ศิต โมทีฟ ประกาศขายทุกอย่างที่มีกว่า 10 ล้าน หวังปลดหนี้-ตั้งต้นชีวิตใหม่


ให้คะแนน


แชร์
ศิต โมทีฟ ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Prakasit Zit Sakolvaree ศิต โมทีฟ ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Prakasit Zit Sakolvaree

ข่าวแนะนำ

วันนี้ตัดสินใจขายอะไรบ้าง?
“เป็นการประกาศขายที่อาจจะดูกะทันหัน แต่เราไม่ไหวจริงๆ พยายามสู้แล้ว ขอบคุณทุกกำลังใจที่ตั้งแต่วันที่ผมหายไปจนวันที่ผมกลับมา ผมขออนุญาตใช้คำว่าไม่ได้ท้อนะครับ ยังมีความรู้สึกอยากสู้ และเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ทั้งประเทศที่เป็นเหมือนผม แต่อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเครียด และเป็นสิ่งที่ผมต้องจ่ายทุกเดือนๆ ตอนนี้มันสุดทางของคนคนนึง ต้องใช้คำว่าขออนุญาตขายความเครียด

ซึ่งพี่ๆ สื่อมวลชนและแฟนคลับทั่วประเทศเป็นกำลังใจให้ผมว่าผมห้ามหายไป และผมก็หาสาเหตุเจอ อันนี้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุใหญ่เป็นสิบๆ ปีแล้วที่ผมบอกทุกคน เป็นสาเหตุที่ผมเก็บมานาน มันเป็นธุรกิจที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้กับน้องๆ นักดนตรี และทุกคนที่อยากมีงานทำ แต่ผมรับในราคาถูกมาก ถูกจนกลายเป็นผมแทบไม่มีกำไร ได้นำไปคืนให้ผู้มีพระคุณที่ลงทุนให้ผมด้วยบางส่วน ผมก็เลยเครียด และยิ่งโควิดด้วย”

หลายคนสงสัยว่าเราทำธุรกิจอะไร?
“ธุรกิจที่ผมทำคือบริษัทซาวด์แอนด์ไลท์ติ้ง ซิสเต็ม ชื่อบริษัท Sound Clear ผมก่อตั้งคนเดียว เป็นระบบแสง สี เสียงคอนเสิร์ต ระบบใหญ่รองรับคนประมาณ 3-5 หมื่นคน ของทั้งหมดที่มีตอนนี้พี่ที่ใจดีอยากจะเปิดผับสามารถเอาไปปุ๊บแล้วเปิดได้ 3 ผับใหญ่ๆ และก็เป็นออร์แกไนซ์ คิดวางแผน พัฒนาทั้งระบบจบที่เราที่เดียว อยากได้นักดนตรีผมก็มีเพื่อนๆ น้องๆ ครบวงจรครับ”

ปัญหาหลักคืออะไร ที่ทำให้มาถึงจุดที่ประกาศขายอุปกรณ์ทุกอย่าง?
“ตั้งแต่โควิดครั้งแรก พยายามสู้ตั้งแต่ครั้งนั้น แต่มันจะก็มีรายจ่ายที่ยังคงอยู่ทุกเดือน พยายามสู้มาตลอดปีกว่าๆ โดยแทบจะไม่มีรายรับเข้ามาเลย ผมต้องการปลดพันธนาการให้ผมเหลือศูนย์ แล้วค่อยว่ากันใหม่ จำเป็นที่จะต้องขายความเครียด มันทำให้ผมต้องหายไป ณ วันนั้น เพราะมันคือสิ่งที่ผมต้องเจอทุกวัน กำไรที่ได้มาก็ซื้อของ และเอามาพัฒนาองค์กรเพิ่ม แต่มันไม่ได้กำไร

แต่ผมดีใจเหมือนโพสต์ก่อนที่ผมหายไปที่บอกว่าดีใจที่ได้ดูแลทุกคน ผมยังคงเดิมครับ ดีใจที่ได้ดูแลเพื่อนๆ ที่ทำออร์แกไนซ์เหมือนกันได้เช่าในราคาถูก ทุกคนอยากให้ผมแข็งแรง ผมแข็งแรงนะ อยากบอกคนเป็นซึมเศร้า ขอเรียกว่าโรคเครียดแล้วกัน น้องๆ คนไหนที่คิดไม่โอเค ผมขอเป็นกำลังใจให้ และคนที่ล้ม ไม่โอเคเหมือนผม สู้นะครับ ทุกคนให้ผมสู้ ผมสู้แล้ว และผมก็แข็งแรง แต่อันนี้คือการพูดอ้อม พูดให้กำลังใจ

แต่จริงๆ แล้วผมแย่มากครับ ผมสุด คุณคิดว่าคนคนนึงจะขายทรัพย์สินตัวเองทั้งหมด มันต้องสุดขนาดไหน แต่ผมแข็งแรงครับ อยากบอกคนที่เป็นโรคเครียดแบบผม คุณต้องอยู่นะ และหาคนข้างๆ ห้ามหายไปไหนเด็ดขาด ผมยังเป็นคนนึงที่ยังมีชีวิตมาดึงพวกคุณได้ แต่คนที่จากไปแล้วไม่สามารถมาพูดแบบนี้ได้ ฉะนั้นอยู่กับผม แล้วผมจะทำทุกอย่างเพื่อสังคมให้ดีขึ้น”

กำลังใจที่หายวูบไปเลย เราเคยคิดแวบนึงขึ้นมาไหม?
“ถ้าจะให้พูดแบบสารภาพ ณ วันนั้น อันนี้คือหนึ่งในความเครียด แต่ที่ผมหายไปก็เพื่อไตร่ตรองและคิดทบทวนว่าอะไรที่ทำให้เราเครียด ตรงนี้ก็ขอให้แบบที่ผมคิดไว้ ผมขายความเครียดทั้งหมดทิ้ง เพื่อต้องการให้ไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐที่สุด”

เป็นหนี้ทั้งหมดเท่าไร?
“มันสะสมมานานครับ ก็จะเป็นค่าผ่อนรถบรรทุก ค่าผ่อนบ้าน ผมขอเรียกว่าเป็นของสะสมละกัน เงินที่ผมไปเล่นคอนเสิร์ต ไปทำออร์แกไนซ์ เงินที่ได้มาจะได้มากหรือน้อยผมก็เอามาซื้อของเพิ่มเติม อาจจะเป็นการลงทุนที่ค่อยๆ พัฒนาจนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งหมดอาจจะเป็นหลักสิบล้านอัปที่ผมตั้งใจพัฒนาองค์กร แต่อาจจะมีการขอหยิบยืมบ้างจากผู้มีพระคุณที่เห็นความสำคัญ เห็นศักยภาพในตัวผมว่าผมทำได้ แต่ ณ ตอนนี้มันกลายเป็นว่าผมหนักจริงๆ ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่ง แต่ผมพร้อมลุยงาน แต่เนื่องด้วยตอนนี้สุขภาพตัวเองกับแก่ขึ้นทุกวันแล้ว ก็คิดว่าไม่ไหวครับ”

ภาระค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่งเท่าไร?
“เหยียบๆ แสนครับ บางเดือนก็หลักแสนอัป เป็นเบี้ยหัวแตกที่ไม่สามารถกู้คืนหรือทำอะไรได้ ก็คือการผ่อนรถ ผ่อนบ้านนั่นเอง”

รายรับต่อเดือนเท่าไร?
“ศูนย์ครับ ตอนนี้บริษัทออร์แกไนซ์ของผมรายรับเท่ากับศูนย์บาท แต่ยังต้องจ่ายอยู่ ส่วนรายรับตอนนี้ผมก็ทำเรื่อยเปื่อย ตอนนี้อาจจะมีสอนร้องเพลงบ้าง ก็ได้รับความกรุณาจากผู้ใหญ่บริษัทข้าวสารฯ ให้ผมไปสอนศิลปิน และผลิตน้ำยาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับรถ ผมรักรถอยู่แล้วก็เลยผลิตน้ำยาเคลือบเงา น้ำยาขจัดคราบอเนกประสงค์ ทำเพราะต้องการอุ้มลูกน้องให้อยู่ได้ครับ ผมสัญญากับน้องชาย 2 คนไว้ว่าผมจะดูแลเค้าในฐานของเงินเดือน ผมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้มีอาชีพ เขาอยู่กับเรามานานแล้ว เราก็ไม่มีวันทิ้งเขา”

ศิต โมทีฟ ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Prakasit Zit Sakolvaree ศิต โมทีฟ ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Prakasit Zit Sakolvaree

ตอนที่แย่หนักๆ เราต้องแบกภาระรายรับเป็นศูนย์มานานเท่าไรจนถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว?
“เกือบๆ ปีครับ ตั้งแต่โควิดครั้งแรกเลยครับ เหมือนกำลังจะดี ก็โดนแคนเซิลวันเดียว 19 งาน ช่วงเดือนธันวาคม กำลังจะได้เงินเลยครับ มันเป็นปลายธันวาคมที่เหมือนจะขาดใจ มันสุดจริงๆ ครับ ทีมงานที่ดูแลมี 2 คนครับ แต่อาจจะลามไปถึงเรื่องของการหาเงินบางส่วนมาลงทุนเพื่อให้มีอะไรทำ เพราะเครื่องเสียงตัดทิ้งไปเลยครับ มันไม่มีธุรกิจตัวอื่นครับ เพราะร้านอาหารก็นั่งทานไม่ได้ จะไปทำอะไรไม่สามารถขยับได้เลย เพราะเราลงทุนไปเยอะ

บางท่านถามว่าแล้วพี่ไม่คิดจะทำโน่นทำนี่เหรอ ผมทำเยอะมาก ทำทุกอย่างที่เป็นความสามารถส่วนตัวที่ทำออกมาแล้วก็ 32 ธุรกิจที่ทำอยู่ มันเยอะจริงๆ ครับ แต่ไม่ใช่ว่าธุรกิจทุกอันมันจะประสบความสำเร็จ อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ลูกน้องและที่บ้านผมอยู่ได้ ไม่ได้อยู่เฉยรอโอกาสรอโชคชะตา จนพี่ๆ เตือนว่าพักบ้างก็ได้ ผมจะพูดเสมอว่านอนคืออะไร ผมไม่รู้จักคำว่านอนครับ ผมคิดว่า 24 ชั่วโมงต่อวัน ผมไม่พอ ผมอยากได้ 72 ชั่วโมงต่อวัน ผมคิดเยอะ ทำเยอะ ลงมือทำจริง และไม่เคยท้อครับ”

วันนี้ที่ประกาศขายมีอะไรบ้าง?
“ที่ใหญ่สุดก็คือกิจการซาวด์เคลียร์ เป็นของสะสมและเป็นระบบลำโพงซิสเต็มส์ ซาวด์แอนด์ไลท์ติ้ง ชื่อบริษัทซาวด์เคลียร์ ก็ฝากพี่ๆ นักข่าวทุกคนไว้ด้วยครับ ใครที่สนใจสามารถซื้อปุ๊บทำธุรกิจได้เลย สามารถรองรับงานเฟสติวัลใหญ่ได้อยู่แล้ว และเป็นรถบรรทุก 6 ล้อ 1 คัน น่าจะช่วยปลดความเครียด และมีรถเบนซ์ของผม ซึ่งเป็นรถคู่ใจ ซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงส่วนตัวที่เราซื้อมานอน (ยิ้ม) แล้วก็มีบ้านครับ ทุกอย่างที่ว่ามาก็คือยังผ่อนอยู่ ยกเว้นรถเบนซ์ครับ ส่วนบ้าน ของในบ้าน ขออนุญาตให้คำว่าทั้งชีวิตก็ได้ สามารถมาช็อปได้ แต่ว่าอยากให้แบบเหมาก็ดี หรือใครอยากให้แยกก็ได้ ตอนนี้คือตัดใจขายทุกอย่างในชีวิต คือมันถึงขั้นสุดแล้วครับ ผมขอเหลือศูนย์จริงๆ ครับ โดยที่ผมไม่ขอมีหนี้สักบาทเดียว อาจจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเก่า หรือไม่ก็หาที่ที่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่”

คำนวณไว้แล้วใช่ไหมว่าของที่จะขายมูลค่ามันครอบคลุมกับค่าใช้จ่ายที่เรามีใช่ไหม?
“มันก็คงเอาไปตัดจบ อย่างรถยนต์ ถ้าคนซื้อดาวน์ต่อก็โอเคไป แต่ถ้าไม่ได้ก็คงต้องเอาเงินที่ได้บางส่วนไปตัดจบ เพราะว่าของมูลค่ามันต้องลดได้อยู่แล้ว ก็จะเคลียร์ตรงนี้ เงินที่ได้มาก็คือตัดจบจริงๆ ทุกอย่างครับ แล้วก็จะเอาไปให้กับผู้มีพระคุณ ทดแทนคืนในสิ่งที่เขาดูแลผม แล้วก็มันแย่ทั้งหมด ในเมื่อเขาแย่ เราต้องช่วยเขา เพราะผมก็ไม่เคยทิ้งใคร ไม่เคยทิ้งเพื่อนพี่น้องครับ”

ทรัพย์สินสิบกว่าล้าน ทรัพย์สินสมบัติที่เราขาย ลองตีราคาดูหรือว่ามันจะขาดจะเกินพอดีไหม? 
“เอ่อ ขาดทุนครับ อย่างไรก็ขาดทุน คือต้องยอมรับสภาพขาดทุนอยู่แล้ว อย่างเครื่องเสียง เราเข้าใจว่าไม่ใช่มือหนึ่ง เราสั่งทำเราซื้อมามันคือมือหนึ่ง แต่เราใช้ของถนอม แต่ซื้อมาแล้วก็ตีมือสองอยู่ดี รถที่ซื้อมาในราคามือหนึ่ง รถสองปี วิ่งยังไม่ถึงสามพันโลเลย รถบรรทุกคันขาวที่เดี๋ยวจะพาไปชม คือแทบจะไม่ได้ใช้งานวิ่งรับร่วมเลย แค่เอาไว้ขนของ และทุกอย่างผมดูแลดีตลอด ทั้งลิฟต์ไฟฟ้าตัวท็อป ทุกอย่างตัวท็อป คิดว่ามันจะไปได้ไงครับ คิดว่ามันจะโอเค”

ซื้อมาในจังหวะที่ไม่มีงานพอดี? 
“ใช่ครับ”

แล้วถ้าขายทุกอย่างที่เรามี แล้วยังไม่เพียงพอกับที่เป็นอยู่ตอนนี้ มีทางออกอื่นให้ตัวเองอย่างไรบ้าง คิดไว้ไหม? 
“ก็คงต้องขอผัดผ่อนเจ้าหนี้ แต่ ณ ตอนนี้ก็จะมีเรื่องของไฟแนนซ์ใช่ไหมครับ ก็คำนวณไว้คร่าวๆ ว่าอาจจะปลดหมด แต่ถ้าไม่หมดจริงๆ คือผมต้องทำงานเพิ่มนั่นแหละ ก็คงจะขออนุญาตผู้ใจดี โอเคว่าผมต้องรอคอนเสิร์ต แล้วก็เอางานคอนเสิร์ต ซึ่งเป็นความสามารถส่วนตัวที่ทำได้เอามาปลดพันธนาการ”

รถตั้งใจจะขายเท่าไร?
“คันนี้ก็ที่ตั้งไว้อยากได้ล้านสามนิดๆ เพราะว่าคันนี้ก็เป็นดีเซลตัวท็อปแหละ ก็บอกเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทักมาตลอดว่า ตอนนี้ในตลาดไม่มีแหละ ลองเช็กราคากลางก่อนได้ครับ แล้วก็แต่งไปห้าแสนกว่าบาท ทั้งล้อแม็ก ทั้งเบรก ทั้งอะไร คือ มันเป็นความชอบ และช่วงที่ผมยังพอไหว คือแต่งเพื่อที่เราจะให้ลูกค้า คือผมทำรถ และรับแต่งรถ มีเพื่อนพี่น้องทำสติกเกอร์ ทำอู่ โน่นนี่นั่น มันก็เลยกลายเป็นว่าทำรถเพื่อที่เราจะได้โฆษณาว่าเรามีความสามารถ พอที่จะซ่อมรถให้ลูกค้าได้ สามารถแต่งรถให้ลูกค้าได้ ประมาณนั้น ก็เลยยอมที่จะแต่งเพื่อให้รถมันดูดี แต่ก็ยอมรับว่าคันนี้สภาพดีจริง เพราะผมรักรถมาก ทุกคันที่ออกไปจากผมไม่ต้องซ่อมไม่ต้องทำ ดูดีมากๆ ครับ”

แล้วบ้านจะขายเท่าไร? 
“บ้านตอนนี้ยังติดผ่อนอยู่ครับ ก็หวังว่าจะไม่เกินแค่สามล้าน คือทุกอย่างที่ผมขายจะเป็นราคากลาง จะมีราคากลางที่ทุกคนสามารถรับได้ ผมไม่บวกแน่นอน เพราะว่าผมอยากปลดพันธนาการ แต่ถ้าเกิดวิงวอนพี่ๆ ทุกคนครับ พูดตรงๆ ว่าถ้าจะมาต่อราคาจนผมไม่ไหว เดี๋ยวผมก็ร้องไห้ อย่าแซวหน้าม้าหนู (หัวเราะ) ประมาณนี้”

แล้วรถหกล้อใหญ่ขายเท่าไหร? 
“หกล้อใหญ่ คันสีขาว ก็จะเป็นตัวใหญ่สุดของฮีโน่แหละ ตอนนี้เช็กราคากลางอยู่ ก็น่าจะประมาณสองล้านกลางๆ ครับ เพราะว่าตัวรถพร้อมตู้พร้อมลิฟต์เกือบๆ สามแหละ ทำสีพิเศษด้วย ทำโลโก้ด้วย ติดลิฟต์เพิ่มด้วย เอาเรื่อง ง่ายๆ คือราคาตกลงยี่สิบห้าถึงสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่ว่ามันได้มีคือไมล์น้อยมาก เพราะรถบรรทุกเราเข้าใจว่าซื้อมาเพื่อวิ่ง ฉะนั้น รถปีหนึ่งเกินสองหมื่นกิโลแน่นอน แต่ของผมน่าจะสตาร์ตไม่เกินสามพันห้าร้อยกิโล รถสองปี แต่สภาพใหม่มาก”

เครื่องเสียง เวที และอื่นๆ ตีไว้ประมาณเท่าไร? 
“เวทีแสงสีเสียงทั้งหมดน่าจะทั้งหมด น่าจะมีมูลค่าประมาณสิบกว่าล้าน แต่ว่า ณ ตอนนี้ผมยังไม่ได้แจกแจงว่ารวมทั้งหมดเท่าไร โอเคถ้าขายเป็นเหมา อยากให้พี่ๆ มาคุยกันก่อน เพราะผมก็ตอบไม่ได้ เพราะรายละเอียดเยอะ เป็นพันรายละเอียดเลย เพราะฉะนั้นในรูปที่ลงในเฟซ ประมาณเกือบ 70 รูป ยังไม่หมดครับ ก็ได้แค่ดึง เพราะมันมีข้อจำกัด เดี๋ยวพี่ๆ ที่เน็ตไม่แรงก็จะเปิดไม่ได้อีก ก็จะค่อยๆ เปิดทีละนิด ก็มีไอดอลเป็นแม่นกน้อย

คือผมเห็นวันนั้นแล้วก็ร้องไห้แทนเลยครับ ออกมาเพื่ออุ้มลูกน้อง ก็ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงบ้าง ยังไม่ติดตามข่าวเพิ่ม แต่ว่ากล้าที่จะออกมายอมรับว่าไม่ไหว เพื่อดูแลคนที่แม่เขารักทุกคนเหมือนกันครับ ผมก็ต้องยอมขาย เพื่อลูกน้องผมกับบริวารผม พี่ๆ ผม น้องๆ ผมได้อยู่รอด กับตัวผมต่อให้ไม่เหลืออะไรเลยก็โอเคครับ เดี๋ยวเราค่อยเริ่มต้นกันใหม่เนอะ คนที่เป็นโรคเครียดทั้งหลายนะครับ สู้ไปด้วยกัน”

ให้กำลังใจตัวเองยังไงบ้าง? 
“ร้องไห้ทุกวันครับ คนเป็นโรคเครียดร้องก็ต้องร้องครับ เชื่อผม ผมเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่โดยการที่ยังไม่ไปหาหมออย่างถูกต้อง แต่ทานยาคลายเครียด ผมเป็นคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ และอธิบายให้ท่านดู ฟังได้ อยากให้ผมเป็นวิทยากรที่ไหน บอกครับ อยากร้องก็ร้อง เพราะมันร้องมาเอง ทุกคนบอกว่าเมคไหม อย่างเมื่อกี้เสียงผมมีสั่นโน้นสั่นนี่ ก็คุณเสียใจอะ คนขายของมาทั้งชีวิต ถูกไหมครับ ร้องก็ร้อง แต่อย่าท้อ

มันไม่มีอะไรกับคำว่าน้ำในสมอง สารเคมีในสมอง คุณหายไปสองตัว แค่นั้น เข้าใจตัวเองใหม่ แล้วสู้กับมัน ในหัวผมกลางกระหม่อมผมมีคุณพ่อคุณแม่ลอยขึ้นมาทุกครั้งที่เครียด คือต้องดูแลให้ได้ วันนั้นที่ผมหายไปแล้วทุกคนเห็นในข่าวว่าผมนอนน็อกอยู่ มีอุปกรณ์ทั้งหลายครบหมด ยอมรับครับว่ามันไม่ดี เพราะฉะนั้นอย่าทำตามผมเด็ดขาด ผมผ่านมันมาได้แล้วให้ข้อมูลกับคุณได้ คุณให้ผมสู้ ฉะนั้นพวกคุณต้องสู้ ห้ามหายเหมือนผมเด็ดขาด

เราน่าจะมีโอกาสได้เจอกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผมจะทำรายการดีๆ มาให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน หวังว่าผู้ใหญ่จะสนับสนุนผมด้วย จะให้ผมเป็นวิทยากรอธิบายที่ไหนบอก ผมยินดีไป ให้คำแนะนำด้วยคนที่เป็นโรค และยังมีชีวิตอยู่ หาจุดมุ่งหมายให้ได้ว่าทุกวันนี้อยู่เพื่อใคร คนเป็นโรคเครียดก็จะบอกตัวเองว่าไม่รู้จะอยู่เพื่ออะไร

มีหลายเคสครับที่ผมอธิบายไป แล้วก็ออกไปดึงภาพคุณพ่อคุณแม่ ลูกสาวลูกชายของแต่ละคน แล้วผมก็ถามกลับน้องเขาไปว่า นี่คือใคร เขาก็บอกว่าคุณพ่อคุณแม่ ลูกฉันไง ก็นี่ไงครับ สิ่งที่คุณต้องอยู่เพื่อเขา แค่นี้เองครับ ตอบตัวเองให้ได้ว่ากลางกระหม่อมของคุณมีใครอยู่ ของผมมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ แค่นั่นเองครับ แล้วคุณจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อครับ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2045135
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2045135