ดูอะไรกันดีใน Disney+ Hotstar จากซีรีส์บ้าพลัง ถึงหนังหว่องกาไว
The Bold, The Corrupt, and the Beautiful (2017) หนังแนวลึกลับ/อาชญากรรมที่เล่าเรื่องของคุณนายหัวหน้าครอบครัวที่พยายามรักษาผลประโยชน์จากธุรกิจค้าของเก่า เมื่อครอบครัวมิตรสหายใกล้ชิดของเธอถูกฆาตกรรม ส่งผลให้การคอร์รัปชัน เกมแย่งชิงอำนาจ และความลับอันดำมืดที่เคยซ่อนอยู่ใต้พรม ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน นี่คือหนังสะท้อนสังคมที่คอหนังไม่ควรพลาด
The Silent Forest
และ The Silent Forest (2020) หนังแนวทริลเลอร์จิตวิทยาที่กะเทาะปัญหาสังคม สร้างจากเหตุการณ์จริงสุดอื้อฉาวอย่างการล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียนคนหูหนวก โดยหนังเล่าเรื่องราวของเด็กใหม่ในโรงเรียนสอนคนหูหนวกที่พบว่าภายในโรงเรียนนั้นมีวัฒนธรรมความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศแอบแฝงอยู่ ตัวเอกได้ต่อสู้กับเรื่องดังกล่าว และพยายามบอกให้คนนอกได้รู้ หนังรักษาบรรยากาศตึงเครียดกดดัน รวมถึงสะท้อนประเด็นความรุนแรงในโรงเรียนออกมาได้เป็นอย่างดี
Youth
หนังกลุ่มต่อมาได้แก่หนังจีนแผ่นดินใหญ่สะท้อนประวัติศาสตร์ ซึ่งมีหนังสองเรื่องที่น่าสนใจดังนี้ เรื่องแรกคือ Youth (2017) ของผู้กำกับ เฝิงเสี่ยวกัง (I Am Not Madame Bovary, Aftershock) ที่พูดถึงหนุ่มสาวในกลุ่มนาฏศิลป์ของกองทัพของจีนยุค 70 เมื่อประธาน เหมาเจ๋อตุง เสียชีวิตและยุคปฏิวัติวัฒนธรรมได้สิ้นสุดลง ชีวิตของพวกเขาก็ได้ผันผวนไปตามความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ความโดดเด่นของหนังอยู่ที่การถ่ายทอดให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของคนตัวเล็กตัวน้อยที่ซ้อนทับไปกับชะตากรรมของประเทศ
The Golden Era
ส่วนหนังเรื่องที่สองคือ The Golden Era (2014) ของผู้กำกับ แอนน์ ฮุย (A Simple Life) ที่สร้างจากชีวิตจริงของ เซียวหง นักเขียนหญิงหัวก้าวหน้าซึ่งมีผลงานโดดเด่นในยุค 1930 เธอมีความฝันในการมีชีวิตอย่างสงบเพื่อเขียนวรรณกรรมชิ้นเอก แต่ชีวิตของเธอก็พลิกผันไปอย่างไม่คาดคิด ทั้งจากการกระทำของคนรักและความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง นับตั้งแต่สงครามจีนกับญี่ปุ่น ไปจนถึงการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หนังแสดงให้เห็นภาพของหนึ่งในนักเขียนคนสำคัญที่สุดของจีนในศตวรรษที่ 20 ได้อย่างน่าสนใจ โดยสอดแทรกประเด็นเรื่องเฟมินิสต์และประวัติศาสตร์ลงไปได้อย่างลงตัว
Free Solo
หนังสารคดี : ผู้คน สังคม และโลกใบอื่น
อีกหนึ่งคอนเทนต์ที่โดดเด่นใน Disney+ Hotstar ก็คือสารคดีจาก National Geographic (ซึ่งดิสนีย์ได้ลิขสิทธิ์มาจากการซื้อคอนเทนต์ทั้งหมดของค่ายฟ็อกซ์) ซึ่งภาพจำที่หลายคนมีสำหรับคอนเทนต์ประเภทนี้คือ สารคดีสัตว์ป่าที่ฉายทางทีวี แต่ที่จริงแล้วยังมีหนังสารคดีอื่นๆ ที่หลากหลายและดูสนุกน่าติดตามไม่แพ้หนังฟิกชั่น ซึ่งเราขอแนะนำหนังสารคดีที่ได้รับเสียงชื่นชม และได้รับรางวัลจากเวทีต่างๆ 3 เรื่องดังนี้
Free Solo (2018) ที่คว้ารางวัลออสการ์หนังสารคดียอดเยี่ยมมาครองได้ โดยผู้จัดจำหน่ายในบ้านเราอย่าง Documentary Club เคยเอาหนังเรื่องนี้เข้าฉายโรงมาแล้ว หนังเล่าเรื่องราวของ อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ แชมป์นักไต่เขาด้วยมือเปล่ากับความพยายามในการทำภารกิจปีนหน้าผาเอลแคพิตันในอุทยานโยเซมิตี้ ซึ่งถือเป็นภารกิจที่โหดหินเสี่ยงตาย ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โดยนอกเหนือจากการถ่ายทอดภารกิจดังกล่าวแบบเกาะติดจนผู้ชมหลายคนต้องลุ้นระทึกแทบหยุดหายใจระหว่างรับชมแล้ว จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ยังอยู่ที่การถ่ายทอดเบื้องหลังภารกิจดังกล่าวที่ฮอนโนลด์ต้องฝึกซ้อม วางแผน และเตรียมตัวอย่างรัดกุมเข้มข้น หนังแสดงให้เห็นถึงแรงผลักดันที่ทำให้เขากล้ากระทำการท้าความตาย อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงผู้คนรอบตัวเขาที่เป็นแรงผลักดันให้ด้วย นั่นทำให้ Free Solo กลายเป็นสารคดีที่เข้าถึงง่าย ดูสนุก และสร้างแรงบันดาลใจได้มากมาย แม้แต่กับผู้ชมที่ไม่สนใจเรื่องการปีนเขาเลย
Jane
Jane (2017) ที่ถ่ายทอดชีวิตของ เจน กูลดัล หญิงชาวอังกฤษผู้อุทิศตัวเองให้กับการศึกษาชิมแปนซีในแอฟริกามาตั้งแต่ยุค 60 ซึ่งเธอถือเป็นผู้บุกเบิกในสิ่งที่แทบจะไม่มีใครเคยศึกษามาก่อน ผลงานของเธอส่งผลกระทบสำคัญต่อการศึกษาเรื่องสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และพลิกมุมมองที่ผู้คนมีต่อธรรมชาติเสียใหม่ เธอเป็นไอคอนคนสำคัญทั้งในฐานะนักวิชาการหญิงที่โดดเด่นในแวดวงที่มักถูกยึดครองโดยเพศชาย เป็นผู้ขับเคลื่อนขบวนการอนุรักษ์สัตว์ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย จุดเด่นของหนังเรื่องนี้อยู่ที่การสำรวจชีวิตของเธออย่างรอบด้านตลอดเวลาเกือบ 60 ปี โดยหนังเต็มไปด้วยฟุตเทจที่สวยงามและหาดูยาก
The Cave
และ The Cave (2019) ที่มีฉากหลังอยู่ในสงครามกลางเมืองซีเรีย โดยซับเจกต์หลักของหนังคือ ‘ถ้ำ’ หรือโรงพยาบาลลับซึ่งก่อตั้งโดย อาร์มานี บาร์ลัวร์ และแพทย์หญิงคนอื่นๆ พวกเธอได้ท้าทายสังคมปิตาธิปไตยและความรุนแรงจากสงครามผ่านการเสี่ยงชีวิตเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บมากมาย จนกระทั่งโรงพยาบาลแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของชาวซีเรีย ผู้สร้างหนังเรื่องนี้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาต้องการนำผู้ชมไปอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนเพื่อร่วมรับรู้ถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายในโลกใบนี้ โดยหนังเต็มไปด้วยฟุตเทจมากมายที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าเศร้า อีกทั้งยังโยนคำถาม (ซึ่งยากจะหาคำตอบ) ให้ผู้ชมกลับไปคิดอีกหลายอย่าง
Folklore: The Long Pond Studio Sessions
นอกจากนี้ ยังมีสารคดีอีกกลุ่มที่น่าสนใจ นั่นคือกลุ่มสารคดีนักดนตรี ซึ่งเราขอแนะนำ 2 เรื่อง คือ
เรื่องแรกคือ Folklore: The Long Pond Studio Sessions (2020) ที่ถ่ายทอดเบื้องหลังการทำงานของนักร้อง/นักแต่งเพลงชื่อดังแห่งยุค เทย์เลอร์ สวิฟต์ ในอัลบั้มชุดที่แปดอย่าง Folklore (เธอรับหน้าที่กำกับสารคดีเรื่องนี้เองด้วย) ซึ่งเป็นการทำงานในสตูดิโอบันทึกเสียงที่แยกตัวอยู่ท่ามกลางป่าในช่วงที่กำลังมีการล็อกดาวน์เนื่องจากโรคระบาด จุดเด่นของสารคดีเรื่องนี้คือการที่เธอแสดงสดบทเพลงต่างๆ ในอัลบั้มนี้อย่างจุใจ และการได้เห็นถึงกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานของเธอกับทีมงานอย่างใกล้ชิด
Disney My Music Story: Yoshiki
และเรื่องที่สองคือ Disney My Music Story: Yoshiki (2019) สารคดีขนาดสั้นที่พาไปชมชีวิตและการทำงานของหัวหน้าวง X Japan อย่าง โยชิกิ ในปี 2019 ซึ่งเขาเดินทางไปกลับระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่นหลายครั้ง หนังถ่ายทอดมุมมองของเขาที่มีต่อดนตรี รวมถึงการแสดงดนตรีของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเพลงดิสนีย์อย่าง Can You Feel the Love Tonight และ Let It Go ซึ่งนอกจากตอนของโยชิกิ ก็ยังมี My Music Story ตอนที่ถ่ายทอดเรื่องราวของวง Perfume ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
แถมท้ายด้วยซีรีส์สารคดีที่ถ่ายทอดเบื้องหลังการทำงานของดิสนีย์ในส่วนต่างๆ อาทิ Disney Insider, Prop Culture, Inside Pixar, Marvel Studio Assembled, One Day at Disney รวมถึงหนังสารคดีอย่าง Be Water ที่เล่าเรื่องราวของ บรูซ ลี นักแสดงมาร์เชียลอาร์ตฮ่องกงที่โด่งดังระดับโลก และ Jiro Dreams of Sushi ที่พูดถึงเชฟซูชิชื่อดังและงานครัวของเขา
Devs
ซีรีส์ : วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ปรัชญาชีวิต
Disney+ Hotstar มีซีรีส์ที่น่าสนใจหลายเรื่อง ซึ่งนอกจากซีรีส์ระดับขึ้นหิ้งอย่าง The Simpson (มาครบทั้ง 704 ตอน!), The X-Files, Homeland, Lost, The Walking Dead, 24, Grey’s Anatomy, American Horror Story, How I Met Your Mother, Modern Family, Criminal Minds และซีรีส์มาแรงจาก Marvel/Star Wars อย่าง WandaVision, Loki, The Falcon and the Winter Soldier, The Mandalorian แล้ว ก็ยังมีซีรีส์ที่เราอยากแนะนำอีก 4 เรื่อง
Devs (2020, 8 ตอนจบ) : ซีรีส์แนวไซ-ไฟจากผู้เขียนบท/ผู้กำกับ อเล็กซ์ การ์แลนด์ (Ex Machina, Annihilation) เล่าถึงหญิงสาวที่เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ในบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง และพบว่าแฟนของเธอ-ซึ่งทำงานในบริษัทเดียวกันและได้เข้าร่วมโครงการทดลองลับของบริษัท-เกิดหายตัวไปอย่างลึกลับ เธอจึงพยายามสืบหาสาเหตุการหายตัวของแฟน รวมถึงสืบค้นว่าโครงการลับของบริษัทคืออะไร โดยนอกจากงานภาพ โปรดักชั่น และการสร้างบรรยากาศที่แปลกตาแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังมีเนื้อหาเชิงปรัชญาเกี่ยวข้องกับการที่มนุษย์กล้าท้าทายพระเจ้า และการสำรวจว่าชะตากรรมมนุษย์นั้นถูกกำหนดไว้แล้วจากเบื้องบน หรือมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตัวเองได้ ซึ่งก็ทำให้มันเป็นผลงานที่คอซีรีส์แนวไซ-ไฟท้าทายสมองไม่ควรพลาด
Mrs. America
Mrs. America (2020, 9 ตอนจบ) : ซีรีส์ดราม่าย้อนยุคที่บอกเล่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อย่างการเคลื่อนไหวเพื่อขับเคลื่อนรัฐธรรมนูญเรื่องสิทธิความเสมอภาค (Equal Rights Amendment) ในยุค 70 ซึ่งถูกโต้กลับโดยแอ็กติวิสต์หัวอนุรักษนิยมอย่าง ฟิลลิส ชลาฟลาย โดยถ่ายทอดผ่านมุมมองของเหล่าเฟมินิสต์คนสำคัญในยุคนั้น และสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศการต่อสู้ทางการเมืองในยุคนั้น-ซึ่งมีความดุเดือดสูงและเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองสหรัฐอเมริกาไปตลอดกาล-ได้อย่างครอบคลุมและเต็มไปด้วยรายละเอียด จุดเด่นของซีรีส์ยังรวมถึงเหล่าบรรดานักแสดงฝีมือเยี่ยมที่มารับบทในเรื่องด้วย ไม่ว่าจะเป็น เคต แบลนเชตต์, โรส เบิร์น, เอลิซาเบธ แบงค์, ซาราห์ พอลสัน หรือ อูโซ อาดูบา
It’s Always Sunny in Philadelphia
It’s Always Sunny in Philadelphia (2005 – ปัจจุบัน, 14 ซีซั่น) : เรื่องราวของคนสุดวายป่วง 5 คนที่จับมือกันเปิดผับไอริชในเมืองฟิลาเดลเฟีย ซึ่งกลายมาเป็นซีรีส์ซิตคอมสุดฮิตที่หลายคนคุ้นเคยจากภาพมีมต่างๆ โดยมีมุกตลกสุดเพี้ยนและการเสียดสียั่วล้อประเด็นทางสังคมในระดับ ‘ทะลุเพดาน’ ปราศจากฉากซึ้งๆ หรือบทเรียนชีวิต ปัจจุบัน ซีรีส์นี้ได้รับอนุมัติให้สร้างถึงซีซั่น 18 ทำให้มันสร้างสถิติเป็นซีรีส์ตลกแบบคนแสดงที่ออกอากาศทางทีวีได้ยาวนานที่สุด
Fresh Off the Boat
Fresh Off the Boat (2015 – 2020, 6 ซีซั่น) : ซิตคอมที่สร้างจากหนังสืออัตชีวประวัติขายดี โดยบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวไต้หวัน 6 ชีวิต (พ่อ, แม่, ย่า และลูก 3 คน) ในอเมริกา ที่ย้ายจากเมืองใหญ่อย่างวอชิงตันไปอยู่ออร์แลนโดในช่วงยุค 90 เพื่อให้หัวหน้าครอบครัวมาตามหาความฝันในการเปิดกิจการร้านอาหาร มันเป็นซิตคอมอเมริกันเรื่องแรกในรอบ 20 ปีที่มีตัวละครหลักทั้งหมดเป็นคนเอเชีย ทั้งยังสามารถถ่ายทอดชีวิตของผู้อพยพชาวเอเชียออกมาได้อย่างมีสีสัน สอดแทรกเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม การตามหาความฝัน การปรับตัวใหม่ และความพยายามรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวเอาไว้
ถือเป็นซิตคอมเรื่องสำคัญที่ช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องวัฒนธรรมเอเชียในหมู่ชาวอเมริกัน และช่วยปูทางให้มีหนัง/ซีรีส์ที่มีตัวละครหลักเป็นเอเชียตามมาอีกหลายเรื่อง.
ดูข่าวต้นฉบับ
ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/movie/2135797
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/movie/2135797