บอม ธนิน ขอบคุณประสบการณ์ชีวิตที่แสนหนัก แม้มีเงินร้อยล้านก็หาซื้อไม่ได้


ให้คะแนน


แชร์

ทิ้งชีวิตเรียบง่าย และสงบ มาพบความวุ่นวายในวงการบันเทิง

ถ้าวันนี้บอมไม่ได้เป็นนักแสดง วันนี้คิดว่าตัวเองจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ลองเล่าให้ฟังสิ คำถามนี้ทำเอาเจ้าตัวยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมา พร้อมกับรำลึกชีวิตของตัวเองที่เคยวางเอาไว้ก่อนจะมาเป็นนักแสดงให้ฟังว่า 

“ก่อนที่ผมจะได้มาทำงานในช่อง 3 ผมเคยไปเรียนภาษาที่เคมบริดจ์ แล้วเคยแพลนชีวิตตัวเองว่าเรียนจบปุ๊บจะอยู่ที่นั่น

ผมชอบชีวิตที่นั่นมาก ความสงบที่เคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ มันสงบ ไม่วุ่นวาย แตกต่างจากกรุงเทพฯ มากเลยนะ จำได้ว่าทุกนาทีที่นั่นมีความสุขในการใช้ชีวิต เพราะมันสงบ สบาย แพลนเอาไว้ว่าจะหางานเล็กๆ ทำ มีบ้านเล็กๆ ที่นั่นอยู่ เคยมองไว้คร่าวๆ แบบนี้ (ยิ้ม)”

แต่เมื่อชีวิตมีทางให้เลือกงานนี้ จึงทำให้ บอม ธนิน ตัดสินใจทิ้งความเงียบสงบที่เคมบริดจ์ มาอยู่บนถนนสายบันเทิงที่มีแต่ความบันเทิงทุกรูปแบบรออยู่ ซึ่งบอมเล่าให้เราฟังต่อว่า 

“จากนั้นผมได้โอกาสจากช่อง 3 ได้มาแคสต์ละคร และได้เล่นละคร เลยต้องเลือกว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต จะลองเล่นดูมั้ย หรือว่าจะไปลองใช้ชีวิตในแบบที่เราคิดดู

เลยไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ว่าโอกาสที่ได้จากช่อง 3 มันเป็นโอกาสใหญ่มาก ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เป็นนักแสดง เรียนมาก็ไม่ตรงกับทางนี้มาด้วย แต่ดันได้โอกาสนี้มา และมันใหญ่มากสำหรับผม เพราะเหตุนี้จึงทำให้ตัดสินใจว่าจะลองดูสักตั้ง (ยิ้ม)”

สิ่งที่คนไม่เคยรับรู้

เล่นละครเรื่องแรกก็ได้กระแสตอบรับที่ดีมาก ไม่ต้องถามความรู้สึกในวันที่ประสบความสำเร็จ เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องภูมิใจกับสิ่งที่ได้รับมา แต่ได้รับเสียงชื่นชมได้ไม่นาน บอม ธนิน กลับต้องเจอกระแสวิจารณ์อย่างหนักหน่วงจากการแสดงละครเรื่องต่อๆ ความรู้สึกในตอนนั้น บอมเล่าให้ฟังแบบไม่อายว่า 

“ปัจจุบันผมก็ยังโดนอยู่นะ (หัวเราะ) ถามว่าท้อมั้ย ผมขอเล่าให้ฟังก่อนว่า ผมเติบโตมาในครอบครัวที่ซอฟต์ คุณพ่อคุณแม่เป็นคนใจดี ให้แคร์ทุกอย่าง เป็นคนใจดี เป็นคนที่แคร์คน มันก็ดีนะ

แต่พอมีคอมเมนต์ไม่ดี การบูลลี่ หรืออะไรก็ตามที่แรงๆ เกิดขึ้น ด้วยความที่ผมเป็นคนที่แคร์คน อาการผมในตอนนั้นหนักมาก

แต่อาการที่เกิดขึ้นกับตัวผม คนที่บูลลี่ หรือคอมเมนต์แรงๆ ไม่รู้ไม่เห็น ฉากหน้าผมอาจจะยิ้มแย้ม แจกรอยยิ้ม แต่เวลาที่ผมอยู่ในห้อง ผมร้องไห้เอาหน้าซุกหมอน ผมเครียดมาก ในช่วงเวลานั้นมันหนักมากสำหรับผม 

แต่เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับผม มันก็จะผ่านไปด้วยกาลเวลาอยู่แล้ว และมันอยู่ที่เราว่าจะปล่อยให้มันผ่านไป หรือว่าจะเก็บประสบการณ์บางอย่างนั้นมาด้วย

และผมก็เลือกที่จะเก็บประสบการณ์บางอย่างจากตรงนั้นมาด้วยครับ (ยิ้ม) เพราะมันทำให้ผมโตขึ้น หลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นที่ผ่านมา หลายคนบอกกับผมว่าดูโตขึ้น ดูเปลี่ยนไปจากเมื่อ 7-8 ปีก่อน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความนิ่ง การทำงานหรืออะไรก็ตาม ถ้าเขาบอกว่าเปลี่ยนไปในทางที่โตขึ้น ผมรู้สึกว่ามันคือคำชม (ยิ้ม)

แต่ต้องยอมรับนะ เพราะเราอยู่ในประเทศเสรี คนสามารถพิมพ์อะไรก็ได้ เวลาที่คนคอมเมนต์แรงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกดีหรอก เราจะไปสั่งให้เขาหยุดพิมพ์ก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้ คือต้องทำใจก็เท่านั้นเอง (ยิ้ม)”

จำสายตาที่ถูกมองได้ไม่เคยลืม

เพราะสิ่งที่ บอม เจอมันรุนแรงไม่น้อย จึงทำให้บอมนั้นมีอาการของโรคซึมเศร้า ซึ่งเจ้าตัวนั้นเปิดใจเล่าให้ฟัง เพื่อให้เรื่องราวในชีวิตของเขาเป็นประโยชน์กับใครหลายคน ที่ยังมองว่าการไปหาหมอจิตแพทย์นั้นเป็นเรื่องที่น่าอายว่า 

“ผมรับมือกับสิ่งที่เจอมาไม่ค่อยดีเท่าไรนะ เพราะผมโดนหนักมาก ถ้าพูดชื่อ บอม ธนิน ในตอนนั้นโดนด่าเยอะ ไม่มีอะไรดีเลย (ยิ้ม)

จริงๆ ผมเคยให้สัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้วว่าผมมีอาการของซึมเศร้า แต่ผมก็ไม่อยากบอกใครมาก แต่มันไม่ได้เป็นหนักอะไร มันคือภาวะซึมเศร้าที่ผมเคยคุยกับจิตแพทย์ เขาบอกว่าผมเก็บเรื่องราวเอาไว้เยอะ

พอเก็บไว้เยอะสิ่งที่มันเกิดขึ้นคือ มันทำให้ผมมีภาวะซึมเศร้าแต่แค่เบื้องต้น มันจะไม่น่ากลัวถ้าเรายอมรับ เปิดใจหาคนคุย

แต่ถ้าเราไม่เปิดใจ เราเก็บ เราปิดบังไว้ มันจะอันตรายมาก เพราะสารเคมีในสมองจะเริ่มเปลี่ยน แต่ผมไม่ถึงขั้นนั้น

แต่ผมจำความรู้สึกเหล่านั้นได้เป๊ะเลย ผมยังจำสายตาคนที่มองผมในตอนนั้นได้ ผมกล้าพูดตรงนี้เลยว่า สายตานั้นไม่มีใครเข้าใจเท่าผมหรอกว่ามันหนักแค่ไหน

แม่ผมสอนให้สู้ เราต้องผ่านมันไปให้ได้ บางทีสู้ไปร้องไห้ไปมันก็มี พอโตขึ้นเราก็หาทางรับมือให้มันดีขึ้นได้ หาทางระบายความเครียด ต้องพูดตรงๆ ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมโชคดีที่คนไม่ทิ้งผม นั่นคือคนรอบข้าง และช่อง 3

เคยมีคำพูดว่าหนึ่งพูดว่า มิตรแท้ มันไม่สามารถพิสูจน์ได้ตอนเวลาเราร่ำรวย หรือประสบความสำเร็จ แต่มิตรแท้พิสูจน์ได้ตอนที่คุณวิกฤติที่สุด

ผมพูดได้เลยว่าช่อง 3 เป็นมิตรแท้ เขาให้โอกาส ให้งาน ถ้าเขารู้ว่าผมไม่ใช่คนดี ช่อง 3 ก็คงไม่เอาผมไว้แล้ว เพราะยังมีคนที่อยากเป็นนักแสดงอีกตั้งเยอะ

นั่นแสดงว่าช่องเห็นอะไรในตัวผม เห็นว่าผมมีศักยภาพ เห็นว่าผมทำอะไรได้ ขอบคุณช่องที่ยังเชื่อในตัวผม ผมก็พร้อมที่จะสู้ไปต่อ และผมก็ยังโชคดีที่มีผู้จัดหลายคนยังให้โอกาสให้ผมได้ไปต่อ (ยิ้ม)”

คำสอนและกำลังใจจากพ่อแม่

จากนั้น บอม ธนิน เล่าให้ฟังต่อว่า ก่อนหน้าที่จะสู้ต่อในวงการบันเทิงนั้น เขาเคยท้อแท้ถึงขั้นสุดจากสายตาของทุกคนที่มองเขา เคยทำให้พระเอกคนนี้ตัดสินใจจะลาวงการ เพราะในตอนนั้นเขาไม่มีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ซึ่งบอมเล่าว่า 

“ผมเคยคิดจะออกจากวงการบันเทิงจริงๆ มีช่วงหนึ่งที่ผมไม่มีความสุขเลย มืดแปดด้าน ตื่นขึ้นแล้วทุกข์ ไม่มีความสุขเลย เจอสายตาของคนที่มองผมมันแย่จนผมเคยพูดกับผู้ช่วยด้วยว่า ไม่ทำงานแล้วได้มั้ย อยากไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเลย

คิดเอาไว้ว่าจะไปอยู่กับหมา อยู่กับอะไรก็ได้ที่เขาไม่ตัดสินผม ความรู้สึกตอนนั้นมันแย่มากเลย แต่ด้วยความที่ถูกปลูกฝังมาจากคุณพ่อคุณแม่เสมอว่าต้องสู้ เขาบอกว่ามันเหนื่อยได้ ท้อได้ แต่มันต้องลุกขึ้นสู้ต่อไป

เหตุการณ์ตอนนั้นที่ผ่านมา ผมก็รับมือมันไม่ดีหรอก ผมไม่ใช่คนที่รับมือกับปัญหาได้ดี เพราะผมเป็นคนซอฟต์ พ่อแม่สอนให้ผมเป็นคนซอฟต์ ยอมทุกๆ อย่าง มันเลยทำให้กว่าจะผ่านมาได้ก็ใช้เวลานาน กว่าความคิดจะเกิดการตกตะกอน (ยิ้ม)”

ครอบครัวไม่ทิ้งเรา

กว่า บอม ธนิน จะผ่านเรื่องราวที่หนักที่สุดในชีวิตช่วงนั้นมาได้ เพราะมีครอบครัวและเพื่อน ที่อยู่เคียงข้าง ซึ่งบอมเองก็ไม่ลืมที่จะเล่าถึงคนสำคัญเหล่านั้นที่อยู่ในช่วงเวลาที่เขาทุกข์หนักทางใจว่า 

“สิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจที่พ่อแม่สอนมา คือ คำสอนที่บอกให้สู้นะลูกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหนื่อยก็พักก่อนได้นะ ซึ่งมันคือความโชคดีอย่างหนึ่ง ครอบครัวไม่ทิ้งเรา

และคงเป็นบุญเก่าของผม ที่ทำให้ผมได้เจอเพื่อนดีๆ ที่คบกันแล้วไม่ได้หวังผลประโยชน์ ไม่ใช่คนคบกับแล้วจะมีคนติดตามเขาเพิ่มขึ้น หรือคบเพื่อจะต้องหาเงินให้ หรือคบกันแล้วจะได้มีกระแสโซเชียลที่ดีขึ้น ผมเคยเจอคนที่เข้าหาผมเพราะต้องการสิ่งเหล่านี้ ผมก็ดูออก แต่มันก็ไม่ผิดสำหรับเขาหรอก 

แต่ผมก็ยังมีเพื่อนดีๆ อีกหลายคนที่อยู่นอบข้าง ทั้งเพื่อนในวงการและนอกวงการ ผมดีใจนะที่มีเพื่อนเหล่านี้คอยให้คำปรึกษา ให้กำลังใจกันได้ (ยิ้ม)”

ความสำเสร็จที่รออยู่

ฟังเรื่องราวที่ผ่านมาของ บอม ธนิน ก็ดูเหมือนหนักหนาสาหัสไม่น้อย แต่วันที่ฝนตกหนักฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ เรามักจะได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ และมันก็มักจะเกิดขึ้นจริงๆ ไม่มีใครที่จะอยู่กับความทุกข์ทรมานใจไปชั่วชีวิต และบอมก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

เพราะหลังจากที่ยังได้โอกาสจากช่อง ผู้จัด และ แฟนละคร ให้บอมได้พิสูจน์ฝีมือทางการแสดงอีกครั้ง ซึ่งบอมก็ทำได้ดี จนหลายคนให้การยอมรับ ซึ่งบอมเล่าถึงความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของชีวิตการเป็นนักแสดงให้ฟังว่า

“พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เคยบอกกับผมว่า เมื่อไหร่ที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว นั่นแปลว่ายังไม่เก่ง และความคิดที่ว่าตัวเองเก่งมันจะทำให้ตัวเราหยุดที่จะพัฒนาต่อไป คำพูดนี้อยู่ในหัวผมเสมอครับ

ส่วนคำว่าพิสูจน์ตัวเอง ผมก็พิสูจน์ตัวเองอยู่ทุกวัน สู้ทุกวัน เรื่องนี้ก็พิสูจน์เรื่องนั้นก็พิสูจน์ พิสูจน์มาเรื่อยๆ ถ้าเกิดถามว่าพิสูจน์ฝีมือตัวเองครั้งแรก แล้วคนประทับใจมาก ก็คือเรื่องชั่วโมงต้องมนต์ (ยิ้ม)

เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อาปิ่น (ปิ่น ณัฏฐนันท์) ให้โอกาสผม ผู้กำกับคือ พี่ฟิวส์ กิตติศักดิ์ มันเป็นอะไรที่ดีมาก ถึงมันจะเหนื่อย เครียด ร้องไห้ แต่มันก็ได้ผลตอบรับที่ดีมากๆ

พอละครออนแอร์แล้วกระแสดีมาก ผมร้องไห้เลย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ร้องไห้เพราะดีใจ งงว่านี่คือคำชมเหรอ ผมอยู่มากี่ปีแล้วนี่คือคำชมในชีวิตผม มันทั้งงง ปลาบปลื้มว่ามันดีจริงๆ ผู้ชนะ แชมเปียนส์ เราจะฉลองกับชัยชนะกันแค่วันเดียว แต่หลังจากนี้ก็จะมาลุยต่อ (ยิ้ม)

ส่วนเรื่องทุ่งเสน่หา กับบทของ ไพรวัลย์ ออนแอร์ติดโควิดก็โชคร้ายอยู่เหมือนกัน แต่ต้องขอบคุณพี่คิง สมจริง ที่ดีไซน์ตัวละครตัวนี้ออกมาให้โดน ผมจำอารมณ์ของตัวละครในเรื่องนี้ได้ เป็นตัวละครที่น่ารักมาก

พี่คิงบอกผมว่าตัวละครตัวนี้มันอยู่ไม่จบเรื่อง แต่เชื่อพี่นะว่าตัวละครนี้จะเป็นตัวละครที่คนดูรักที่สุดในเรื่อง ตอนที่เขาพูดกับผม ผมไม่รู้ ไม่เข้าใจด้วย และผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไร

แต่ผมรู้สึกว่าเป็นบทที่ดี ท้าทาย ผมตัดสินใจรับงานนี้เพราะเหตุผลนี้มากกว่า ผมดีใจคนเรียกผมไพรวัลย์เยอะมาก ผมไปเดินซื้อข้าว คนทักไพรวัลย์ขาไม่เป๋แล้วเหรอ (ยิ้ม)

เวลาคนเรียกชื่อตัวละครผม รู้สึกว่าเขาให้เกียรติมากๆ เขาจดจำผมในฐานะตัวละคร พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ บอกเวลาที่เราถ่ายละครแล้ว รับรองว่าคนดูจำได้อยู่แล้วแหละ

ระหว่าง บอม ธนิน ไปไหนเนี่ย กับ ไพรวัลย์ไปไหน มันมีความแตกต่างนะ บางคนจำได้ว่านี่คือบอม บางคนจำได้ว่านี่คือไพรวัลย์ในละครที่เข้าไปอยู่ในใจเขา

ทุกครั้งที่ผมเล่นละคร เวลาไปไหนทุกคนจะเรียกชื่อตัวละครผมหมดเลย ผมรู้สึกดีใจ และรู้สึกว่าได้รับเกียรตินั้นกับตัวผมมากๆ (ยิ้ม)”

บอม ธนิน ยังเล่าคำสอนของ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ที่เคยพูดสอนเอาไว้เมื่อครั้งที่ร่วมงานละครเรื่องแรกด้วยกัน ซึ่งคำสอนนี้ บอมไม่เคยลืม และลืมคำสอนนี้ไม่ได้ว่า

“พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ สอนผมเอาไว้ซึ่งผมไม่เคยลืม และลืมไม่ได้ คือเรื่องของการแสดง เมื่อไหร่ที่เราเข้าฉากแล้ว เล่นปุ๊บ แล้วมีความรู้สึกเดิมๆ นั่นคือเราไม่พัฒนา

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าซีนแล้วไปเจอสิ่งใหม่ๆ ไม่เคยเล่นแบบนี้ ไปค้นหาข้างหน้าเซต นั่นคือสิ่งที่พัฒนา และผมก็ดีใจว่าทุกวันที่ผมไปเล่นละคร ไปเข้าฉาก มันเป็นสิ่งใหม่ที่ผมไม่เคยเล่นเลย มันตื่นเต้น มันท้าทายเสมอ ถ้าคำพูดพี่อ๊อฟเป็นจริง เท่ากับผมพัฒนาทุกวันเลย (ยิ้ม)”

ประสบการณ์ชีวิตที่แสนมีค่า 

เรียกว่ากว่า บอม ธนิน จะมีวันนี้ ชีวิตผู้ชายคนนี้ผ่านอะไรมากพอสมควร ชีวิตสะบักสะบอมไม่น้อย ซึ่งบอมนั้นก็รู้สึกขอบคุณที่วงการบันเทิงนี้ได้ให้ประสบการณ์ชีวิตที่มีเงิน 100 ล้านก็ไม่สามารถหาซื้อมันได้ให้เราฟังว่า 

“ผมพูดตรงๆ ว่าเงินทองไม่ใช่เรื่องหลักของผม ผมไม่ได้มองชื่อเสียงว่าต้องโด่งดัง ต้องเป็นเบอร์หนึ่ง เวลาผมทำงานประสบการณ์คือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้

ผมมีเงิน 100 ล้านก็ซื้อประสบการณ์ชีวิตไม่ได้ เพราะประสบการณ์ชีวิตคือการผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยตัวเองจริงๆ และชีวิตผมก็ได้ผ่านเรื่องราวที่หนักสุดๆ มาแล้ว 

ประสบการณ์คือเรื่องของการผ่านจริง ต้องใช้เวลา นี่คือสิ่งที่มีค่ามาก และผมพยายามไม่ทิ้ง ผมพยายามเก็บมันเอาไว้ เวลาร่วมงานกับใคร ผมก็จะเก็บสิ่งที่มีค่าเหล่านั้น เพราะมันทำให้ผมโตขึ้น

แม่ผมพูดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไร เก็บประสบการณ์มานะลูก แรกๆ แม่พูดผมไม่เข้าใจนะ พอเวลาผ่านมาเรื่อยๆ ผมก็เข้าใจว่ามันดีจริงๆ เงินซื้อได้ทุกสิ่ง แต่เงินซื้อประสบการณ์ไม่ได้

พอประสบการณ์มันหนัก จะมีสักกี่คนที่จะเจอแบบผม แต่ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นบนโลก มันจะผ่านมา และหมดไป ผมผ่านตรงนั้นมาแล้ว ผมจำโมเมนต์ตอนนั้นได้ว่ามันแย่ พลังงานลบเยอะมาก มันเปลี่ยนผมไปเยอะมากเหมือนกัน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ความฝันของผมเปลี่ยนไป ฝันผมยังอยู่ คือการที่โตมาแล้วผมอยากเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เข้าใจเด็กๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ผมยังเป็นอยู่ ผมรู้ว่าเด็กๆ ชอบผู้ใหญ่ที่มีลักษณะแบบไหน ผมก็ยังเป็นแบบนั้น ผมดีใจที่เรื่องเลวร้ายที่ผมเจอไม่ได้พรากความฝันของผมทิ้งไป”

เกือบ 1 ชั่วโมงกับการพูดคุยกันอีกครั้งกับ บอม ธนิน ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ จะด้วยวัยวุฒิ หรือประสบการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้ชายคนนี้ก็ตาม มันหล่อหลอมให้เขาคนนี้มีความเข้มแข็ง แข็งแกร่งมากขึ้น

ทุกคนบนโลกนี้ย่อมล้วนแล้วแต่ต้องเจอกับปัญหา จะหนักมากน้อยก็แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราสู้ต่อไปก็คือกำลังใจ ใครที่กำลังท้อแท้ อ่อนแอ สิ้นหวัง และร้องไห้อยู่ อยากให้ลุกขึ้นมาสู้กับปัญหาอีกสักครั้ง อย่าวิ่งหนีมัน เพราะฟ้าที่สดใสกำลังรออยู่ เรามาสู้ต่อไปด้วยกันนะ 

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา
กราฟิก : sathit chuephanngam
ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2077038
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2077038