หัวอกแม่ปลื้มใจ! ดี้ ปัทมา ตื้นตันหมอพลอย ลูกสาวดีกรีแพทย์ เตรียมลั่นระฆังวิวาห์
หัวอกแม่ปลื้มใจ! ดี้ ปัทมา ตื้นตันหมอพลอย ลูกสาวดีกรีแพทย์ เตรียมลั่นระฆังวิวาห์ เผยความภูมิใจลูกสาวสุดที่รักทั้งเก่งและน่ารักหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
หัวอกคนเป็นแม่ปลื้มใจ ลูกสาวเตรียมเข้าวิวาห์ ดี้ ปัทมา ปานทอง นักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ เปิดใจกับ ข่าวสดบันเทิงออนไลน์ หมอพลอย โสวิชญา วัย 28 ปี ลูกสาวสุดที่รัก กำลังจะแต่งงาน ในวันที่ 11 ธ.ค. 64 หลังคบหาดูใจกับแฟนหนุ่ม นพ.ณัฐวัสส์ เจริญพูนสิริ มาตั้งแต่สมัยเรียนรักมาราธอน 12 ปีสุกงอมพร้อมเริ่มต้นชีวิตคู่แล้ว ท่ามกลางความยินดีของทั้งสองครอบครัว พร้อมเผยความภูมิใจลูกสาวสุดที่รักทั้งเก่งและน่ารักหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ลูกสาวกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ในฐานะแม่รู้สึกอย่างไร? “วันแรกก็รู้สึกอึน จริงเหรอ จะแต่งแล้วเหรอ ต้องบอกก่อนว่าแม่ดี้หวงลูกมาก หวงหนักมาก มันก็เคยมีที่ว่าร้องไห้เวลาลูกจะแต่งงาน เขาก็มองแม่แล้วแบบแม่ร้องไห้ทำไม หนูไปแต่งงาน หนูไม่ได้ไปไหน แล้วก่อนหน้าที่ลูกจะมาบอกว่าแต่งงาน ดี้ถ่ายละครเรื่องมัจฉาอันดาของทางช่อง 8 แล้วในฉากผู้ชายมาสู่ขอลูกสาวเราต้องไปแต่งงาน คือพูดไปน้ำตาก็ไหลไป ฉันต้องเป็นอย่างนี้แน่เลย แต่พอวันที่ลูกมาบอกมันก็เป็นจริงๆ แต่มันเป็นโมเมนต์ที่ไม่ได้เสียใจ ก็รู้สึกว่าเขาจะโตไปอีกสเต็ปหนึ่งแล้ว เราต้องถอยออกมาให้เขาได้ดูแลกันเองสองคน แล้วมีอะไรค่อยมาบอกเรา แม่จะเป็นฝ่ายซัพพอร์ต”
เห็นความรักของลูกมาตลอด 10 กว่าปี? “12 ปีค่ะ แม่จะเป็นคนไปรับส่งลูกที่โรงเรียนตลอดอยู่แล้ว ลูกก็จะมาเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนคนนี้มาขอคุยด้วย เราก็ไม่ได้กีดกัน ทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ เราเชื่อว่าคนเราเวลาเรียนหนังสือได้มีแฟนมีความรัก มันก็ทำให้เหมือนเป็นดอกไม้ในแต่ละช่วงวัยก็เลยไม่ได้ว่าอะไร บอกลูกว่าก็คุยสิเพราะแม่ไปรับส่งลูกที่โรงเรียนทุกวันอยู่แล้ว เราก็รับรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นแฟนกันมา 10 กว่าปี ต้องมีวันที่เขาต้องแต่งงาน อย่างหนึ่งที่เรารู้สึกมีความสุขมากๆ เหมือนเราได้ลูกชายเพิ่ม ด้วยความที่ 10 กว่าปีเขาเรียนพิเศษมาด้วยกัน เราก็จะอยู่ร่วมกับเขาตลอดเวลา ไปเที่ยวต่างประเทศเราก็ไปด้วยกัน เราก็รู้สึกไม่ได้เหมือนถูกดึงลูกไปเพราะว่าจริงๆ แล้วชีวิตลูกของเราปกติไม่ได้อยู่ที่บ้านอยู่แล้ว ชีวิตเขาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงพยาบาล มันก็เลยเหมือนกับเขาค่อยๆ ออกจากบ้านไปทีละนิดอยู่แล้ว จากตอนที่เรียนแพทย์ พอปี4 ก็เริ่มอยู่หอมากขึ้น พอปี6ก็ไปใช้ทุนไปแลกเปลี่ยน ชีวิตเขาค่อยๆ ห่างจนเราไม่ได้รู้สึกว่าลูกอยู่กับเราตลอดเวลา แต่ว่าข้อดีคือลูกจะโทรมาคุยกับแม่ตลอดทุกเช้า ก็เลยทำให้เราเหมือนอยู่ใกล้กันตลอด และทุกเย็นเวลาเลิกงานเขาจะโทรมาคุยกับแม่คือมีเรื่องคุยกับเราทุกวัน”
รักของลูกสุกงอมพร้อมเริ่มต้นชีวิตคู่แล้ว? “พร้อมที่จะออกเรือน แพลนแรกเขากะว่าจะจบเรสซิเดนท์(แพทย์เฉพาะทาง)ก่อน คืออีกปีครึ่ง แต่ปีหน้าหมอชายชง ปีถัดไปลูกสาวเราชง ก็เลยไม่อยากจะรอไปอีก 2 ปี ก็ขยับเข้ามาที่ปีนี้ ฤกษ์วันที่ 11 ธันวาคม 64”
คุณแม่เคยหวงพี่ดี้มาก่อน แล้วเราหวงลูกแค่ไหน? “คือดี้รู้ถึงปัญหาของความหวงที่แม่มีต่อลูก แล้วความทุกข์มันจะอยู่ที่ทั้งแม่และลูก ฉะนั้นเราก็จะรู้สึกแป๊บหนึ่งแล้วเราต้องจัดการความรู้สึกเพื่อทุกฝ่ายจะได้มีความสุข เรารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องแต่งงาน แต่ว่ามันจะมีแว้บของความเป็นแม่อยู่ในหัวนิดนึง โอเคเขาควรจะได้แต่งงานอยู่ด้วยกันสองคนถูกต้องแล้ว”
ประทับใจในตัวว่าที่ลูกเขย ไว้วางใจฝากลูกสาวไว้ด้วยได้? “เขาเป็นเด็กอ่อนโยนและเป็นคนมีสัมมาคารวะ เป็นเด็กที่มีระเบียบ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในโลกหล้าคือเขารักลูกเรามาก เราเห็นได้ค่ะ เหมือนเวลาไปเที่ยวด้วยกันไปกันสามคน เขาจะเป็นคนทำกับข้าวให้น้องพลอยและแม่ทาน เป็นเวลานานมากที่เราได้เจอกันมันทำให้เรารับรู้ได้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนยังไง”
ถูกใจว่าที่ลูกเขยคนนี้มาก พรีเวดดิ้งแม่ดูแลดีมาก? “เราจะดูแลกันแบบนี้ตลอดเพราะว่าสมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเพื่อนกันก็เรียนพิเศษมาด้วยกัน แม่ก็จะเป็นคนลงตารางเรียนให้ อั๋นก็จะเรียนตาม คือสนิทกันตั้งแต่ม.5 เขารักกันมานานจนเป็นนักเรียนแพทย์ เรียนจบใช้ทุนกลับมาเรียนต่อก็มาเรียนที่เดียวกันอีก ตอนเรียนม.5 เขาก็เรียนห้องเดียวกันเขาก็เลยได้รู้จักกันแล้วแม่ก็เห็นเขาตั้งแต่ตอนนั้น ความสัมพันธ์ของเขาเป็นไปตามครรลองจริงๆ เริ่มจากการพูดคุย และมาเริ่มที่จะไปเที่ยวด้วยกันพร้อมพ่อแม่ คือลูกเราไม่เคยไปไหนโดยไม่มีพ่อแม่ ฉะนั้นเริ่มที่จะไปเที่ยวโดยมีแม่ไปด้วยตอนเรียนจบแล้ว เราก็มีความไว้ใจและเชื่อใจในตัวหมอชาย”
ภาพพรีเวดดิ้งออกมาสวยงาม เบื้องหลังพ่อแม่เป็นเวดดิ้งแพลนเนอร์ให้เลย? “ก็ทำทุกอย่างค่ะ ด้วยความที่ลูกไม่ค่อยมีเวลาเลย ถ้าเราไปจ้างออร์แกไนซ์ทำเขาจะต้องให้คู่บ่าวสาวมีเวลาให้เขา เราจะรู้ว่าลูกเราพร้อมที่จะคุยกับเราได้ตอนนี้แต่คนอื่นเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคุยไม่ได้ เราก็เลยตัดปัญหาด้วยการทำกันเอง ส่วนพี่เอ๋ (กษมา) พ่อเขาก็จะเป็นคนทำสคริปต์ คือทำทุกอย่างเอง เราก็เตรียมของเอง เขาบอกว่าพ่อแม่นี่แหละดีที่สุด และเรารู้ว่าลูกเราชอบอะไร เราจะเก็บไว้เป็นโมเมนต์ความสุขของเรา คือเรามีลูกคนเดียวเราจะไปเอาประสบการณ์นี้จากตรงไหนไม่ได้อีกแล้วยังไงเราต้องเต็มที่”
งานแต่งจะจัดประมาณไหน? “ก็เป็นเล็กๆ กำลังดี ก็ไม่ได้เล็กมากเพราะมีเพื่อนมีพี่ที่เคารพที่ไม่เชิญไม่ได้ แล้วจะเป็นงานที่ฟิกซ์ที่นั่ง ไม่เป็นการเดินไปเดินมา คือเราเป็นห่วงเรื่องโควิดด้วย แต่ทุกท่านที่เชิญจะพูดเลยว่าไม่ต้องเกรงใจเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่เราจะรู้สึกได้ว่าต้องบอกแค่นั้นเอง และไม่มีดนตรีโครมครามก็จะเป็นงานสบายๆ เป็นงานที่ทุกคนในงานรู้จักกัน เขาก็แพลนว่าแต่งไปแล้วอีกสัก 3-4 ปีค่อยมีลูก เนื่องจากตอนนี้เรียนหนักมากคงยังไม่พร้อมมีน้องจริงๆ และเขาคงอยากมีเวลาไปเที่ยวเล่นกันสองคนก่อนถึงเวลาค่อยมาว่ากัน”
แม่วางเส้นทางให้ลูกสาวเป็นคุณหมอมาตั้งแต่แรกไหม ลูกเรียนเก่งจบแพทย์เกียรตินิยมอันดับ1? “เขาตั้งใจเอง คือเราไม่มีคำว่าหมออยู่ในหัวเลย เพราะเรียนแพทย์มันต้องเป็นคนที่ใจรักแล้วอยากเรียนเอง เมื่อก่อนน้องเคยเล่นละครแล้วเขาจะเป็นคนที่้จำบทแม่นมากมาตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กที่ความจำดี เราก็คิดไว้ในใจว่าเราน่าจะสนับสนุนให้เรียนนิติศาสตร์ เหมือนเชียร์เอาไว้ว่านิติกับอักษร ถ้าเรียนอักษรน่าจะได้มาเขียนบท เราก็คิดอะไรที่ใกล้ตัวเรา และรู้สึกว่าถ้าผู้หญิงรู้กฎหมายมันจะเสียเปรียบคนอื่น แล้วช่วงที่เขาเข้าเตรียมอุดมขึ้นม.5 น้องบอกว่าแม่คะ ลูกอยากเรียนแพทย์ ก็เลยเริ่มวางแผนกันใหม่หาข้อมูลและเรียนพิเศษค่อนข้างเยอะ เขาก็เลือกจุฬาฯ และโชคดีที่ได้ที่จุฬาฯ ตามที่เขาอยากได้ จบมาได้เกียรตินิยมอันดับ1 เขาก็ตั้งเป้าให้ตัวเองพยายามตั้งแต่ปีหนึ่ง เป็นข้อดีที่เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ”
เรียนจบไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลสระบุรี ก็ห่างกับแม่เหมือนเดิม ตอนเรียนแพทย์อยู่จุฬาฯ ก็ห่างแบบนี้ พอไปอยู่สระบุรีก็จะหายไปนิดนึง วันอาทิตย์เราก็ขับรถไปหาลูก ยิ่งตอนช่วงโควิดครั้งแรกเครียดมาก กลัวว่าลูกจะเป็นโควิดไหมเพราะเขาเป็นหมออายุรกรรมแล้วเขาเป็นสายตรงที่จะต้องไปตรวจคนไข้โควิด เขาก็ไม่ให้เราพบเลย เขากลัวโควิดจะมาติดเรา คือตอนแรกๆ ยังไม่มีความรู้เรื่องโควิดมาก ตอนนั้นก็เครียดมาก ตอนนี้ลูกกลับมาเรียนต่อที่จุฬาฯ ค่ะ เรียนอายุรกรรม 3 ปี เป็นเรสซิเดนท์ปีที่2แล้วค่ะก็เหลืออีก1ปี เรสซิเดนท์คือเรียนต่อเฉพาะทาง พอจบเดนท์3ก็จะเรียนสเปเชี่ยลอีก2ปี เบ็ดเสร็จก็ 5 ปี”
ปกติดารานักแสดง ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นตามรอยเส้นทางพ่อแม่ แต่ลูกของเราฉีกออกไป เป็นหมอเลย? “เขาก็หล่นใต้ต้นอยู่นะ เขาก็เป็นนักแสดงตั้งแต่เด็กเขาเล่นละครตั้งแต่อนุบาลเลยจนถึงป.4 พอเริ่มป.4 เราตกลงกันไว้ว่าต้องเริ่มเรียนพิเศษกันแล้วมันจะไม่มีเวลาไปเล่นละครแล้ว เพราะปกติเล่นละครได้ในวันเสาร์อาทิตย์ พอมาเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์ก็จะไม่มีเวลาเล่นละคร มีบางเรื่องที่ติดต่อมาเราก็บอกว่าไปว่าน้องพลอยเล่นไม่ได้นะคะ น้องพลอยต้องเรียนพิเศษ แต่ตอนเด็กเขาชอบเล่นละครนะคะ”
หลายคนชื่นชมแม่ดี้ เลี้ยงลูกดีมีลูกสาวเก่งน่ารักเป็นคุณหมอ มีแนวทางการเลี้ยงลูกอย่างไร? “ความเก่งเรารู้สึกว่าคนเรามันฝึกฝนได้ อย่างแรกที่เราปูให้ลูกเลยคือการเป็นคนมีวินัย ต้องนอนเร็ว ต้องตื่นเช้า ด้วยความที่บ้านไกลโรงเรียน บ้านอยู่สุวินทวงศ์เรียนอยู่อนุบาลที่ห้วยขวาง เรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์เป็นร้อยกิโลที่วิ่งไปกลับต่อวัน ฝึกมาตั้งแต่เล็กแล้วลูกต้องอ่านหนังสือทุกวัน ทำเลขทุกวัน เราไม่ได้มีมรดกเยอะ ฉะนั้นสิ่งที่เราให้ลูกได้มากที่สุดคือความรู้”
สนับสนุนลูกเต็มที่? “ใช่ เราไม่บังคับลูกนะคะ แต่เหมือนเริ่มต้นตั้งแต่อนุบาลจะฝึกเขาเป็นแบบนี้พอเขาเริ่มโต กิจกรรมทุกอย่าง ตีเทนนิส ว่ายน้ำ เล่นดนตรี เรียนร้องเพลง เรียนเต้น ลูกขอเรียนอะไรให้เรียนหมดเลยแล้วเขาก็จะเลือกว่าอะไรที่เขาถนัด คือเราสนิทกับลูกคุยกันทุกเรื่อง พอเขาเริ่มโตใส่เสื้อผ้าด้วยกัน ช็อปเสื้อผ้าด้วยกัน ซื้อเครื่องสำอางด้วยกัน ใส่รองเท้าเบอร์เดียวกันเหมือนเป็นหนึ่งเดียว”
คุณหมอทำงานหนักไม่ค่อยมีเวลา เป็นห่วงลูกมากขนาดไหน? “ห่วงมาก เพราะว่าเขาห่วงแต่คนอื่นไม่ห่วงตัวเอง มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาจะมีปัญหาเรื่องลำไส้ท้องอืด ข้อดีที่เรากับลูกใกล้ชิดกันทำให้เรารู้ว่าลูกไม่สบาย เชื่อไหมว่าเขาให้น้ำเกลือแล้วเดินลากสายน้ำเกลือเดินไปตรวจคนไข้ น้องพลอยมันไม่ได้แล้วนะ แต่เขาก็มีเหตุผลว่าเขารู้ว่าเขาไม่ได้เป็นเยอะมาก พอกลับจากตรวจคนไข้ทำงานเสร็จเขาก็จะอ่านหนังสือต่อ ไม่ห่วงตัวเอง ไม่ห่วงความสวย ไม่ทาครีม เราก็บังคับลากไปนวดหน้า ไปทำสีผม เขาก็บอกหนูต้องทำงานเขาเลยรู้สึกว่าเรื่องอื่นเสียเวลา เขาก็บอกแต่งยังไงก็เป็นเขา แต่เราก็รู้สึกว่าไม่ได้นะ เราแต่งงานครั้งเดียวมันต้องทำให้เต็มที่ อย่างเราจองคิวน้องฉัตร คุยกับน้องฉัตรตั้งแต่งานรับปริญญาแล้วว่าถ้าน้องพลอยแต่งงานจองนะ แล้วแม่ดูโรงเรียนอนุบาลไว้ให้หลานแล้ว จะเรียนที่ไหนเราวางแผนไว้หมดแล้วนี่ขนาดยังไม่ได้แต่งงานนะ แต่ถามว่าถึงเวลานั้นถ้าเขาไม่เอาเราก็ไม่บังคับนะคะ”
อยากบอกอะไรกับลูก? “เขาดีกับเรามาก (เช็ดน้ำตา) เขาก็รักแม่ตลอดเวลาอยู่แล้วก็เลยไม่มีเรื่องจะพูด คือทุกวันก็ต้องโทรคุยกัน น้ำตาซึม ก็แค่อวยพรให้เขามีความสุข กลัวมากเลย จะไม่ยอมพูดในงานแต่งกลัวเป็นแบบนี้ (เช็ดน้ำตา) ไม่ได้เสียใจ ก็ธรรมชาติเนาะถ้ามันจะไหลก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ช่างเถอะ ทุกคนก็คงรู้ว่าเรารักลูกมาก เขาไม่รู้สึกว่าเขาออกจากอ้อมอกแม่เลยจริงๆ เพราะว่าเขาออกไปนานมากแล้ว (หัวเราะ) เขาใช้ชีวิตเป็นหมอ หรือเวลาที่เขาไปเรียนต่างประเทศก็ไปครั้งหนึ่ง 3-4 เดือน แต่เขาโทรมาทุกวัน เขาไม่เคยขาดการโทรศัพท์มาหาแม่ทุกเย็น คือวิถีของเขาทำให้เราไม่รู้สึกว่าเราห่างกันแล้วเขาก็รู้สึกได้ว่าต่อให้แต่งงานก็ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนเดิมมันก็เลยไม่เปลี่ยน เราก็บอกลูกว่าอะไรที่เราจะซัพพอร์ตลูกได้ขอให้บอก แล้วเราก็จะไม่เข้าไปกำหนดชีวิตว่าเขาควรจะทำแบบนั้นแบบนี้ เขาสองคนต้องคิดกันเอง
จริงๆ ไม่มีอะไรห่วงเขาเลย เพราะเขาเป็นเด็กที่มีเหตุผลรู้ว่าตัวเองควรทำอะไรเมื่อไหร่ เราก็จะมีหน้าที่เป็นกำลังหลักที่จะซัพพอร์ตลูกไม่ว่าจะเรื่องอะไร ถ้าเขาทั้งสองคนอยากได้ความช่วยเหลือจากเรา เราก็จะเต็มที่ แม่ก็เชื่อว่าถ้ามีความคิดที่ดีมีความรักที่ดีเป็นพื้นฐานมันก็น่าจะประคองกันไปได้ ยังไงมันก็ต้องมีทะเลาะกันแหละคนเรา ขนาดดี้กับพี่เอ๋ก็ยังมีจุกจิกบ้าง ครอบครัวพ่อแม่ก็จะเป็นคนทำให้ทุกอย่างดีขึ้นถ้าเขาทะเลาะกันแล้วเราไม่เข้าไปวุ่นวาย”
ภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้มากแค่ไหน? “มากเลย (เน้นเสียง) เพราะเขาไม่เคยทำให้แม่เสียใจเลย เขาเป็นเด็กที่รู้หน้าที่ รู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เขาก็คือปิยบุตรเลย เป็นลูกที่ดีมากๆ ไม่ติดโทรศัพท์ ไม่ติดเพื่อน คือคุณจะไปหาลูกแบบนี้ที่ไหนอีกในสังคมปัจจุบัน แค่นี้พอแล้ว เราก็เลยต้องสะสมบุญไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่าเราได้ใช้บุญกับลูกกับสามีไปเยอะ”
ดูข่าวต้นฉบับ
ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6717187
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6717187