เจาะลึก เต ตะวัน หนุ่มขี้อายยืนหนึ่ง กับจุดเปลี่ยนที่ทำให้กล้าแสดงออก


ให้คะแนน


แชร์

พิธีกรรายการสด ความท้าทายด่านแรกของการทำงาน

“เริ่มต้นก็คือเข้ามาเป็นพิธีกรหน้าใหม่ใน ไฟว์ไลฟ์ รุ่นก่อนจะเป็นพี่โบ ธนากร, พี่หลุยส์ พงษ์พันธ์, พี่เต้ย ธโนทัย แล้วเราจะเข้ามาทำในเจเนอเรชั่นใหม่ใน Five Live Fresh (ไฟว์ไลฟ์ เฟรช) มีพิธีกร 6 คน เต, อ๊อฟ, กัน, นิว, หมอบอนด์, กิ๊กกี้ เป็นรุ่นเดียวกันเลย

คือมีพี่ที่แกรมมี่มาชวน เขาเห็นเราจากการทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย ตอนนั้นเป็นดรัมเมเยอร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขามาชวนไปออดิชั่นเป็นพิธีกร อันนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ทำงานในวงการบันเทิง เพราะก่อนหน้าเราก็จะมีแคสต์งานโฆษณาแบบเด็กวัยรุ่น แต่ก็ไม่ได้ เลยรู้สึกว่าเลิกดีกว่า ไม่เหมาะกับเรา

ที่ไม่ได้เพราะว่าเราเล่นไม่ได้ ไม่กล้าแสดงออก แต่ก็อยากหาเงินมาใช้ซื้อของเอง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ก็เลยเลิก ไม่อยากทำแล้ว รู้สึกว่าไม่เหมาะ แต่สุดท้ายก็มาได้ที่นี่เป็นงานแรก เพราะที่ผ่านมาเราแคสต์งานเป็นร้อยงานในเวลา 2-3 ปี

จนสุดท้ายมีคนมาชวนไปแคสต์งาน แต่เรารู้สึกไม่ตื่นเต้นแล้ว เพราะแคสต์แล้วไม่ได้ เสียทั้งค่ารถด้วย เพราะตอนนั้นบ้านไกล อยู่แถวราชพฤกษ์ แต่ก็ยอมไป เพราะใจหนึ่งเผื่อฟลุคได้ อีกอย่างก็อยากได้เงินมาซื้อของใช้จ่ายตามสไตล์เด็กวัยรุ่น ชอบเล่นกล้องด้วยก็อยากได้เงินมาซื้อกล้อง ก็ลองทำดู แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สักงาน เพราะเราทำไม่ได้ มันไม่ใช่แนว 

จนกระทั่งมาได้ ไฟว์ไลฟ์ เราก็งงว่าทำไมได้งานพิธีกรนี้ มันเป็นสิ่งที่เราไม่คาดคิดเลยนะว่าจะได้เลย เพราะตอนไปแคสต์ เราก็พูดไม่ค่อยได้ แต่ที่เขาแคสต์มา เขาอยากได้คนหลากหลายคาแรกเตอร์ เราก็เป็นหนึ่งแบบที่เขาอยากได้ เขาสนใจ ซึ่งพี่เขาก็เล่าให้ฟังทีหลังว่าเลือกเราเพราะอะไร เราก็เข้าใจขึ้นว่าในวงการมันเป็นอย่างนี้แหละ ว่าเขาต้องการคนหลากหลายแบบมาผสมกัน ถ้าพูดเก่งอย่างเดียวมันก็ไม่สนุก 

เป็นพิธีกรอยู่ประมาณ 1-2 ปีครับ จนกระทั่งช่อง แบง ชาแนล หยุดทำไปเพราะเคเบิลมันอิ่มตัว มันก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเนอะ ยูทูบเริ่มเข้ามา ค่ายทีวีก็เริ่มปรับตัว หันมาทำซีรีส์ ทำออนไลน์ ทำคอนเทนต์อื่นๆ ก็ปรับตัวไปตามยุคสมัย สมัยก่อน GMM ก็จะมีแต่พิธีกร มีแต่นักร้อง พอปรับตัวหันมาทำซีรีส์ พิธีกร นักร้อง ก็ต้องหันมาเป็นนักแสดง

ผมก็รู้สึกว่าต้องเริ่มใหม่อีกแล้ว เพราะตอนไปเป็นพิธีกร ผมก็ต้องเริ่มใหม่ ทั้งฝึกพูด ฝึกเป็นพิธีกร ทำไปได้ 2 ปีเริ่มรู้สึกพอเข้ารูปเข้ารอยแล้ว แต่ก็ต้องหยุดงานพิธีกรไป แล้วมาเริ่มงานแสดงใหม่ ผมเริ่มจากศูนย์เลย แสดงไม่เป็น เหมือนเอาพิธีกรที่ไม่มีพื้นฐานการแสดงมาแสดง ก็ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ การเป็นนักแสดงต้องทำยังไง ไม่เหมือนเด็กสมัยนี้ ที่เขาเข้ามาเขาอยากเป็นนักแสดงเลย 

พอเราเล่นซีรีส์ ก็มีแฟนคลับติดตาม แล้วต้องออกอีเวนต์ พอได้ออกอีเวนต์ก็ต้องมีร้องเพลง เราก็ต้องไปเรียนร้องเพลง แต่ผมว่ามันสนุกดี ตรงที่ได้ทำหลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัดเลยแต่แรก

สักพักพอเราเริ่มมีแฟนคลับเป็นกลุ่มเป็นก้อนแล้ว ก็ได้ทำคอนเสิร์ต เราก็ต้องเต้นอีก ก็ต้องมีไปเรียนเต้น เลยกลายเป็นว่าเราได้ทำทุกอย่างเลย ทั้งพิธีกร การแสดง ร้องเพลง และเต้น ซึ่งทางที่ผมเติบโตมากับอ๊อฟ หรือกับนิว เนี่ยก็จะไม่เหมือนกับน้องๆ เพราะเราได้ทำทุกอย่าง

ซึ่งน้องๆ ที่เข้ามาใหม่ เขาชัดเลยว่า คนนี้อยากจะมาเป็นนักร้อง คนนี้อยากจะมาเป็นนักแสดง แต่ของเรา เราอยู่กับค่ายมาตั้งแต่เป็นพิธีกร พอค่ายหันมาทำซีรีส์ เราก็ไปเล่นซีรีส์ เรียกว่าเราทำทุกอย่างมาด้วยกัน เราโตมาด้วยกัน

พวกผมรู้สึกว่าผูกพันกับค่ายนี้ เพราะเราเหมือนอยู่ในช่วงผลัดเปลี่ยนมาด้วยกัน เราก็เรียนรู้กันมา ทำให้เราสนิทกับพี่ๆ ที่เขาทำเบื้องหลัง เพราะเราอยู่ด้วยกันมานานประมาณ 8 ปีได้ครับ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราเก่งมากๆ ในด้านใดด้านหนึ่งเลย คือเรายังต้องเรียนรู้ตลอดเวลา อย่างกับน้องๆ บางคนที่เขาเข้ามาใหม่ เราก็ยังต้องเรียนรู้จากพวกเขาด้วยซ้ำ รู้สึกว่าชีวิตมันคือการเรียนรู้ เราก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ครับ”

“ตอนที่เล่นซีรีส์เรื่องแรก ยังไม่ได้ถึงขั้นต้องไปเรียนการแสดง เพราะมันยังอยู่ในช่วงลองทำดู เราก็ลองผิดลองถูกไปด้วยกันกับทางค่าย เพราะก็เป็นซีรีส์เรื่องแรกของค่ายเขาเหมือนกัน ตอนที่เล่นซีรีส์ครั้งแรกจำได้เลยว่าตื่นเต้นมาก มองกล้องไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่ากล้องไหนเป็นกล้องไหน (หัวเราะ)

ก็เหมือนกับงานพิธีกรครั้งแรก เราก็มองกล้องไม่ถูก เขาบอกให้มองกล้องที่มีไฟแดง เราก็มองไม่ถูก ไม่รู้เรื่อง ได้แต่มองหน้าพี่ก๊อตจิ (ก๊อตจิ เทยเที่ยวไทย) ตอนนั้นเขาเป็นโปรดิวเซอร์ ก็มองหาตัวช่วย จนพี่เขาบอกว่าอย่ามองๆ ให้มองกล้อง เพราะเหมือนเวลาเราลน เราก็จะหาคอมฟอร์ตโซนของเราแล้ว 

โชคดีที่ว่า ครั้งแรกที่เราทำพิธีกร เราได้ฝึกกับรายการสด ซึ่งมันยากมากกว่ารายการปัจจุบัน ปัจจุบันผมทำรายการรถโรงเรียน มันยังคัตได้ ตัดต่อได้ แต่คือสมัยก่อนผมเริ่มต้นจากรายการสด ทุกอย่างมันต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ พูดผิดจะต้องทำยังไงให้ถูก ก็ดีนะที่ผมเริ่มจากสิ่งที่ยากมาสิ่งที่ง่าย 

อีกอย่างเราได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยยอมทำเลย เช่น เรื่องการร้องเพลง ผมเป็นคนไม่ยอมร้องเพลงตั้งแต่เด็ก เพราะไม่ชอบเสียงตัวเอง อายเสียงตัวเอง พี่สาวชอบร้องคาราโอเกะ เวลาเขายื่นไมค์มาผมก็จะหนี เป็นคนกลัวไมค์ อย่างไปกับเพื่อน เวลาเพื่อนไปร้องคาราโอเกะ เราก็จะขอไม่ไป ไม่ชอบ ไม่เอา เราก็สงสัยว่าเขาสนุกอะไรกัน เพราะเราไม่ชอบร้องเพลง

ยิ่งเต้นนี้ยิ่งกลัวเลย ไม่ยอมทำเลย ตอนนี้ก็ต้องยอมทำ คือทำให้คนดู เป็นสิ่งที่หนักมาก เพราะเราไม่ได้มั่นใจไง เรารู้สึกว่าเราต้องฝึกมากกว่าคนอื่น ตอนนี้ก็เริ่มชินขึ้น แต่ไม่ถึงกับถนัด ผมว่าก็ดีเหมือนกัน การทำงานของผมมันมีความตื่นเต้น การเต้นก็ทำให้เราอยากเรียนรู้ อยากเรียนเพิ่ม และก็เพิ่งเรียนร้องเพลงออนไลน์เพิ่มไป”

จากพิธีกรรายการวัยรุ่นสู่นักแสดง จนกระทั่งมีชื่อเสียง

“ซีรีส์เรื่องแรกที่เล่นคือ Room Alone ตอนนั้นเป็นตัวเสริมก่อน เพราะเราก็ไม่ได้เก่งเรื่องการแสดง ตอนนั้นนักแสดงคือ บ้าน ฆนัท และ มุก วรนิษฐ์ เป็นคู่หลัก ผมก็จะเป็นคนที่เข้าไปจีบน้องมุกในเรื่อง จนกระทั่งได้เป็นตัวเอกเรื่องแรกคือเรื่อง Secret Seven เธอคนเหงากับเขาทั้งเจ็ด ผมก็จะเป็น 1 ใน 7 คนที่เข้าไปจีบ ปันปัน สุทัตตา ในเรื่อง แต่ละคนก็จะมีตอนเด่น นี่เป็นเรื่องแรกที่ได้รับบทเด่นขึ้น”

“ซีรีส์วายที่ผมเล่นก็คือเรื่อง Kiss: The Series รักต้องจูบ แต่มันก็ไม่เชิงเป็นวาย มันคือซีรีส์ทั่วไป แต่มันมีคู่หนึ่งในนั้นเป็นคู่ชาย-ชาย มันไม่ได้มีเส้นเรื่องของตัวเอง แต่มันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คู่พระนางเกิดปัญหา จนกระทั่งเขาหยิบยกเอาเรื่องของผมกับนิว มาสร้างเป็นเส้นเรื่องของตัวเองคือเรื่อง Kiss Me Again จูบให้ได้ถ้านายแน่จริง”

“ถามว่า พอมีชื่อเสียงขึ้น เป็นที่รู้จักมากขึ้น ชีวิตเปลี่ยนไปยังไงเหรอ ผมว่า ผมไม่ค่อยได้รู้สึกว่าเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ค่อยๆ ปรับตัว มันไม่ได้มีการช็อกเกิดขึ้น ของผมมันค่อยเป็นค่อยไป ปรับตัวได้ วางตัวถูก ตอนแรกเลยผมคิดแค่ว่าเราทำงาน ไฟว์ไลฟ์ จบ แล้วก็จะไปทำงานประจำ คิดแค่นั้นเอง ไม่เคยคิดว่าจะทำยาวขนาดนี้จนกระทั่ง 8 ปีแล้วครับ”

“ผมว่างานตรงนี้มันเป็นจุดที่กำลังดี กำลังไปได้สวยเหมือนกัน แต่ก็เป็นจุดที่เราต้องหาอะไรที่รับรองชีวิตเราตรงนี้ด้วย เพราะเราก็โตแล้ว ก็อยากทำอะไรที่เป็นของตัวเอง ผมว่ากำไรที่ผมมาทำในตรงนี้คือเราได้เจอคนเยอะ ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย

ถ้าเทียบกับเพื่อนผมที่เขาทำงานออฟฟิศ คือเราเคยคุยกัน เพื่อนเขาก็จะเจอแต่สายอาชีพของเขา แล้วเขาก็จะขลุกอยู่กับตรงนั้นซะส่วนใหญ่ แต่เราค่อนข้างตามโลกอยู่ตลอด ได้เจอคนหลายรูปแบบมาก เพราะคนที่เป็นนักแสดง เขาก็ไม่ได้ทำอาชีพนี้อย่างเดียว

บางคนก็เป็นหมอ เป็นสถาปนิก เป็นทนาย มาเป็นนักแสดง เราก็จะได้รู้จักกับคนหลากหลาย ได้เจอคนเยอะ รู้สึกเป็นความโชคดีด้วย เราอาจจะไม่ได้ลงลึก แต่เราค่อนข้างกว้าง ถ้าเราสนใจด้านไหน เราก็จะไปลงลึกด้านนั้น มีคอนเน็กชั่นกันไป”

ทุกวันนี้พ่อแม่ยังไม่เชื่อเลยว่า เต จะมาเป็นดารา เพราะตอนเด็ก ขี้อายมาก  

“เรียกว่าจับพลัดจับผลูมากกว่า อย่างที่บอก พอได้โอกาสเข้ามาทำงานใน ไฟว์ไลฟ์ ตอนแรกกะว่าพอเรียนจบก็จะออกมาด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายมันก็ยาวจนตอนนี้”

เมื่อถามว่า ที่บ้านว่ายังไงบ้าง ที่ เต เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง เจ้าตัวหัวเราะ และบอกว่า “เขารู้ตัวอีกที ผมก็มาอยู่ในตรงนี้แล้ว (ยิ้ม) เพราะผมไม่เคยบอก ตอนที่ผมแคสต์พิธีกร ไฟว์ไลฟ์ ติด ผมก็ไม่ได้บอก และเขาก็คงไม่ได้คิดว่าผมจะมาทำเหมือนกัน

เพราะว่าตอนผมเด็กๆ เวลาครูให้ทำอะไร ให้ขึ้นไปแสดงในงานโรงเรียน เราก็จะบอกพ่อแม่ให้บอกครูหน่อยว่า ไม่เอา ไม่ทำ พ่อแม่ก็จะรู้ อย่างเวลาเข้าค่าย เวลาทำกิจกรรมอะไรก็จะรู้สึกเครียด ไม่เอา ไม่ชอบ เป็นคนเก็บตัวมาก ทุกครั้งที่ไปก็จะเครียดมาก

เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในจุดสนใจ ถ้าสมมติต้องให้ออกมาพูดก็จะไม่ชอบแล้ว พ่อแม่เขาก็จะรู้ตรงนี้ แล้วพอเราไปทำพิธีกรตรงนั้น เขาก็จะงงๆ หน่อย ตอนนั้นเขาก็จะเริ่มรู้แล้ว เพราะว่าเราเรียนไปด้วย เลิกเรียนก็ไปถ่ายรายการ เสร็จก็กลับบ้าน ค่อนข้างใช้ชีวิตแบบพ่อแม่ค่อนข้างปล่อยด้วย แต่เขาก็จะค่อยๆ รู้เองจากมีคนอื่นมาบอก และเขาก็ไม่เคยพูดด้วย เราก็ไม่พูด (หัวเราะ) เราไม่เคยมานั่งคุยกันแบบจริงจัง

ทุกวันนี้เขาก็คิดว่าเราเป็นดาราไปแล้ว เขาก็โอเค ข้อดีคือเขาปล่อยให้เราตัดสินใจเอง เขารู้ว่าเราคิดดีแล้วว่าเราจะทำอะไร เลือกอะไร อีกอย่างที่ผมไม่ได้บอก เพราะว่าผมโตมากับปู่ย่า ค่อนข้างมีความเป็นนักวิชาการ ผมเลยไม่ค่อยอยากบอกว่ามาเป็นนักแสดง เพราะเขาก็ไม่อิน เราก็เลยไม่บอกดีกว่า ก็ทำงานของเรา 

ผมนี่ฉีกออกไปเลย ปู่ผมเป็นนักฟิสิกส์ แต่เขาก็ไม่ทันได้รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นนักแสดง เพราะเขาเป็นอัลไซเมอร์ก่อน แต่ปู่เขาจะเคร่งมาก เขาอยากให้ลูกหลานเป็นนักวิชาการเหมือนเขา เด็กๆ ปู่เขาจะเป็นคนสอนหนังสือผมตลอด 

ผมเป็นลูกคนกลางครับ มีน้องชายกับพี่สาว ผมเติบโตมากับปู่ย่าเลี้ยงมากกว่า พ่อแม่เขาจะทำงาน เลยจะไม่ได้เข้มงวดทุกเรื่อง เขารู้ว่าเราไม่นอกลู่นอกทางอยู่แล้ว เขาจะคอยช่วยในสิ่งที่เขาช่วยได้อยู่ อย่างก่อนสอบผมจะให้เขาช่วยติวหนังสือให้ อย่างเคมี ฟิสิกส์ ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็จะมาหาปู่ให้เขาช่วยติวให้ ทำข้อสอบให้ ส่วนย่าก็จะชอบให้อ่านหนังสือนอกเวลา เพราะเขาเป็นนักเขียน 

แต่พอโตมาเรา 3 พี่น้องก็ไม่ได้มีใครทำงานด้านวิชาการนะ (หัวเราะ) พี่สาวไปสายแฟชั่น น้องชายก็จะอีกแบบหนึ่ง ตอนนี้คุณปู่เสียแล้ว เหลือแต่ย่า ตอนแรกย่าจะงงว่าเรามาเป็นนักแสดงได้ยังไง แต่มาตอนนี้เขาก็จะเปิดช่อง 25 รอแล้ว (ยิ้ม) จนกระทั่งรู้จักเพื่อนหลานแล้ว (หัวเราะ) คือย่าเขาเป็นคนปรับตัว เขาจะชอบคุยกับ กัน (กัน อรรถพันธ์) เขาบอกว่าน่ารัก สมสมัย”

แฟนคลับเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่อยู่ด้วยกัน โตมาด้วยกันจนทุกวันนี้

“ปีนี้นะครับ ผมจะมีรายการใหม่ชื่อ กระหายเล่า แล้วก็ยังมีรายการ รถโรงเรียน School Rangers แล้วก็จะมีซีรีส์เรื่อง The Player รัก เป็น เล่น ตาย เล่นเป็นตำรวจ แต่ยังไม่เปิดกล้อง และล่าสุดรับเชิญในซีรีส์เรื่อง สาวออฟฟิศ 2000 ปี ก็เล่นเป็นตำรวจเช่นกัน”

“ขอบคุณมากๆ นะครับแฟนๆ ที่สนับสนุนมาตลอด ซึ่งถ้านับจริงๆ ผมก็อยู่มานานแล้ว เห็นบางคนอยู่กับผมมาตั้งแต่แรกๆ จนรู้สึกว่าเขาเป็นหนึ่งในครอบครัวของเราไปแล้ว ที่รู้สึกว่าเป็นครอบครัวก็เพราะว่าเขาดูแลเราเท่าที่จะดูแลเราได้ เขาเห็นเราทำงานหนัก ก็มารอหน้าตึก ซื้อของมาให้ อันนี้รวมไปถึงคนที่เพิ่งรู้จักด้วยนะ เขาก็จะสนับสนุนเรา เขารู้หมดว่าเราชอบกินอะไร โดยที่เราไม่เคยบอกนะ เขาจะรู้กันเอง

เหมือนผมเจอพวกเขาอยู่ในชีวิตอยู่เรื่อยๆ อย่างเวลาเดินเข้าตึกก็จะเจอเขาหน้าตึกแล้ว ถ้าไม่เจอหน้าตึก เวลาเดินเข้าตึกก็จะเจอพวกเขาแล้ว อย่างในอินสตาแกรมเวลาเราเลื่อนๆ ดูก็จะเจอเขา เราจำเขาได้ เหมือนพวกเขาเป็นเพื่อนที่รู้จักมานาน เรามีความห่วงใยให้กัน เขาต้องการกำลังใจเราก็ให้ เราต้องการกำลังใจเขาก็ให้ เหมือนเราเป็นกำลังใจให้กัน ช่วยเหลือกัน 

เวลาน้องๆ จะสอบ ต้องการกำลังใจ เขามาถามผม ผมก็จะให้กำลังใจไป คือเราพิมพ์ง่ายๆ ไปไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ว่าสิ่งที่เขาได้ไปมันมากกว่าเยอะ เรารู้ เพราะเวลาเราทำงานอะไรสักงานออกมา แล้วเขามาพิมพ์คอยซัพพอร์ตเรา เราเห็นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา มีคนคอยให้กำลังใจเรา”.

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

กราฟิก : Sathit Chuephanngam

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2083425
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2083425