใจผมผิด ข่าวกับนักแสดงเป็นของคู่กัน เป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ถ้ามันไม่หนักหนาจนเกินไป

คนอื่นจะคิดอย่างไรก็เรื่องของเขา และคนที่จะมารู้จักผมต้องได้คุยกัน แชร์กัน เป็นเพื่อน เป็นครอบครัวพี่น้อง เราควรแคร์คนนั้น ไม่ใช่คนในโซเชียล ดังนั้นอะไรบางอย่างถ้าทิ้งได้ก็ต้องทิ้ง มันมีความทุกข์อยู่แล้วเวลาคนมาด่า ทั้งที่เขาไม่รู้จักเรา”

ทุกข์หรือสุข เราเป็นคนเลือกเอง

เพราะปัจจุบันโซเชียลทำให้เราเป็นข่าวได้ง่าย พระเอกอย่าง เกรท วรินทร นั้นตั้งรับกับยุคโซเชียลแบบนี้อย่างไร พระเอกหนุ่มตอบกับเราว่า 

“ผมว่ามันเป็นยุคที่เราต้องปรับเปลี่ยน อย่างแรกคือ เราต้องยอมรับก่อนว่าตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนเราใช้ชีวิตอย่างไร ใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เราก็ยังมีความสุขได้ แต่ทุกวันนี้เครื่องอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นมือถือ หรือนวัตกรรมอะไรต่างๆ ที่ถูกผลิตขึ้นมาให้กับมนุษย์

เขาทำเพื่อให้คุณทำอะไรได้ง่ายขึ้น มีเวลากับตัวเองมากขึ้น แต่เรากลับเอาเทคโนโลยี่พวกนี้มาสร้างความทุกข์ให้เรา ผมมองว่าทุกวันนี้เรื่องโซเชียลมันคือเรื่องนึงที่เราต้องขยันทำงาน โพสต์โซเชียลบ้าง แสดงความคิดเห็นต่างๆ บ้างตามที่เราพึงพอใจ แต่ก็ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะกระแสอาจจะมาโดนเราได้บ้าง

โดนคอมเมนต์แต่งตัวไม่เหมาะ วางตัวไม่เหมาะสม แซวเพื่อนมากเกินไป มันเป็นเรื่องที่แล้วแต่ว่าใครจะแสดงความคิดเห็นก็ได้ เราก็ทำได้ แต่อย่าเก็บมันมาเป็นความทุกข์ คนทุกคนลงรูปก็อยากให้ทุกคนที่เห็นได้ยิ้มได้หัวเราะ หรือมากดไลค์ชื่นชอบชื่นชม มีความสุขที่คนมาชื่นชอบ ชอบผลงาน

แต่ว่าวันนึงถ้าคนเริ่มจะไม่ชอบเราแล้ว ไปชอบคนอื่น คุณจะยังมีความสุขอยู่มั้ย ก็ถามตัวเอง เพราะถ้าเราไม่เอาใจไปเกาะกับเรื่องโซเชียลมาก เราก็จะมีความสุข แต่เราต้องรู้ว่าวันนึงความสุขจะต้องหายไปนะ ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันเข้ามาวันนึงก็ต้องหายใป

ปรับใจตัวเองให้ดี มันก็จะมีความสุขได้ โลกมันเปลี่ยนไปจริงๆ เราก็เป็นคนที่มีความสุขกับโลกโซเชียลเหมือนกัน แต่ต้องดูด้วยว่าวันนึงจากเป็นพระเอก พอแก่ไปเขาก็ไม่เอาเป็นพระเอกแล้ว ให้เป็นพ่อพระเอก ก็ต้องยอมรับให้ได้

เหมือนโลกโซเชียลมันมีทั้งคนชอบ คนชอบน้อยลงทำใจให้ได้ ยอมรับความจริงให้ได้ โลกโซเชียลคนยุคใหม่ต้องเรียนรู้เรื่องนี้ ควรมีสติมากๆ ในการเล่น ถ้าทุกอย่างฟรีสไตล์ได้หมด โลกไม่สงบสุข

ผมระวังเรื่องการลงรูป คอมเมนต์แซวเพื่อน แต่ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น เพียงแต่ผมรู้สึกว่าการพูดถึงคนอื่นไม่ดีมันเป็นเรื่องที่ไม่ดีอยู่แล้ว ซึ่งผมก็ไม่ทำอยู่แล้วโดยนิสัย ส่วนใหญ่ผมแซวแบบที่สาธารณชนรู้ได้ ไม่ค่อยมีความลับ แต่เรื่องเซ้นซิทีฟเราไม่แตะ”

ถ้าไม่มีเมียก็จะออกบวช

อายุอานามก็น่าจะมีครอบครัวได้แล้ว ถามจริงเถอะ เกรทได้วางแผนเรื่องครอบครัวของตัวเองมีคิดไว้บ้างหรือยัง พอถามเรื่องนี้ เจ้าตัวหัวเราะ แล้วก็ตอบเราด้วยท่าทีสบายๆ ว่า 

“แม่ผมก็แล้วแต่ผมนะ แม่ไม่ซีเรียส ตามใจเรา ผมเคยคุยกับที่บ้านเรื่องนี้ ตั้งแต่ผมบวชมา รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปเป็นอีกคนนึง ผมมองว่ามันตกตะกอนความคิดได้หลายๆ อย่าง

รู้สึกชีวิตนิ่งขึ้น รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่ใช่เงิน คนเราอยากมีความสุขไม่อยากมีความทุกข์ เรารู้สึกว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุข เราก็จะทำมันให้ดีที่สุด

เรื่องครอบครัวของผมที่จะมี ถ้าวันนึงเราเจอใครสักคนที่อยู่ด้วย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันขนาดทำให้เราสามารถที่จะเลิกหวงความโสด อยากจะมีคนคนนี้ในชีวิต วันนั้นก็ค่อยว่ากัน

ผมไม่ปิดกั้นตัวเอง แต่ก็ไม่คาดหวัง เพราะว่าในอนาคตอาจจะบวช ซึ้งในรสพระธรรม อยู่คนเดียวแล้วแฮปปี้มาก เป็นอย่างนั้นจริงๆ

มันรับรู้ได้ว่าความสุขที่แท้จริงมันคืออะไร ช่วงเวลาที่หยุดนิ่งอยู่กับปัจจุบัน มันคือความสุขจริงๆ ทุกวันนี้มันค่อนข้างย้อนแย้งกับการทำงานในวงการบันเทิง

เวลากลับมาอยู่บ้าน แล้วได้หยุดอยู่ตรงนี้ วางโทรศัพท์ นั่งอ่านหนังสือ ดูต้นไม้ มันมีความสุขโดยที่ไม่มีเงินเยอะก็ได้ มันมีความสุขมาก มันเบาสบาย ก็รับรู้ได้ว่าความสุขจริงๆ อยู่ตรงนั้น ความสุขที่แท้จริงคือความสงบ

แต่ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่บนโลกที่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ ทำอย่างไรที่จะทำให้งานที่ทำกับความสุขที่เราชอบมันไม่ย้อนแย้งกัน ทำงานด้วยความตั้งใจ แต่อย่าหลงระเริงไปกับชื่อเสียง คำเยินยอ

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีเมีย ผมก็อาจจะบวชก็ได้ แต่ผมไม่ปิดกั้น มันไม่พร้อมที่ตัวผมเอง หวงความโสด ถ้าผมจะต้องมี ผมก็ต้องแคร์อีกคนนึง ผมต้องเกรงใจ แคร์เขา รักเขา

ดังนั้นชีวิตที่จะอิสระมันก็จะหายไป ถ้ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น อย่าเพิ่งดีกว่ามั้ย หรือถ้ามี แล้วคุยกันได้ เข้าใจความรู้สึกกันและกัน แบบนั้นแหละดี แต่ตอนนี้มันยังไม่มี (ยิ้ม) 

ถ้าผมยังไม่พร้อมเลือกใครเข้ามาในชีวิต ผมจะไม่รีบร้อน เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมามันก็สอนเรา เพราะเดี๋ยวมันจะทำเราเสียใจอีก”

ว่าที่ลูกสะใภ้ของแม่กุ้ง

เราไม่ละความพยายามเรื่องผู้หญิงที่จะมากุมหัวใจและทำให้ เกรท วรินทร ยอมเลิกหวงความโสด ว่าคนที่จะมาเป็นสะใภ้ของแม่ต้องเป็นประมาณไหน ทำเอาเจ้าตัวถึงกับหัวเราะลั่น และบอกกับเราว่า

“แม่อาจจะตั้งเป้าไว้หรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าผู้หญิงคนนั้นจะต้องอยู่กับผมไปตลอดชีวิต ผมต้องถามตัวเองก่อนจะถามแม่ ผมขอให้เขาเป็นคนจิตใจดี ขยันทำงาน แต่เน้นจิตใจดีมองว่าเป็นจุดใหญ่ อย่างอื่นค่อยมาว่ากัน

แต่ทุกวันนี้ที่ผ่านมาก็ยังไม่ค่อยมีพาใครไปเจอแม่นะ ถึงที่สุดถึงจะพาไป แม่ไม่ห่วงอะไรผมแล้วแหละ เขารู้ว่าผมเป็นอย่างไร มีแต่ผมที่จะต้องดูแลตัวเอง”

แต่อยู่ในวงการมาตั้งหลายปี เกรท ก็เป็นพระเอกอีกคนที่เป็นคนวางตัวดี คือไม่มีข่าวเสียหายเลย นอกจากเรื่องข่าวความรัก งานนี้ทำเอาพระเอกหนุ่มหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง และพูดว่า

“เรื่องผู้หญิงนี่เป็นจังนะข่าว ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยอยากจะมีเลย ด้วยความเป็นพระเอกด้วย คนก็จะอินกับเรื่องนี้มากกว่าเรื่องงาน (หัวเราะ)”

ดาวคนละดวง ผลงานละครเรื่องล่าสุด

คุยกันเพลินแป๊บๆ จะหมดเวลาแล้ว งานนี้เราเลยให้หนุ่มเกรทได้ขายของกันหน่อย เพราะตอนนี้เจ้าตัวกำลังทำรายการ Great Man Can Do ไหนๆ ลองชวนสาวๆ มาติดตามรายการที่ทำเยอะๆ หน่อยสิ งานนี้ เกรท วรินทร ไม่รอช้า รีบขายของอย่างรวดเร็วว่องไวว่า

“ตอนนี้ผมทำรายการ Great Man Can Do ทำเกี่ยวกับฟุตบอล ผมเริ่มทำในด้านที่ผมชอบ มันถึงเวลาที่ต้องเริ่มล่ะ แต่แฟนคลับเป็นผู้หญิงเขาอินแต่กับคนข้างใน ไม่อินกับฟุตบอล แต่ก็ฝากติดตามด้วยนะครับ ผมจะตั้งใจที่จะทำให้มันกว้างขึ้น จะแตกคอนเทนต์ให้มากขึ้น ยังไงก็ติดตามนะครับ

ยังไม่หมดนะครับ ยังมีอีกกับผลงานละครเรื่องล่าสุดของผมคือเรื่อง ดาวคนละดวง ที่ผมรับเล่นบู๊จัดเต็มในบท ร.ต.อ.ธนัท เป็นหัวหน้าทีมไอราวัณ บทบาทในเรื่องมันยากมากครับ แม้จะเคยบู๊มาก่อน แต่ครั้งนี้คือบู๊แบบจัดเต็มมาก ไม่มีตอนไหนไม่บู๊เลย ผมก็มีไปฟิตร่างกาย เรียนต่อยมวย ยิงปืน การจับปืน เรียกว่าเก็บทุกเม็ดเลย แต่พอเข้าฉากจริงก็ยากอยู่พอตัว เล่นจริงเจ็บจริง ยิงปืนกระสุนไม่มีหมดนะครับสำหรับค่ายนี้

เรื่องนี้บู๊แอ็กชั่นจัดเต็มมากๆ บู๊แทบจะทุกเบรก ขณะเดียวกันเรื่องรัก เรื่องดราม่าก็มี รักสามเส้า สี่เส้า แล้วก็มีฉากตลกให้ได้หัวเราะกันด้วย ยังไงก็ฝากติดตามละครเรื่อง ดาวคนละดวง ด้วยนะครับ นักแสดง ทีมงานทุ่มเทแรงกายแรงใจผลิตละครเรื่องนี้มา ก็อยากให้ทุกคนมาดูละคนเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้ให้อะไรได้มากกว่าความสนุกแน่นอน มีข้อคิดให้กับคนดูแน่นอน”

การสัมภาษณ์ในครั้งนี้ คงจะทำให้หลายคนได้รู้จักหนุ่ม เกรท วรินทร ผู้ชายคิดบวก กับมุมมองความรักของผู้ชายคนนี้ได้มากขึ้นกว่าการติดตามข่าวความรักของเขา และจะเฝ้าดูว่า ผู้หญิงคนไหนกันนะที่จะทำให้เกรทพระเอกมาดเข้มคนนี้ยอมโบกมือลาความโสดไป บอกตามตรงว่าเป็นดาราอีกคนที่อยากจะไปนั่งสัมภาษณ์ทำข่าวในงานแต่งงานมาก เราจะรอวันนั้นนะจ๊ะ.

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : phantira thongcherd

ช่างภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2023540
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2023540