ญดา นริลญา อยู่วงการมา 7 ปี เพิ่งจะดัง ปังเพราะบท ‘มิ้ง ร่างทรง’


ให้คะแนน


แชร์

ทำเอาคอหนังหลอนกันทั่วบ้านทั่วเมืองไปแล้ว สำหรับภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง ร่างทรง ค่าย จีดีเอช ร่วมสร้างกับ SHOWBOX ค่ายหนังยักษ์ใหญ่จากเกาหลี ที่เอาเรื่องราวความเชื่อของคนไทยมาถ่ายทอดความหลอน โดยเฉพาะบทของ มิ้ง รับบทโดย ญดา นริลญา กุลมงคลเพชร นักแสดงสาววัย 21 ปี ที่ทำคนหลอนมาแล้วทั่วเอเชีย และทันทีที่หนังฉาย เรียกว่าเป็นการแจ้งเกิดของ ญดา ได้แบบเต็มตัว 

ที่บอกว่า เป็นการแจ้งเกิดของ ญดา แบบเต็มตัวนั้น ก็เพราะว่าเธอโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 7 ปีแล้ว ตั้งแต่อายุ 14 ปี มีผลงานในวงการบันเทิงตามมามากมาย อาทิ มิวสิกวิดีโอ, โฆษณา, ละคร, พิธีกร, เพลง นอกจากนี้ยังเป็น 1 ในสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป GELATO ของโมโนมิวสิก รุ่นแรกอีกด้วย

จากนั้นก็ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในซีรีส์ชุด เพื่อนเฮี้ยน โรงเรียนหลอน ตอน อจินไตย ก่อนจะกระโดดมาเป็นนางเอกละครครั้งแรกเรื่อง นารีริษยา ที่ออกอากาศทางช่อง 3HD และเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากซีรีส์ เลิฟซิคเดอะซีรีส์ รักวุ่น วัยรุ่นแสบ ซีซั่น 2 (Love Sick ซีซั่น 2) แต่เจ้าตัวยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก กระทั่งได้มาเล่นภาพยนตร์เรื่อง ร่างทรง ถือเป็นการแจ้งเกิดให้กับเธออย่างเต็มตัว 

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ขอพาแฟนหนังเรื่องนี้ มาทำความรู้จักกับ ญดา นริลญา กุลมงคลเพชร ให้มากขึ้นไปอีก ถึงการเข้ามาเล่นหนังเรื่อง ร่างทรง ซึ่งเธอบอกว่า บทของ มิ้ง เป็นการแสดงที่ห่างไกลจากตัวจริงมาก และตั้งใจทุ่มสุดตัว ทำการบ้านอย่างหนัก แถมยังต้องเพิ่มน้ำหนัก 5 กก. และลดลงอีก 10 กก. เพื่อให้เห็นจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของตัวละครอีกด้วย  

“ตอนนี้รายได้ของหนังใกล้จะ 60 ล้านแล้วค่ะ ดีใจมาก รู้สึกว่ามันเกินคาดเลยค่ะ ตอนแรกคุยตรงๆ กับพี่โต้ง (โต้ง บรรจง) ไปแล้วว่าไม่คาดหวังแล้วล่ะ ได้เท่าไรก็เท่านั้นค่ะ แต่ตอนนี้มันคือเกินความคาดหมายไปแล้วค่ะ รู้สึกดีใจมากๆ ค่ะ 

คือด้วยความที่อยู่ในยุคที่มีโควิด-19 ระบาดด้วยเนอะ เราก็ไม่คิดหรอกค่ะ จะได้รายได้ดีขนาดนี้ค่ะ ก่อนหน้านี้หนังเรื่อง ร่างทรง เราเอาไปฉายที่เกาหลีก่อนค่ะ เป็นประเทศแรกเลย ซึ่งจริงๆ แล้วกำหนดเดิมจะต้องเป็นประเทศไทยฉายใกล้กันกับของประเทศเกาหลีค่ะ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่โรงหนังบ้านเรามันยังไม่เปิดค่ะ เราก็เลยต้องไปตามน้ำก่อน

คือภาพยนตร์เรื่องนี้เราตั้งใจที่จะทำมาเพื่อฉายในโรงภาพยนตร์จริงๆ ค่ะ แล้วด้วยความที่มันเป็นหนังสยองขวัญด้วยอะเนอะ เราว่าถ้าเกิดหนังสยองขวัญ มันก็ต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้นค่ะ ด้วยบรรยากาศ ภาพ และเสียงด้วยค่ะ”

หนังเรื่องแรกสุดท้าทาย

“หนังเรื่องนี้หนูผ่านการแคสติ้งค่ะ เริ่มแรกก็เข้าไปแคสติ้งผ่านทางบริษัทแคสติ้งค่ะ แล้วพออีกครั้งหนึ่งก็มาเจอกับพี่โต้งเลยค่ะ แล้วก็เป็นภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของหนูเลยค่ะ ถ้าถามเรื่องความยากง่าย คือภาพยนตร์เรื่องนี้มันยากตั้งแต่ตัวบทแล้วค่ะ

คือบทเรื่องนี้มันจะมาแปลกมาก ไม่เหมือนประสบการณ์ที่หนูเคยได้ทำมาค่ะ มันจะมาเป็นแบบลำดับเหตุการณ์เป็นหลัก แล้วก็จะไม่ได้มีบทพูดของตัวละครค่ะ จะมีแค่การบรรยายตัวบท บรรยายเนื้อเรื่องค่ะ

แล้วก็จะมีคำพูดตัวละครที่เป็นคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้นนิดหน่อย ที่เหลือก็จะเป็นการด้นสดเลย ด้วยตัวละครที่หนูได้รับ เป็นตัวละครที่ห่างไกลจากตัวหนูแบบสุดขั้วไปเลย แล้วพอยิ่งมามีวิญญาณชั่วร้ายอยู่ในตัวของ มิ้ง อีกก็ยิ่งเพิ่มความยากให้กับหนูต้องไปทำงานตรงนี้มากขึ้นไปอีกค่ะ”

“ก่อนจะได้เล่นจริงก็มีเวิร์กช็อปกันก่อนค่ะกับครูเงาะ มีการซ้อมการแสดงก่อนในทุกฉาก คือทุกฉากเราจะมีการซ้อมเล่นก่อนที่เราจะไปถ่ายจริงกับนักแสดงทุกท่านเลยค่ะ เพื่อไม่ให้ตอนที่เราไปถ่ายจริงมันเสียเวลาค่ะ

แล้วก็มีคนที่ออกแบบท่าทางให้มิ้งในช่วงครึ่งหลังที่มีอาการแปลกไปอะค่ะ อันนี้ก็ได้รับการความร่วมมือมาจาก คุณปาร์คเจอิน นะคะ เป็นคนออกแบบท่าทางที่มาจากเกาหลี คนนี้มีประสบการณ์มาเยอะมาก ในหลายๆ ภาพยนตร์เลยค่ะ ทั้งเรื่อง Train to Busan และ The Wailing (เดอะ เวลลิ่ง) ด้วยค่ะ”

เชื่อว่าโลกนี้ต้องมีผี

“หนูเป็นคนที่มีความเชื่อว่าโลกนี้ต้องมีผีแบบ 100% เลยค่ะก็เลยจะกลัวผีมาก แต่จะต่างกับพี่โต้ง เพราะพี่โต้งเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณเลยค่ะ”

“ตอนแรกๆ ก่อนที่จะไปถ่ายทำก็แอบมีกลัวเหมือนกันค่ะ แต่ว่าหนูก็กลัว สวดมนต์ไหว้พระทุกวันเลย แต่หนูคิดว่ามันคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ ก็เลยทำให้การแสดงออกมาดี เพราะถ้าเกิดมัวแต่จะไปกังวลตรงนั้น เดี๋ยวการแสดงมันจะออกมาไม่ดีค่ะ”

“ถ้าถามว่าในแต่ละฉากที่ผ่านมายากสำหรับหนูมั้ย ทุกฉากสำหรับหนูยากหมดเลยค่ะ อย่างที่บอกว่าตัวละครมันค่อนข้างห่างไกลจากตัวหนูมาก หนูเลยค่อนข้างที่จะทำการบ้านหนักมากๆ ค่ะ ก่อนที่จะไปถ่ายทำ หนูขอให้คนรอบตัวที่มีลักษณะนิสัยใกล้เคียงกับตัวละครนี้ มาพูดคุยกับหนู ลองให้เขาจินตนาการดูว่า ถ้าเกิดเขาเจอเหตุการณ์ใกล้เคียงกับมิ้ง เขาจะมีอาการยังไง เราดูลักษณะท่าทางของคนเหล่านี้ แล้วเก็บเอามาทำการบ้านต่อค่ะ”

“เรื่องลี้ลับในกองถ่ายก็มีค่ะ มันจะมีสถานที่ไปถ่ายทำแรกๆ ค่ะ ตอนนั้นหนูไม่ได้มีคิวถ่าย แต่ต้องไปถ่ายภาพโปสเตอร์ค่ะ วันนั้นไม่แน่ใจว่าทีมงานเราไหว้ถูกวิธี หรือมีใครไปพูดอะไรที่ไม่ดีรึเปล่า

วันนั้นเป็นวันที่ฝนตก ทีมงานและตัวหนูต้องไปหลบอยู่ในถ้ำ แล้วก็เริ่มมืดแล้วนะคะ ประมาณ 6 โมงเย็น-1 ทุ่มค่ะ คุณแม่กับทีมงานก็เริ่มสะกิดกัน เริ่มมองหน้ากัน มีอาการแปลกๆ ค่ะ แต่เราไม่มีใครกล้าถามอะไร

พอออกจากตรงนั้นมา ก็ได้มารู้จากคุณแม่กับทีมงานคนนั้นมาว่า เขาได้ยินเสียงเหมือนเป็นผู้หญิงร้องไห้อยู่ที่นั่น ได้ยินแบบติดๆ กัน พวกเราก็เลยต้องไปไหว้ ไปขอขมากัน หลังจากนั้นก็ถ่ายทำได้ปกติค่ะ แล้วที่เกิดเหตุคือตรงที่เป็นฉากย่าบาหยันเลยค่ะ”

พลิกการแสดงแบบ 100% 

“คือที่ผ่านมาหนูจะได้รับบทแบบใสๆ เล่นซีรีส์วัยรุ่น แต่พอมาหนังเรื่องนี้เรียกว่าพลิกการแสดงแบบ 100% เลยค่ะ ครั้งแรกเลยที่รู้ว่าจะได้รับเลือกให้เล่นเป็นบท มิ้ง ก็เครียด มีความกังวลเหมือนกัน ก็เริ่มทำการบ้านกับมัน

เริ่มคุยกับพี่โต้ง เริ่มไปเวิร์กช็อปทางการแสดงกับพี่ๆ นักแสดงท่านอื่นๆ ความกังวลพวกนั้นมันก็หายไปหมดเลยค่ะ เพราะว่าพี่ๆ ทุกคนที่เป็นนักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ทุกคนเก่งมาก มีประสบการณ์ทางการแสดงมาเยอะแยะมากมาย

บางคนเป็นทั้งผู้กำกับแล้วก็ทำงานในวงการบันเทิงมาเยอะค่ะ สายละครเวทีก็มี เวลาที่เราไปทำการแสดงกับพี่ๆ ที่เก่งมากๆ อะค่ะ พวกการแสดงความกังวลพวกนั้นจะหายไปหมดเลยค่ะ เพราะว่าเขาจะดึงให้เราไปอยู่ในเนื้อเรื่อง ไปเป็นตัวละครนั้นๆ ได้เลยค่ะ”

ทุ่มสุดตัวเพื่อความสมจริง

“การลดน้ำหนักยากค่ะยาก เพราะจริงๆ ช่วงครึ่งแรกอย่างที่บอกเลย หนูเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาก่อน เพราะว่าน้ำหนักเดิมของหนูมันก็ไม่เยอะค่ะ แล้วทีนี้เป้าหมายของเราคือ อยากลดให้มันดูแตกต่างจากช่วงครึ่งแรกมากๆ มันเลยจำเป็นว่าต้องเพิ่มขึ้นมาก่อน เพื่อให้ตอนหลังที่ลด มันจะได้ไม่ส่งผลต่อสุขภาพของเราด้วยค่ะ ก็เลยลดไป 10 กก. ใน 1 เดือนค่ะ

ก็จะมีนักโภชนาการคอยดูแลอย่างใกล้ชิดค่ะ มีส่งอาหารให้ คอยดูแล คอยเช็กหนูทุกวัน ต้องชั่งน้ำหนักทุกวัน ตอนนั้นก็เป็นช่วงที่โหด หนักหนาสาหัสเอาการเลยค่ะ เพราะจากที่เราเคยกินปกติ และหนูเป็นคนที่ชอบกินขนม กินของหวาน พอมันไม่ได้กินเลยมันต้องใช้ความอดทนสูงมากๆ เลยค่ะ

ตอนนั้นปลงชีวิตไปเลย เพราะอาหารที่เรากินตอนนั้นมันไม่มีรสชาติเลย มีแต่ผัก เพราะอาหารที่หนูกินมันจะไม่ได้ดูเฮลท์ตี้ แต่จะต้องให้ดูเป็นคนป่วย ดูโทรม อาหารที่เรากินเลยจะไม่ได้ถูกต้องตามโภชนาการค่ะ”

“วันที่แรกที่หนูอ่านบท หนูเครียดไปหมดเลย ว่าจะต้องทำยังไงให้ดูเป็น มิ้ง แต่หนูก็ไม่ได้รู้สึกท้อนะคะ อยากหาทางทำมันให้สำเร็จ ก็พยายามหาทางทำทุกวิถีทางค่ะ อันไหนไม่เข้าใจก็มีปรึกษา ถามพี่โต้ง ที่เหลือเราก็ไปทำงานของเราเองค่ะ ทำการบ้านเอง”

เข้าวงการตั้งแต่อายุ 14 แต่เพิ่งแจ้งเกิดตอน 21 

“หนูดีใจมากเลยค่ะ ที่หนังเรื่องนี้ได้มีรายชื่อเข้าชิงออสการ์ แค่ได้เป็นตัวแทนไป ได้รับการแสดงชื่อ ก็รู้สึกเป็นเกียรติแล้วก็ภูมิใจแทนคนไทยมากๆ เลยค่ะ

พูดได้เต็มปากเลยค่ะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้หนูเป็นที่รู้จัก จริงๆ หนูก็เข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุ 14 แล้วค่ะ อยู่ในวงการมาค่อนข้างนานพอสมควร แต่ก็เพิ่งมามีคนรู้จักจริงๆ ก็ตอนอายุ 21 นี่ล่ะค่ะ ก็ดีใจมากค่ะ

ไม่คิดว่าจะมีวันนั้น เพราะว่าหนูรู้สึกว่าหนูรักการแสดง แค่หนูได้แสดงออกมาให้ทุกคนได้ดู หนูก็มีความสุขแล้ว ไม่ได้ว่าจะต้องคาดว่าหวังจะมีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียงค่ะ แล้วก็ในฉากทุกฉาก หนูเล่นเองหมดเลยค่ะ”

“ถามว่า ดีใจมั้ยที่มีคนรู้จักหนูเยอะขึ้น ดีใจมากค่ะ อย่างที่บอก ไม่ได้คิดเอาไว้เลย เหนือความคาดหมายมากๆ ค่ะ”

“หนูเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงตอนอายุ 14 ตอนนั้นหนูเริ่มจากแคสต์โฆษณา เล่นโฆษณามาก่อน แล้วเริ่มรู้สึกว่าอยากหาอะไรที่มันท้าทายความสามารถเพิ่มมากขึ้นค่ะ ก็เลยได้ไปแคสต์ซีรีส์ แคสต์ละคร ก็เลยได้มีโอกาสเล่นมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ค่ะ 

ซึ่งที่ผ่านมาคนอาจจะยังจำเราไม่ได้ เพราะบทบาทที่ได้รับจะเป็นบทเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ แต่หนูไม่ท้อนะคะ เพราะว่าหนูรู้สึกว่า เวลาได้เจอบทบาทที่มันแตกต่างกันออกไป มันจะกลายเป็นความสนุก ท้าทายความสามารถเรา และเราก็รู้สึกสนุกทุกครั้ง ที่หนูได้ทำการแสดงค่ะ”

เป็นคนเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ 

“ตัวตนจริงๆ ของหนูพูดได้เป็นคนเรียบร้อยค่ะ ไม่พูดคำหยาบเลย ไม่ไปเที่ยว ไม่ไปปาร์ตี้ ชอบสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิปฏิบัติธรรมค่ะ เวลาอยู่ที่บ้านจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวหน่อย และชอบอยู่คนเดียว จะเรียกว่าหนูเป็นเด็กติ๊งต๊องก็ได้ค่ะ ง้องแง้งหน่อยค่ะ ติดแม่

แต่พอมาในโหมดการทำงาน ก็จะสนุกสนานเต็มที่ค่ะ ได้เจอคนที่แตกต่างออกไปในทุกๆ วัน ก็รู้สึกสนุก เหมือนเป็นสีสันในชีวิตของหนูค่ะ”

ยกให้คุณแม่คือคนสำคัญของชีวิต

“ที่บ้านดีใจมากๆ ค่ะ โดยเฉพาะคุณแม่ของหนู ส่วนคุณพ่อเขาแยกทางกับคุณแม่แล้วค่ะ ตั้งแต่หนูเด็กๆ คุณแม่อยู่เคียงข้างหนูตลอดเวลาเลย ในระยะเวลาของการเดินทางในวงการบันเทิงเลยค่ะ แล้วก็เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้หนูมีวันนี้ได้ค่ะ

คุณแม่ดีใจที่สุดแล้วค่ะ เวลาไปไหนมาไหน คุณแม่จะไปด้วยตลอด รับงาน เป็นผู้จัดการส่วนตัวของหนูเองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ ช่วยดูแลมาตั้งแต่แรกเลย เต็มที่มาก หนูมีพี่ชายคนเดียวค่ะ หนูเป็นน้องสาวคนเล็กของบ้านค่ะ”

“ตอนนี้งานเริ่มติดต่อเข้าเยอะเลยค่ะ ส่วนมากจะเป็นงานแสดงค่ะ หนูก็ดูบทค่ะ บทไหนที่รู้สึกท้าทายความสามารถ ก็รับเล่นคะ และหนูก็เริ่มมีกลุ่มแฟนคลับแล้วค่ะ กลุ่มแฟนคลับหนูจะเรียกว่าเป็น แก๊งลูกหมีค่ะ ด้อมลูกหมี มาจากการที่หนูชอบตุ๊กตาหมีค่ะ”

ชอบทำอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต

“หนูว่าหนูอยากทำการแสดงต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ แล้วอยากรับบทที่มันท้าทายความสามารถและไม่เคยรับเล่นมาก่อนค่ะ อะไรที่มันไกลมากๆ รู้สึกว่าอยากลองอีกครั้งหนึ่งค่ะ ยังไม่มีนะคะแต่ขอทำอะไรที่ใหม่ๆ ดีกว่าค่ะ”

“ฝากด้วยนะคะ สำหรับผู้ชมที่ยังไม่เคยชมภาพยนตร์เรื่อง ร่างทรง นะคะ อยากให้ไปดูค่ะ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างที่บอกว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญก็จริง แต่ว่าไม่ได้มีผี วิญญาณอย่างที่เราได้ดูกันมาก่อนหน้านี้ เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่จะทำให้ผู้ชมได้สนุก ติดตามไปกับเรื่องราว ดำดิ่งไปกับตัวละคร ได้ซึมซับไปกับบรรยากาศมากกว่า

อยากให้ทุกคนได้มาลองชมในโรงภาพยนตร์ดูนะคะ ส่วนใครที่อาจจะเคยได้ยินมาจากเพื่อนๆ หรือลบสปอยล์ไม่ทันก็อยากจะบอกว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่ยังไม่พิสูจน์กับตัวเองนะคะ แล้วก็อยากฝากติดตามผลงานของหนูด้วยนะคะ”

แค่พูดคุยกันไม่นาน ก็รู้เลยว่า ญดา เป็นเด็กที่มีความสามารถและอนาคตไกลอย่างแน่นอน บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ขอให้ ญดา ประสบความสำเร็จกับเส้นทางในวงการบันเทิง และได้ทำในสิ่งที่ชอบนะคะ.

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2237030
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2237030