ย้อนสำรวจเบื้องหลังจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ ‘โลกหม่น’ แบบ Zack Snyder’s Justice League


ให้คะแนน


แชร์

หนึ่งในเรื่องน่าตื่นเต้นของแวดวงภาพยนตร์และแฟนคลับจักรวาล DC คือการมาเยือน (ในที่สุด!) ของ แซ็ค สไนเดอร์ และ Zack Snyder’s Justice League (2021) หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่กล่าวกันว่ามีน้ำเสียงและตัวตนของผู้กำกับรายนี้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด หลังจากที่ในเวอร์ชั่นก่อนหน้าอย่าง Justice League (2017) นั้น สไนเดอร์กำกับไปได้แค่ครึ่งทางก่อนถอนตัวจากโปรเจกต์เนื่องด้วยเหตุโศกนาฏกรรมของครอบครัว และผลัดมือให้ จอสส์ วีดอน ผู้กำกับจาก Serenity (2005) และ Avengers (2012) เข้ามากุมบังเหียนแทน ซึ่งกลายเป็นว่า Justice League 2017 กลับเป็นเวอร์ชั่นที่ถูกสาปส่ง เพราะหนังเต็มไปด้วยความครึ่งๆ กลางๆ ของบทและการดำเนินเรื่อง จนผู้ชมตั้งคำถามว่า หากสไนเดอร์-ผู้เป็นหัวเรือของโปรเจกต์นี้แต่แรก-ได้กำกับเองทั้งเรื่อง ตัวหนังจะออกมาเป็นอย่างไร และถึงขั้นรวมตัวเรียกร้องผ่านแฮชแท็ก #ReleaseTheSnyderCut ตามมาในปี 2018

ข่าวแนะนำ

จึงไม่น่าแปลกใจที่การมาถึงของหนัง Zack Snyder’s Justice League ความยาว 4 ชั่วโมงเต็มจะเป็นผลงานที่ทำให้แฟนๆ -ผู้เฝ้ารอมาอย่างยาวนาน- รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นหนัง ‘ซูเปอร์ฮีโร่รวมเหล่า’ ของสไนเดอร์ ผู้ที่ด้านหนึ่งก็เป็นคนทำหนังคู่บุญของดีซีมาตั้งแต่ Watchmen (2009) และอีกด้านก็ยังเป็น ‘ผู้กำกับดั้งเดิม’ ที่เคยต้องการบอกเล่าเรื่องราวนี้ในสไตล์ส่วนตัวอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นั่นคือการใช้โทนสีหม่นทึบ, งานภาพและสเปเชียล เอฟเฟกต์หนักมือ พร้อมด้วยฉากแอ็กชั่นแบบระเบิดภูเขาเผาเมืองอย่างที่หลายคนอาจเคยเห็นผ่านตามาแล้วในหนังเรื่องก่อนๆ ของเขา

ยิ่งประกอบกับชะตากรรมสุดรันทดของ Justice League เวอร์ชั่น 2017 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้เป็นที่จับตามอง กล่าวคือในช่วงกลางปี 2016 ที่สไนเดอร์ยังคุมบังเหียนเป็นผู้กำกับอยู่ เขาฉายหนังที่ยังตัดต่อไม่สมบูรณ์และใส่สเปเชียล เอฟเฟกต์ไม่ครบให้โปรดิวเซอร์และผู้บริหารของวอร์เนอร์ บราเธอร์สดู ปรากฏว่าพวกเขารู้สึกไม่พอใจกับ ‘ร่างหยาบ’ ของ Justice League นี้เท่าไรนัก จึงไปจ้างวีดอนมาร่วมเขียนบทเพื่อช่วยให้หนังคลายจากความหน่วงหนักและดูเปี่ยมอารมณ์ขันมากขึ้น เพราะ Batman v Superman: Dawn of Justice (2016) ของสไนเดอร์ก่อนหน้านั้นเคยถูกนักวิจารณ์ถล่มยับว่า งานภาพมืดจนมองอะไรแทบไม่เห็นนอกจากแสงระเบิดกับแสงเลเซอร์จากตาของ ซูเปอร์แมน และอารมณ์หนังก็ ‘ดิ่ง’ เกินความจำเป็นไปมาก

แต่ระหว่างที่สองผู้กำกับช่วยกันถ่ายซ่อมบางฉากที่มาจากบทใหม่อยู่นั้น ก็เกิดข่าวร้ายกับครอบครัวของสไนเดอร์เมื่อลูกสาวต้องเสียชีวิตลง จนทำให้เขา-ที่พยายามกัดฟันมากำกับต่ออยู่อีกสองเดือน-ต้องขอถอนตัวเพราะไม่มีสมาธิกับงาน วีดอนจึงรับไม้ต่อในการกำกับเต็มที่พร้อมเพิ่มบทไปอีก 80 หน้า ซึ่ง ฟาเบียน แวกเนอร์ ผู้กำกับภาพออกปากว่า Justice League เวอร์ชั่น 2017 ที่ได้ดูกันในโรงหนังมีฉากที่สไนเดอร์ถ่ายไว้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีกทั้งนักแต่งดนตรีประกอบอย่าง โธมัส โฮลเคนบอร์ก หรือ Junkie XL ที่ทำสกอร์หนังไว้ได้เพียงครึ่งหนึ่ง ยังต้องส่งไม้ต่อให้ แดนนี เอลฟ์แมน ระหว่างทางด้วย – จึงอาจกล่าวได้ว่า นี่เป็น ‘หนังคนละม้วน’ ของจริง

ขณะที่งานจัดการด้านนักแสดงก็ทุลักทุเลไม่น้อย โดยเฉพาะ เฮนรี คาวิลล์ ผู้รับบทซูเปอร์แมนที่ติดคิวถ่ายทำเรื่อง Mission: Impossible – Fallout (2018, คริสโตเฟอร์ แม็กควอร์รี) จนต้องไว้หนวดเฟิ้มเหนือริมฝีปากชนิดห้ามเปลี่ยนทรงอยู่นานหลายเดือน ซึ่งเมื่อวีดอนขอคิวคาวิลล์มาถ่ายซ่อม เขาจึงต้องกัดฟันใช้คอมพิวเตอร์ กราฟิกลบหนวดเจ้ากรรมของนักแสดงหนุ่มออกให้หมด แต่พอลบแล้วไม่เนียน มันจึงกลายเป็นไวรัลให้คนในโลกออนไลน์หยิบไปแซวกันยกใหญ่ รวมถึงตัววีดอนเองที่ก็มีปัญหากับหนึ่งในนักแสดงนำของเรื่องคือ เรย์ ฟิชเชอร์ ผู้รับบทเป็น ไซบอร์ก ที่เปิดหน้าออกมาเล่าว่าวีดอนปฏิบัติต่อนักแสดงและทีมงานใน Justice League แย่มาก เขาทั้งหยาบคาย พูดจาแย่ ไม่เป็นมืออาชีพ และทำตัวเหลือทนมากจริงๆ จนหลายคนตั้งข้อสังเกตกันไปต่างๆ นานาว่า ปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างทีมงานกับผู้กำกับอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังออกมาไม่ดีเท่าที่ควร

Snyder’s Cut จึงเป็นเสมือนคำตอบของสิ่งที่สไนเดอร์ตั้งใจจะทำในปี 2017 โดยเล่าเรื่องราวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ที่ต่อเนื่องมาจาก Dawn of Justice ภายหลังการจากไปของซูเปอร์แมน (คาวิลล์) และเกิดการรุกรานจากต่างดาวภายใต้การนำทัพของ สเตปเพนวูล์ฟ (เคียราน ฮินด์ส – เวอร์ชั่นนี้แต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ต่างจากปี 2017 ด้วย) ที่หมายจะรวมเอา ‘มาเธอร์สบ็อกซ์’ ขุมพลังทั้งสามที่ซุกซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์กลับมารวมกันอีกครั้งเพื่อทำลายล้างดาวเคราะห์ แบตแมน (เบน แอฟเฟล็ค), วันเดอร์ วูแมน (กัล กาด็อต), ไซบอร์ก (ฟิชเชอร์), อควาแมน (เจสัน โมโมอา) และ เดอะ แฟลช (เอซรา มิลเลอร์) จึงต้องหาทางปลุกซูเปอร์แมนขึ้นมาจากความตายให้ได้เพื่อยับยั้งการกระทำอันอุกอาจของผู้มาเยือนจากต่างดาว

ด้วยความที่กลับมาปรับแก้หนังเรื่องนี้อย่างเต็มตัว สไนเดอร์จึงมีส่วนในการเขียนบทร่วมกับ คริส เทอริโอ มือเขียนบทคู่บุญของจักรวาลดีซีได้เต็มที่ (ขณะที่เวอร์ชั่น 2017 วีดอนเข้ามามีส่วนในการเขียนด้วย) กับทุนสร้างที่กระฉูดไปอีก 70 ล้านเหรียญฯ เพื่อเพิ่มเติมวิชวล เอฟเฟกต์ให้ฉากต่างๆ และตัดต่อ-ถ่ายทำบางฉากใหม่ ซึ่งก็รวมถึงเรื่องราวของไซบอร์กที่เวอร์ชั่น 2017 นั้นแทบจะเลือนหายไป “ไซบอร์กเป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้เลยนะ ตอนที่ผมกับคริสคุยกันเรื่องสคริปต์ตั้งแต่ช่วงแรกๆ เราสองคนก็คิดเหมือนกันว่ามันต้องเล่าเรื่องของไซบอร์กสิ” สไนเดอร์ว่า โดยเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะตามเส้นเรื่องแล้ว หลังจากประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงจนถึงชีวิต ไซบอร์กได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยพลังจากมาร์เธอร์บ็อกซ์ ซึ่งแม้จะไม่อาจทำให้เขากลับไปเป็นมนุษย์เต็มตัวได้ แต่มันก็มอบพลังหลายอย่างให้เขา หนึ่งในนั้นคือพลังของการสำรวจโลกอันซับซ้อนของจักรกลในทุกแห่งหน

“ผมเองไม่เคยดูเวอร์ชั่นปี 2017 ที่ฉายโรงหรอก เพราะอย่างนั้นเลยไม่รู้ว่ามันจะแตกต่างจากเวอร์ชั่นของผมมากน้อยแค่ไหน เลยมีหลายครั้งที่เวลาผมพูดคุยกับแฟนหนัง ผมเองก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่” ผู้กำกับบอก “อย่างตอนที่ คริส (คริสโตเฟอร์ โนแลน – โปรดิวเซอร์หนัง) กับ เด็บบี (เดบอราห์ สไนเดอร์ – ภรรยาและโปรดิวซ์ร่วม) ไปดูมันในโรง พอดูจบ พวกเขาก็ออกมาบอกผมว่า ‘อย่าไปดูเลยน่า’ หรือถึงขั้น ‘อย่าพูดถึงมันเลย’ อะไรแบบนั้น”

ดังนั้น Zack Snyder’s Justice League จึงเต็มไปด้วย ‘เลือดเนื้อ’ ในแบบของสไนเดอร์โดยแท้ กล่าวคือเต็มไปด้วยบรรยากาศหม่นครึ้ม, โทนสีทึมเทาที่กระทั่งผ้าคลุมของซูเปอร์แมนก็ยังเป็นสีดำ, อารมณ์ขันที่แม้ไม่ถึงกับแห้งแล้งแต่ก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงฉากต่อสู้แสนอลังการที่ปรากฏขึ้นแทบทุกครึ่งชั่วโมง

สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราสามารถสัมผัสได้ถึงความเข้าอกเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตัวละครและจักรวาลนี้ของสไนเดอร์ ผ่านทุกเส้นเรื่องที่ถูกเล่าออกมาอย่างละเอียดลออ รวมถึงความใส่ใจของผู้กำกับในฉากท้ายๆ ที่นำเอาตัวละครหน้าใหม่-หน้าเก่าในเส้นเรื่องของฮีโร่/วายร้ายคนอื่นๆ มารวมเข้าด้วยกัน อย่างฉากการปะทะคารมอันลือลั่นของ โจ๊กเกอร์ (จาเร็ด เลโต) กับแบตแมน ซึ่งเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นความตายของตัวละครแวดล้อมอื่นๆ ที่ชวนน่าใจหาย หรือการปรากฏตัวของนักล่ามนุษย์ มาร์เชียน แมนฮันเตอร์ ที่เป็นนัยของการขยับขยายจักรวาลดีซีให้กว้างขึ้นในอนาคต

ทั้งหมดนี้ ยังไม่นับรวมความทะเยอทะยานในการจะกลับมาแก้ไขในสิ่งที่สไนเดอร์ไม่อาจทำได้เมื่อสี่ปีก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากเขาปราศจากพลังใจอันมหาศาล

เอาจริงๆ นะ การที่หนังมันเสร็จและออกฉายได้นี่ผมก็มีความสุขมากแล้ว สำหรับผม การที่คนดูรับรู้ได้ว่า นี่เป็นงานที่ผมตั้งใจมากๆ มันก็คงเพียงพอแล้วละ คำวิจารณ์ที่ตามมาหลังจากนั้นจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากนัก” ผู้กำกับกล่าว

อ้างอิง: CinemaBlend, HBO Max, GQ, Deadline

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/movie/2057900
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/movie/2057900