พระเอกคิวต์บอย "อิน สาริน" ถ้าอยากสบายก็ต้องหาเงินให้เก่ง


ให้คะแนน


แชร์

เริ่มจากการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงแรกๆ อิน เล่าให้เราฟังว่า “ตอนเราเรียนมหาวิทยาลัยก็จะมีคนมาทาบทามเป็นระยะๆ ในตอนนั้น แต่เรายังไม่สนใจเพราะเราเรียนสถาปัตย์ ตอนนั้นเรียนหนักมาก พอเราจะเรียนจบปี 4 ก็เริ่มรู้สึกว่าจะเป็นโค้งสุดท้ายรึเปล่า ถ้าเราไม่คว้าโอกาสที่จะเข้ามาตอนนั้น เราเรียนจบแล้วเราก็ทำงานด้านสถาปัตย์ก็จะไม่มีโอกาสได้ลองทำงานพวกนี้ ก็เลยตัดสินใจเลือกชอยส์

ซึ่งตอนนั้นตอนปี 4 ใกล้จะจบมันมีเทศกาลงานบอลจุฬา-ธรรมศาสตร์ แล้วเราก็มีโอกาสได้ไปเชิญบอล น่าจะมีโอกาสให้หลายๆ ช่องได้ติดต่อมา แล้วหนึ่งในช่องที่เราคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก และเราก็อยากจะมาทำก็คือ ช่อง 3 เลยตัดสินใจเดินเข้ามาแคสต์เลยครับ

ซึ่งตอนนั้นเขาเปิดโปรเจคลูกผู้ชายอยู่ เลขาของพี่สมรักษ์ (สมรักษ์ ณรงค์วิชัย) เขาติดต่อให้เราเข้ามาแคสต์ครับ ใช้เวลาแคสต์ 6 เดือนครับ นานมาก”

“เรื่องแรกที่ได้เล่นก็คือ ซีรีส์ลูกผู้ชาย เรื่อง ภูผา โชคดีว่าพอเราถ่าย ภูผา จบไปมันยังไม่ได้ออนทันที แต่ว่าเราไปถ่ายทำ ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง ด้วย พอละครมาออนพร้อม 2 เรื่อง คือมีทั้งกำลังออนแอร์ กำลังรีรัน เลยกลายเป็นว่าเราได้อยู่บนจอนานมาก ก็เลยเป็นที่รู้จักตั้งแต่นั้นมา”

เพราะคำว่ากลัว ทำให้เข้าวงการบันเทิงช้า

“ตอนที่เป็นหนุ่มจุฬาคิวต์บอยตอนนั้นรู้สึกป๊อบ (หัวเราะ) รู้สึกได้เลยว่าเราเป็นจุดสนใจจริงๆ พอเราเดินไปทานข้าวที่คณะอักษรฯ ก็รู้เลยว่ามีคนมอง ก็คิดในใจว่า ป๊อบว่ะ (หัวเราะ) ตอนนั้นป๊อบกว่านี้อีก 

ถามว่าความเป็นส่วนตัวหายไปมั้ย ก็หายไปหน่อยนึงครับ แต่คือเราจะชินกับตรงนี้หน่อยนึงแล้ว คือถ้าย้อนไปตอนที่เรียนมัธยม มันจะมีจตุรมิตรคิวต์บอย ก็คือคล้ายๆ กับเพจจุฬาคิวต์บอย คนก็จะรู้จักเราเยอะ เวลาเราไปเดินสยาม คนก็จะมาขอถ่ายรูปเราอยู่แล้ว

แต่พอเราเข้ามามหาวิทยาลัย ก็เหมือนโตในโลกออนไลน์ อารมณ์ประมาณเน็ตไอดอลยุคแรกๆ ของออนไลน์ ทีนี้พอเราเดินไปไหนมาไหนคนก็ค่อนข้างรู้จักเราเยอะ กระแสตอนนั้น เราก็เลยรู้สึกเฉยๆ มากกว่า เพราะเราโตมาในกระแสตอนนั้น ไม่ได้แบบว่าดังวันนี้ พรุ่งนี้เลย”

“ตอนนี้ผม 26 แล้วครับ ผมว่าผมเข้าวงการช้ากว่าคนอื่นนะครับ คือเราอยู่ในโลกของอินฟลูเอนเซอร์น่าจะ 10 ปีได้แล้ว แต่ว่าถ้าถามเรื่องเข้าวงการ อิน เพิ่งมาเข้าวงการตอนจบปี 4 เองครับ เข้ามาได้ประมาณ 3-4 ปีเองครับ

“ถามว่าทำไมไม่เข้ามาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว อินไม่กล้าครับ ด้วยความที่เรายังเป็นเด็ก ไม่ได้รู้สึกขี้อายหรืออะไรเลยนะตอนนั้น แค่รู้สึกว่าการเป็นเด็กดาราหรืออาชีพนักแสดงมันยากมาก คือ อิน ในวันนั้นพูดง่ายๆ ตอนที่เราอยู่ ม.4 ละครที่ดังในตอนนั้นคือ คุณชายจุฑาเทพ ซึ่งเราจะมองทุกคนแบบดารามันทาเลนต์มากๆ เลยอ่ะ 

อย่างพี่เจมส์ จิรายุ เล่นละครก็ดี ร้องเพลงได้ ออกอีเวนต์ได้ ขึ้นเวทีได้ ซึ่งเราในวันนั้นเราทำอย่างนี้ไม่เป็นเลย เราก็มองว่าเราน่าจะทำอย่างนี้ไม่ได้ มันยาก ก็เลยปิดตัวเอง โอเคอะไรที่เข้ามา เราก็ไม่ได้ดีลต่อ

พอจบปี 4 เราก็เลยคิดว่าลองสักครั้งดู เพราะถ้าเกิดพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ก็จะพลาดยาวเลย อยากจะคว้าโอกาสแล้วลองสักครั้งหนึ่ง”

“พอมาตอนนี้สำเร็จผ่านมาได้อีกขั้น รู้สึกว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่ท้าทายครับ คือตั้งแต่มาเป็นอาชีพนักแสดง รู้สึกเราต้องเป็นคนที่ตื่นตัวตลอดเวลา เพราะวงการนี้มันไวมากจริงๆ 

เราเข้ามา 2-3 ปี เราว่าเราเด็กแล้วนะ ก็จะมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่เก่งกว่า และชาเลนจ์ได้มากกว่า เค้าทำอะไรได้มากกว่าเรา เราก็เลยต้องตื่นตัวหาจุดยืนของเรา หาเอกลักษณ์ของเรา ให้เรายังอยู่ได้ครับผม”

หาเงินให้เก่งเหมือนใช้เงิน ถ้าอยากสบาย

“ถามว่าที่บ้านสอนยังไงเหรอ คือจริงๆ มันเป็น 2 มุมครับ มุมหนึ่งด้วยความที่พ่อกับแม่จะสอนเรา จะว่าโหดก็อาจจะโหดนิดๆ คือตั้งแต่จบ ม.6 แล้วเข้ามหาวิทยาลัย อิน จะไม่ได้เงินเดือนแล้ว จะได้แค่เฉพาะค่าเทอมกับค่าน้ำมัน เขาตัดเงินเดือนเราเร็วมาก

ตั้งแต่เรายังเรียนปี 2 ปี 3 ในขณะที่คนอื่นยังได้เงินเดือนอยู่ ให้เราหาเงินเองตั้งแต่ตอนนั้น แต่เราโชคดีที่เรายังมีพี่สาวที่เขาทำงานแล้ว ปรึกษาได้ค่อนข้างเยอะ บางทีก็ได้เงินจากการทำโปรเจคด้วยกัน ก็เอามาแบ่งกันใช้ ก็เลยกลายเป็นคนชอบหาเงินมากๆ 

อีกแง่มุมหนึ่งที่เพิ่งมาค้นพบตัวเองหลังจากที่ทุกคนถามเยอะมาก กับคำถามที่ว่าทำไมต้องทำงานเยอะขนาดนี้ อิน ค้นพบว่าจริงๆ อิน โตมาในขณะที่ทุกคนอาจจะสบายๆ บ้านอินที่โตมา ก็อาจจะแบบวันนี้มีมูฟวี่กันมั้ย วันนี้ไปดินเนอร์กันมั้ย วันนี้ไปเที่ยวกันมั้ย คือมันอบอุ่นครับ

ด้วยความที่พ่อแม่ทำงานอสังหาริมทรัพย์ด้วย ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ จะอยู่บ้านทุกวันตลอดเวลา เขาจะสบายๆ พอเราเห็นเขาสบายๆ ไม่ต้องทำงานตลอดเวลา เราก็อยากจะทำงานแบบเขา เพื่อที่เราจะได้สบายตอนแก่ก็ได้”

พ่อแม่ไม่เคยสอนให้ประหยัด แต่สอนให้ใช้เงินเป็น

“อินเป็นลูกคนกลาง มีพี่สาวและน้องสาวครับ คือคุณพ่อเป็นคนจีน 100% แต่จะไม่ได้สอนแบบคนจีนเท่าไหร่ พูดตรงๆ แทบจะไม่มีสอนให้ประหยัดจากพ่อแม่เลย แต่เขาสอนให้ใช้เงินให้เป็น ใช้ให้เก่ง แล้วหาเงินให้เก่งแทน

ตอนเด็กๆ แม่จะสอนให้เรากินให้ดีที่สุด กินไข่ปลาคาเวียร์ทุกมื้อ ให้กินอาหารโรงแรมทุกมื้อ แล้วบอกว่าถ้ารักสบายแบบนี้ ให้ขยันออกไปหาเงินให้ได้เท่านี้ เราก็รู้สึกว่าเรารักมันและชอบชีวิตแบบนี้ เราก็ต้องทำงานหาเงินให้เรามีเงินได้แบบนี้ครับ”

“ตอนปี 2 ปี 3 มีไปแคสต์โฆษณานิดหน่อยครับ เป็นเหมือนของเป๊บซี่ญี่ปุ่น ก็ได้เงิน 2-3 หมื่นบาท แล้วพอตอนนั้นเห็นพวกเครื่องประดับกำลังมา ก็เลยทำกำไรกับพี่สาวขาย ที่ขายจนตอนนี้อ่ะครับ ปรากฏว่าตอนนั้นมันบูมมาก

เรายังไม่มีโรงงานทำ ก็นั่งร้อยกับพี่สาว และแม่บ้านอีก 2 คนที่บ้าน นั่งร้อยวันละ 10-20 เส้น ก็ขายจนได้เงินก้อนมาต่อยอดธุรกิจ แล้วก็ไปเป็นดีเจอยู่ที่ GET 102.5 แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ก็ได้ชั่วโมงละ 700 บาทครับ”

“คนอาจจะมองว่าเราขี้งก (หัวเราะ) แต่ผมไม่ได้ขี้งก เราชอบทำงาน ใช้เงินเป็น สปอร์ตบางเรื่อง และขี้งกบางเรื่องก็มีครับ คือเราจะสปอร์ตกับเรื่องกิน เรื่องเที่ยว อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเพื่อน กับคนที่เราทำงานด้วย เราค่อนข้างใจดี แต่ว่าเราจะขี้งกกับพวกค่าจอดรถที่เราจะไม่ยอมเสียเด็ดขาด หรือว่าถ้าเราไปซื้ออะไรสักอย่าง เราก็จะขอของแถมเยอะๆ (หัวเราะ)”

ช่วงโควิดทำยอดขายร้านเค้กโตขึ้น 9 เท่า

“อินชอบทำงานครับ ช่วงนี้กำลังทำร้านเค้ก ออนไลน์กำลังมาแรง กำลังวุ่นกับร้านเค้กครับ ทั้งหมดทั้งมวล อิน เป็นคนชอบทำธุรกิจมาก อินค่อนข้างชอบมองตลาด ชอบหาอะไรที่เรารู้ว่าขายยังไง ขายให้ใคร ชอบมองว่าปีนี้เทรนด์อันไหนมาแรง เราก็จะกระโดดไปทำกับเขา ถ้าเปรียบเหมือนก้อนเค้ก เขากำลังรุมกิน อินก็จะไปกินกับเขา เพราะถ้าเกิดมันใหญ่พอ เราก็จะได้ส่วนแบ่งกับเขาเยอะมาก”

“อินเลือกเรียนสถาปัตย์เองด้วยครับ ตอนเด็กๆ ชอบวาดรูปมากๆ ป๊าน่าจะปลูกฝังมาก เขาชอบส่งไปประกวด ก็ได้รางวัลชมเชยกลับมา เลยเลือกเรียนสถาปัตย์เพราะชอบบ้าน ชอบออกแบบบ้าน ซึ่งก็เข้าทางคุณพ่อเลย เพราะเขาทำงานด้านนี้ เขาน่าจะวางแผนมาตั้งแต่เด็ก ให้เราเรียนด้านนี้ ผมก็เลยโอเค”

“พอเราโตขึ้นมาเราก็ชอบทำธุรกิจมากกว่า แต่สิ่งที่ได้จากสถาปัตยกรรมก็คือความขยัน การจัดระเบียบวินัยในชีวิต เพราะไม่งั้นไม่สามารถทำงานส่งอาจารย์ทันแน่นอน อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของรสนิยม ทำให้เรามีรสนิยมดี เราก็ได้มาจากสถาปัตย์นี้แหล่ะ รู้ว่าเทรนด์อันไหนกำลังมาแรง”

“ถามว่าหนื่อยมั้ย เหนื่อยครับ ยิ่งโควิดยิ่งยุ่งมาก เราเป็นออนไลน์ใช่มั้ยครับ เราก็ค่อนข้างสวนทางกับคนส่วนใหญ่ อย่างคนอื่นจะได้พัก แต่ของอินจะยุ่งทุกวัน คนอื่นอาจจะยอดตก แต่ของอินยอดโต 9 เท่า กลายเป็นว่ารับโทรศัพท์ตลอดเวลา ซึ่งเราก็ต้องพยายามขยายทุกอย่างให้กับคนที่เข้ามาในแพลตฟอร์มของเราให้ได้ โดยที่ยังรักษามาตรฐานของเราอยู่

คือเรามีพนักงาน 10 กว่าคน แต่อินต้องทำทุกตำแหน่ง ไปสอนตั้งแต่แอดมิน กราฟิก แม่ครัว ผู้ช่วยยันคนล้างจาน เราทำทุกอย่างเพื่อให้รักษามาตรฐานตรงนี้ได้ ทำยังไงก็ได้ให้คนที่ทักเข้ามาในไลน์ ได้รับมาตรฐานการบริการเหมือนเดินมาที่หน้าร้าน”

“งานละครช่วงนี้หยุดไปก่อนครับ คุณหมีปาฏิหารย์ รอโควิดหมดแล้วค่อยกลับมาขาย แต่โชคดีว่าก่อนโควิดจะมาอีกรอบ เราเร่งถ่ายเก็บไว้ก็ได้เกิน 70% แล้วครับ น่าจะได้ออนแอร์ปีนี้ครับ แต่ก็ต้องรอลุ้นโควิดอีกทีว่า ถ้ามันไม่ยืดมาก อีกภายใน 1-2 เดือน เราก็สามารถกลับไปถ่ายต่อได้ แต่ถ้าเกิดมันยังยืดอยู่ เราก็ต้องไปออนแอร์ปีหน้า

คือตอนนี้เราหยุดแค่งานละครครับ แต่งานอื่นยังมีเข้ามา สินค้าต่างๆ ก็ยังมีเรื่อยๆ เลยครับ งานพรีเซนเตอร์ก็ยังมี คือเราเก็งไว้ก่อนแล้วว่าละครจะออนเมื่อไหร่ เราก็รีบขายไว้ก่อนเลยครับ”

วางแผนการใช้เงินแบบเงินต่อเงิน

“ในมุมของผมนะครับ อิน จะพยายามหาเงินให้ได้เงินมา แต่เงินที่อยู่ในกระเป๋า อิน ไม่เคยเอาไว้ในธนาคารเลย ถ้าไว้ในธนาคารก็จะประมาณ 300 บาท 500 บาท ซึ่งไม่ดีนะ แต่เงินที่เหลือ อิน จะเอาเงินไปต่อเงิน 

คือ อิน พยายามหาเงินให้ได้ก้อนใหญ่ แล้วเอาเงินก้อนใหญ่นั้นให้เงินมันทำเงินต่อ หมายความว่านอกจากเราทำงานหาเงินแล้ว เงินก็ต้องเอาไปต่อยอดให้ได้เงินเพิ่มด้วยครับ

เราก็มาแจกแจงเลยว่าเรารับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน อิน ก็มีลงหุ้น ลงทองด้วย อินลงหลายที่เลย แล้วก็เฉลี่ยเลยว่ากี่เปอร์เซ็นที่เราจะได้เงินกลับมา อินก็รู้ว่าเรารับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน เราก็ไปกระจายกับมันได้ครับ”

“คือที่ อิน รู้เพราเราจะคุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เรียนสูงๆ เยอะ เราเรียนจบแค่ ป.ตรี ไม่ได้ไปต่อเมืองนอกแบบเขา ก็จะอาศัยการคุย คำแนะนำจากเขาเอา พอจะรู้เทคนิคเราก็ดึงเอามาใช้”

“ถามว่าตั้งเป้าในอนาคตยังไงเหรอ คือเมื่อก่อนก็ตั้งไกลครับ ตอนนี้ก็ยังไกล (หัวเราะ) คืออย่างร้านขนมก็จะพยายามรักษายอดให้ได้สูงใน 3 ปี แล้วเราจะเอาเข้าตลาดหุ้น ซึ่งตอนนี้ อิน รู้ว่าศักยภาพตัวเองไม่ไหว ก็ไปร่วมทำกับเพื่อนอีก 2 คนแล้ว ที่เก่งกันคนละอย่าง คล้ายกับซีรีส์เกาหลีเรื่อง อิแทวอน เลยครับ เราก็อยากได้ประมาณนั้นเลย”

ไม่ใช่คนเก่ง แต่เป็นคนแอคทีฟตลอดเวลา

“ธุรกิจโฮสเทลเหรอ ตอนนี้เปลี่ยนแล้วครับ ธุรกิจที่เราจะทำก็จะคล้ายๆ คอมมูนิตี้ หรือคลัสเตอร์ที่รวมร้านชิคๆ อยู่ด้วยกัน คาเฟ่ของเราก็อยู่ที่นั่นครับ อยู่แถวเจริญนครซอย 10 ตรงข้ามไอคอนสยาม เพียงแต่ว่าช่วงนี้ติดโควิด ก็ยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ 

คือจริงๆ ทำแค่คาเฟ่ มันเป็นโรงเรียนเก่า เราก็เปลี่ยนมาทำคาเฟ่ เป็นร้านขนม แล้วเพื่อนๆ เห็น เขาก็ชอบ อยากมาทำด้วย อยากเปิดร้านอาหาร ร้านทำผม คือทุกร้านจะแต่งในสไตล์ของตัวเอง อันนี้เป็นโปรเจคที่เราอยากจะทำ อิน กำลังวิ่งขาย วิ่งหาลูกบ้านอยู่ครับ ถ้าครบเมื่อไหร่ก็พร้อมสร้างครับ”

“ทุกคนอาจจะมองว่า อิน เก่ง แต่อินเป็นคนที่แอคทีฟตลอดเวลา คืออย่างเวลานอน อิน จะนอนเท้าเกร็ง พอตื่นมาก็จะปวดครึ่งล่างมาก เป็นคนไม่เชิงว่าเครียด แต่จะเป็นคนคิดตลอดเวลา เราก็ต้องรู้จักผ่อนคลายและสบายๆ มากขึ้น”.

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2104441
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2104441