เจฟ ซาเตอร์ พยายาม 8 ปี เพลงดังแต่ไม่มีใครรู้จัก KinnPorsche เปลี่ยนชีวิต


ให้คะแนน


แชร์

เดินทางอยู่บนเส้นทางของวงการเพลงมากว่า 8 ปี สำหรับ เจฟ วรกมล ซาเตอร์ หรือ เจฟ ซาเตอร์ (Jeff Satur) หนุ่มวัย 27 ปี ลูกเสี้ยว ไทย จีน อังกฤษ ที่เข้ามาในวงการในฐานะศิลปินที่มีผลงานเพลงออกมามากมาย

เจฟ เริ่มเดินบนเส้นทางสายนี้มาตั้งแต่ปี 2558 ทั้งร้อง แต่งเพลง รวมถึงเป็นโปรดิวเซอร์ ที่ผลงานไปปรากฏอยู่ในซีรีส์หลายเรื่องในประเทศแถบเอเชีย แล้วก็มีผลงานการแสดงจากการร่วมงานในซีรีส์หลายเรื่อง จนได้รับตำแหน่ง ‘Rising Foreign Coupled of the Year 2020’ จากงาน Voice Point 2021 ของประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines) และตำแหน่ง GQ Popular Vote 2021 

แต่ถึงกระนั้นหลายคนยังไม่รู้จักเขาดีพอ กระทั่ง เจฟ ซาเตอร์ ได้มีโอกาสมาเล่นซีรีส์วายแนวมาเฟียสุดเข้มข้นเรื่อง KinnPorsche The Series ในบทของ คิม น้องเล็กแห่งตระกูลมาเฟีย ทำให้แฟนซีรีส์เริ่มรู้จักและติดตามกันเป็นจำนวนมาก 

นอกจากงานด้านการแสดงแล้ว เจฟ ซาเตอร์ (Jeff Satur) ยังเป็นศิลปินของค่าย Warner Music Thailand ค่ายเพลงที่ไร้ขีดจำกัดในการทำงานทางดนตรี ซึ่งในปัจจุบันนี้ เจฟ ได้มีซิงเกิลเป็นของตัวเอง 4 เพลง ซึ่งแต่ละเพลงได้รับความนิยมและมียอดวิวที่สูงมาก

แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ เขาเคยถอยออกมาจากวงการบันเทิงไปแล้ว 1 ครั้ง เพราะสิ่งที่พยายามทำมาไม่สำเร็จ แม้จะมีเพลงฮิตติดหูออกมามากมาย แต่พอไปเล่นคอนเสิร์ต ก็ไม่มีใครมาฟัง นอกจากพ่อแม่ที่ยืนให้กำลังใจอยู่ข้างเวที โดย เจฟ ซาเตอร์ ได้เปิดใจเล่าทุกเรื่องกับ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเข้ามาทำงานในฐานะศิลปินที่ยังไม่มีชื่อเสียง 

เป็นศิลปินของกามิกาเซ่ในรุ่นสุดท้าย

เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง จากการไปประกวดในรายการรายการหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นยังเรียนอยู่ ม.ปลาย และจำได้เลยว่า พอรายการออนแอร์ก็โดนเพื่อนในห้องล้อ และเป็นศิลปินในยุคสุดท้ายของกามิกาเซ่ ก่อนค่ายปิดตัวลง

“ผมเข้าวงการตั้งแต่ปี 2558 ตอนนั้นทำอะไรอยู่ ตอนนั้นเรียน ม.ปลาย ครับ ใกล้จะจบแล้วครับ ประมาณอายุ 17-18 ครับ จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่เริ่มเข้าวงการ ก็คือไปประกวดรายการหนึ่ง แล้วรายการนั้นออนแอร์ก็โดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อ คิดว่าน่าจะเป็นช่วง ม.ปลาย ครับ

เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ได้เจอพี่คนหนึ่งของค่ายเพลงค่ายหนึ่งครับ เหมือนเขาลองเทรนด์เรา 3 เดือน เราก็ลองออดิชั่นดูครับ ก็ไปเทรนด์ ตอนนั้นก็มี 6-7 คนที่ไปเทรนด์พร้อมกัน แล้วก็เหมือนมีผมคนเดียวที่เขาเลือกออกมา ก็ได้ทำโปรเจกต์ชื่อว่า Demo Project ครับ ซึ่งใน Demo Project ก็มี นิว โซ่ สปลิท, ฟ้า ษริกา, อั๋น เจษฎา แล้วก็ เจฟ ครับ ไปอยู่ในยุคกามิกาเซ่ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายพอดี ก่อนที่เขาจะยุบค่ายครับ”

อยากมีคอนเสิร์ต ทำ World Tour เป็นของตัวเอง

“คือจริงๆ ตอนแรกต้องบอกว่าแค่สนุกเฉยๆ และคิดว่าถ้าได้เล่นคอนเสิร์ตที่มีคนดูเยอะๆ ก็คงจะดี เอาจริงๆ ตอนแรกเจฟฝันอยากเป็นสัตวแพทย์ ตอนช่วง ม.1 ม.2 เพราะว่ารักสัตว์มาก ก็เลยมีแมวประมาณ 12-13 ตัว (ยิ้ม) เป็นคนชอบสัตว์มาก

แล้วเพื่อนชวนไปเล่นดนตรี ตอนนั้นก็ไม่ใช่ความฝันหรอก แต่ว่าเล่นมาเรื่อยๆ จนเพื่อนเลิกไปแล้ว แต่เราก็ยังเล่นอยู่ แล้วเหมือนพอได้ทำไปเรื่อยๆ มันเริ่มรู้สึกว่า นี่เป็นสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ 

ก็เลยมีความฝันว่าอยากจะทำ World Tour คือชอบดูคอนเสิร์ตต่างประเทศที่เขาไปทัวร์กัน เลยมองว่าถ้าเรามีสักครั้งหนึ่งมันน่าจะดี”

“จนมาได้ทำเพลงของ Demo Project ช่วงนั้นจำได้ว่าตื่นเต้นมาก เพลงแรกเราไม่รู้เลยว่าขั้นตอนการทำงานมันเป็นประมาณไหน คือทุกอย่างมันใหม่สำหรับเรา แนวเพลงตอนนั้นเป็นแนวเพลงที่เรากำลังอินแหละ เป็นแนว Acoustic Pop Easy Listening เราเล่นกีตาร์อยู่แล้ว ซึ่งในนั้นเล่นกีตาร์ทุกคน เป็นเด็ก ม.ปลาย ที่ใส่ชุดนักเรียนแล้วเล่นกีตาร์อยู่หลังห้อง แล้วมารวมกัน แต่ละคนก็จะมีเพลงเป็นของตัวเอง

แต่ตัวเราตอนนั้นก็มีความเป็นอิเล็กทรอนิกส์ร็อก เพราะฟังเพลงของ X Japan แต่มันก็สอนให้เรารู้การเริ่มต้น มันต้องทำงานยังไง กระบวนการเป็นยังไง อะไรที่ใช่ ไม่ใช่ เราก็ยังใช้ในทุกวันนี้หลายๆ อย่าง”

ขึ้นร้องเพลงบนเวทีแต่ไม่มีคนฟัง

เจฟ ยอมรับว่ากว่าจะมาถึงวันนี้มันยากมาก แต่ถ้ามองทีละขั้น ก็รู้สึกว่าค่อยๆ ทำในเวลานั้นให้ดีที่สุด และเล่าต่อว่า เขามีงานเพลงปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีคอนเสิร์ตของตัวเอง เคยจำได้ว่าไปร้องเพลงในห้าง แต่ไม่มีคนฟัง ทั้งๆ ที่ร้องเพลงที่คนรู้จัก ก็มีแต่พ่อกับแม่ที่ยืนถือดอกไม้มารอให้กำลังใจแค่นั้นเอง

“มันยากมั้ย ถ้ามองเป็นก้อนมันจะยากนะ แต่ว่าตอนนั้นเราอยู่ในจุดนั้นเวลานั้น มันเป็นการทำไปทีละอย่าง ถ้าเป็นปมใหญ่ๆ มากๆ เราก็ค่อยๆ แก้ไปทีละปมๆ เราก็ค่อยๆ ทำมาโดยที่ไม่รู้ว่ามันยากรึเปล่า แต่ในเวลานั้นเราต้องทำให้ดีที่สุด

แล้วก็คือทำทุกอย่างให้สุด เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เราเป็นอย่างนั้นมาตลอด มีอะไรก็ทำ ทำมาเรื่อยๆ มันก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่เรารู้สึกว่ามันแบบตกต่ำก็มี อย่างปล่อยเพลงออกมาแล้วเพลงโอเคเลย ทุกคนชอบ แต่ไม่ได้มีงานคอนเสิร์ตเลย (เพราะ?) เพราะว่าไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเป็นอย่างนั้น

แต่จำได้ว่ามีคอนเสิร์ตหนึ่ง ที่ไปที่ที่หนึ่งที่อยู่ต่างจังหวัด เขาก็มีการโปรโมตแบบผมก็ไปร้องในอีเวนต์ในห้าง พ่อแม่ก็ตามไปดู เพราะอยากเห็นลูกเล่นคอนเสิร์ต เหมือนเป็นงานแรกๆ เลยช่วงนั้น (คนมาดูเยอะมั้ย?) ไม่มี ร้องเพลงแบบที่คนรู้จักแน่นอน แต่ไม่มีใครมาดู และแม่ก็ยืนถือดอกไม้อยู่กับพ่อ เราก็รู้สึกว่าพ่อแม่อุตส่าห์มาดู”

“ถามว่ารู้สึกเฟลมั้ย บอกเลยว่าเฟลมาก เพราะว่าหน้าเวทีมันโล่งมาก คนแค่แบบมาดูว่าใคร แล้วก็ยืนอยู่รอบนอก แล้วแม่ก็ยืนอยู่รอบนอกเหมือนกัน (ตอนนั้นเป็นศิลปินรึยัง?) เป็นศิลปินมาประมาณ 2 ปีแล้วครับ เพราะจำได้ว่าวันนั้นเล่นเพลง คิดถึงเธอแทบจะตายแล้ว เป็นเพลงของเราเองด้วยครับ คือด้วยความที่ตอนนั้นโซเชียลมันยังไม่ค่อยเหมือนสมัยนี้ เขาอาจจะแบบเคยได้ยินเพลง แต่ไม่รู้ว่าใครร้องก็ได้”

ในวันที่ตัดสินใจเลิกร้องเพลง เลิกเล่นดนตรี

“คือเราชอบเล่นคอนเสิร์ต อยากเจอคน พอมันไม่ได้ทำตรงนั้นก็เคว้งๆ เหมือนกัน ที่เราทำเพลงเพราะเราอยากเล่นคอนเสิร์ต ออกไปเจอคน ถามว่าท้อมั้ย มันไม่ได้ท้อ ทำไปเรื่อยๆ คือเรามีความหวังตลอด ว่ามันจะดีขึ้นทุกครั้ง

จนปีที่ 5-6 ผมก็เริ่มเปลี่ยนมาอีกค่ายแล้ว ด้วยทีมที่เขายกมาจากค่ายนั้นเป็นทีมเดียวกัน ก็ยังเหมือนเดิม คือทำเพลง ปล่อยเพลง เดินสื่อ 1 วัน ทุกอย่างคือสเตปเดียวกัน แล้วก็คือไม่ได้มีอีเวนต์เหมือนเดิม

เราก็เลยเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแล้ว เพราะคิดว่าไม่เวิร์กแล้ว ตอนนั้นไม่ได้ทำเพลงด้วย ไม่ได้โปรดิวซ์เพลงด้วย ไม่ได้มีความรู้หรือทำอะไรด้วยตัวเองเลย ก็เลยตัดสินใจว่าจะเลิกร้องเพลง เลิกเล่นดนตรี

คุณพ่อทำธุรกิจครับ เจฟก็เลยไปทำงานกับคุณพ่อครับ แล้วก็มีธุรกิจที่ตัวเองคิดเองด้วยครับ บินไปขายที่เมืองจีน เปิดบูธขายที่นั่นเลย แล้วก็กลับมา แต่ในใจรู้สึกตลอดนะว่าไม่ใช่ทางเลย มันอาจจะใช่ในอนาคต แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ มันยังฝืนอยู่ เราฝืนด้วย ทำคนเดียวด้วยครับ เราฝืนเพราะเรารู้ว่าเราต้องหาทางรอดอื่นครับที่เราต้องอยู่รอดให้ได้

แล้วพอมันถึงจุดหนึ่ง มันฝืนมากๆ เราก็ไม่อยากทำ ตอนนั้นช่วงนั้นผมรู้สึกว่าเราต้องทำงาน เพราะว่าถ้าเราไม่ทำงาน เราจะกลายเป็นคนที่เฟล คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คนที่ว่างงานอะ ผมไม่อยากเป็นคนแบบนั้น เพราะเรารู้สึกว่าตัวเราพิเศษมาโดยตลอด

แล้วตอนนั้นผมใช้ชีวิตแย่มาก ถ้าสมมติว่าผมจะดูซีรีส์เรื่องหนึ่ง ผมรู้สึกว่าอันนี้ดูเพราะว่าเรื่องงาน ในซีรีส์จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำ คิดว่าเราดูเพราะว่างาน ไม่ได้ดูเพราะว่ามันสนุก แล้วมันรู้อยู่แล้วอะ ทำไมเราต้องแบบอย่างนี้วะ แล้วอยู่บ้านต้องอ่านหนังสือ เพราะว่าเดี๋ยวดูว่าไม่ทำงาน เอาหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจมาอ่าน มันเลยกลายเป็นว่า เป็นสิ่งที่ต้องทำ”

เจฟ บอกว่า วันที่ตัดสินใจออกมาทำงานอย่างอื่น มันไม่เครียดเท่าไหร่ เพราะงานที่ทำก็ยังพอไปได้ แต่มันทรมานมาก เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ชอบ

“คือเราไม่ได้เครียดหรอก แค่รู้สึกว่ามันขัดแย้งกับตัวเอง มันไม่เครียดแต่มันทรมาน (หัวเราะ) ว่าทำไมเราถึงเป็นคนอย่างนี้วะ ทำไมเราถึงเฟลอย่างนี้วะ ทั้งๆ ที่แบบผมเป็นคนที่ทำอะไรทำสุด เช่นว่า ตอน ม.ต้น เรียนได้ 0.91 แต่ถ้าผมทำจริงๆ เช่น ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เรียนการเงิน ซึ่งไม่เกี่ยวกับอะไรที่ถนัดเลย ไม่รู้เรื่องเลย แต่ผมเรียนได้เกรดเฉลี่ยน 3.69 ซึ่งก็คืออยู่ในเกณฑ์ที่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 คือผมน่ะทำได้เว้ย แต่พออยู่ในจุดนี้จริงๆ ทำไมมันทำไม่ได้วะ มันก็เลยเฟลจัด”

จุดเปลี่ยนที่ทำให้กลับมาร้องเพลงอีกครั้ง

จากคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการทำเพลง อาศัย Google ศึกษาด้วยตัวเอง กระทั่งเพลงแรกที่ทำเองได้รับรางวัล

“พอหลังจากนั้นเราเจอพี่ป๊อบ ซึ่งในตอนนี้เป็นผู้จัดการส่วนตัวด้วย ตำแหน่งเขาเป็นหัวหน้าของโปรเจกต์ Warper ด้วย ซึ่งเขาจะช่วยพัฒนาทักษะของผมในด้านต่างๆ เรื่องเพลง เราเจอเขาในงานที่บังเอิญมากๆ คือจริงๆ แล้วต้องมีคนหนึ่งไปร้องเพลง แต่ว่าเขาให้ผมไปแทน ก็เลยไปเจอเขาที่นั่น พี่ป๊อบเขาเป็นเพื่อนพี่แคท (แคทลียา อิงลิช) แล้วเขาก็ชวนไปทำโปรเจกต์ชื่อ Warper เราก็ไปลองทำดู โดยที่ไม่รู้ว่ามันคือโปรเจกต์อะไร 

ก็กลายเป็นว่าเขาให้โอกาสเราได้เล่นหนังสั้นก็คือเรื่อง HE SHE IT ที่ได้รางวัล แล้วก็ได้ทำเพลง โปรดิวซ์เพลงประกอบเรื่องนี้ ซึ่งตอนนั้นก็ทำเพลงไม่เป็น เพราะเราร้องมาตลอด เราก็เริ่มเสิร์ชดูว่าทำเพลงยังไง ต้องใช้โปรแกรมยังไง มีอะไรบ้าง ก็ซื้อมาที่บ้าน พอดีมันมีห้องที่น้องใช้ซ้อมทำดีเจอยู่แล้ว ก็เลยไปใช้ห้องนั้น แล้วก็ทำห้องให้เป็นสตูฯ ก็เริ่มทำเพลงเลย

ก็กลายเป็น 1 เพลง เพลงแรกของ เจฟ ก็คือเพลง Comedy ที่โปรดิวซ์เองทั้งหมด เขียนเนื้อเอง ภาษาอังกฤษ ทำเองหมดเลย เพราะไม่รู้เขาทำกันยังไง ก็เลยออกมาเป็นเพลงนั้น แล้วเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่… มันไม่ใช่เพลงที่แย่นะครับ

คือมันโชคดีตรงที่ว่า เพลงนี้เป็นเพลงที่เราภูมิใจด้วย กลับไปทุกครั้งรู้สึกว่าเป็นเพลงที่ดีในทุกๆ องค์ประกอบอะ ก็คือชมตัวเอง แต่ว่ามันดีจริงๆ เพราะว่าเนื้อหา ดนตรี มันลงตัวมากๆ และเรารู้สึกว่าเป็นงานชิ้นแรกที่เราภูมิใจจริงๆ แล้วมันก็ไปติดอันดับที่ไต้หวัน อินโดนีเซีย เลยทำให้เรารู้ว่า เราทำได้นี่หว่า มันเลยทำให้แพชชั่นของเรากลับมา เรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรากลับเข้ามาทำงานเพลงอีกครั้ง”

แล้วที่ผ่านมาคือผมไม่ชอบการแสดงเลย แม้กระทั่งการเล่น MV เพลงของเราเองให้กับค่ายค่ายหนึ่ง ผมก็ให้คนอื่นเล่นแทน เพราะว่าผมไม่ชอบการแสดงจริงๆ ตอนที่เขาชวนมาเล่นหนังสั้น ผมทำก็ได้ ทำทุกอย่าง จนไม่รู้จะทำอะไรแล้วชีวิตนี้ มีงานให้ทำก็ทำไป หลังจากนั้นก็เริ่มทำมาเรื่อยๆ แล้วก็เรื่อง HE SHE IT ก็ได้รางวัลเหมือนกัน ได้ RISING FOREIGN COUPLE OF THE YEAR 2020 จาก VOICE POINT 2021 ประเทศฟิลิปปินส์

คือได้โอกาสมาเราก็ทำตลอด แต่ไม่ใช่ว่าเราทำแบบเป็นใครก็ไม่รู้นะ สุดท้ายแล้วผลงานที่เราทำอย่างเพลง ก็คือเป็นตัวเรา”

ในวันที่เดินเข้ามาเสนอตัวให้ค่ายเพลง

หลังจากที่กลับมาเข้ามาทำเพลง เจฟ ก็ได้เป็นศิลปินอิสระ ทำเพลงประกอบซีรีส์มาตลอด กระทั่งตัดสินใจมองหาค่ายเพลง เพื่อเข้ามาเป็นนักร้องในสังกัด สุดท้ายก็เลือก ค่ายวอร์นเนอร์ มิวสิค 

“จริงๆ ทำเยอะมาก ก่อนที่จะโปรดิวซ์เพลงตัวเอง เพราะว่าตอนนั้นเราไม่ได้อยู่ค่ายด้วย เป็นอิสระ แล้วก็ได้ไปเจอกับซีรีส์ที่เขาอยากให้เราไปเล่น ไปเล่นซีรีส์เรื่องไหน ก็โปรดิวซ์เพลงให้เรื่องนั้นตามโอกาสครับ เพื่อฝึกตัวเองในการโปรดิวซ์เพลงด้วย เพราะการโปรดิวซ์เพลงละคร มันต้องใช้องค์ประกอบหลายเรื่อง

เราจะมี Reference ที่เขาอยากได้ แต่ปัญหาคือมันอาจจะไม่ใช่ตัวเรา เราทำยังไงให้อันนั้นออกมาเป็นตัวเรามากที่สุด โดยที่ยังมีกลิ่นบางๆ ของ Reference ที่เขาให้มา มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่สอนเรามา จนเรารู้สึกว่าเราพร้อมทำซิงเกิลของตัวเองแล้ว เพราะว่ามันมีหลายๆ เรื่องที่อยากจะเล่าเนอะ ไม่ใช่เล่าผ่านละครหรือซีรีส์ มันเป็นเล่าผ่านตัวเรามากกว่า

ตอนนั้นคุยกับพี่ป๊อบว่าเราจะมาคุยกับค่ายหนึ่งที่เขารู้สึกว่าเคมีมันได้กับเรา ก็เลยไปดูเพลย์ลิสต์ว่าเราฟังเพลงใครบ้าง หลายๆ คนที่อยู่ วอร์นเนอร์ มิวสิค (Warner Music Thailand) ก็เลยมาคุยกับที่นี่ดู รู้สึกว่าที่ วอร์นเนอร์ มิวสิค นี่แหละ พี่ป๊อบก็ถามว่า ถ้าสมมติมีโลโก้นี้อยู่บนหน้าเรา โลโก้ไหนที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรา

ก็รู้สึกว่า วอร์นเนอร์ น่าจะใช่ ก็มาคุย รู้สึกว่าทั้งพี่คาร์ล (นิทัศน์ คงขำ) ที่เป็น CEO กระทั่งพี่ๆ ทีมงาน คือทุกคนดูเป็นอาร์ติสต์หมด คือเราดูแฮปปี้ในการทำงาน มีความสุขในการที่จะทำศิลปิน ผมได้คุยกับหลายๆ คน แอตติจูดเขาดีมาก

หลายๆ คนอาจทำเพราะว่าไม่มีทางเลือก แต่นี่เขามีทางเลือกของเขา เขาเลยมาทำ ผมรู้สึกว่าความฝันของเขาได้เห็นคนคนหนึ่งรับผิดชอบในความฝันของตัวเอง แล้วก็มีคนที่รักเขามากมาย ประทับใจมาก ก็เลยได้มาร่วมงานกับค่ายนี้”

ในวันที่ เจฟ ปล่อย  (Jeff Satur) ซึ่งเป็นซิงเกิลเดี่ยวแรกของเรา เห็นบอกว่าเป็นสิ่งที่อัดอั้นมานาน แล้วไม่เคยจะได้พูดอะไร มันคืออะไร

“คือมันมีหลายอย่าง ผมไม่ได้มีด้านเดียวคือด้านเศร้าคือเพลงช้า คนมองว่าผมต้องร้องเพลงเศร้าตลอด Highway ก็เลยออกมาเป็นเพลงที่คนละด้านเลย แล้วก็หลายๆ เรื่องที่เราเจอมา หลายเรื่องที่เราเฟล รู้สึกว่ามันไม่มูฟออนสักทีจากจุดเดิม

การคาดหวังจากคนอื่นที่เรามองว่าเขาจะมองยังไง แล้วเราต้องทำตัวแบบไหน งานเราต้องแบบไหน เมื่อก่อนเป็นหนักมากถึงขั้นที่ว่าไม่เอาไม่ทำ จนไม้ได้ทำอะไรเลย แต่ตอนนั้นคือช่างมัน ทำในสิ่งที่คิดว่าเราใช่ ต่อให้มันมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามา เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เราสามารถทำให้มันเป็นตัวเราได้ แค่ตัวเราต้องเฟิร์ม ต้องแข็งแรงในวินาทีนั้น ก็คือลุยเลย ทำเลย เหมือนขึ้น Highway จนกว่าจะถึงจุดหมาย

ตอนนั้นและตอนนี้มันคือ เจฟ ซาเตอร์ (Jeff Satur) มันคือคนที่เปลี่ยนไปจากเดิมแล้วในทุกๆ ด้าน เราอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นด้วยที่เขาเจอแบบเรามา ที่เขากดดันตัวเอง ไม่ได้รักตัวเองมากพอ ที่เขาทิ้งแพชชั่นตัวเอง อยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนเหล่านั้นด้วยชีวิตของเรานั่นแหละ เลยเขียนเพลงนี้ขึ้นมา แต่วันที่ปล่อยซิงเกิลเดี่ยวออกมา คนก็ยังไม่รู้จักเรามากเท่าไหร่ แต่ก็มีประมาณหนึ่ง”

การทำงานเพลงของตัวเอง เดินทางมาถึงเพลงที่ 4 แล้ว กับเพลง แค่เงา (Hide) กระแสการตอบรับดีมาก ยอดวิว 1 ล้าน ไม่ใช่ทำให้เพลงดีขึ้น แต่มันคือจำนวนคนฟังเพลง ที่ได้ไปเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนฟังได้

“เพลง แค่เงา (Hide) เป็นการแต่งร่วมกันกับ BILLbilly01 (บิลลี่ Tilly Birds) แล้วก็ Chamil Arin และ BABEPOOM ครับ แต่งกัน 4 คน คือเป็นการนั่งคุยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเหมือนเป็นโรงงานนรก 4 คน เพราะว่าไม่ปล่อยให้กลับบ้านสักที (หัวเราะ) ตั้งแต่บ่ายโมงถึงตี 1 ครับ ต้องให้เสร็จวันนั้นเลย คุยคอนเซปต์ นั่งเขียน นั่งตบให้เข้าที่ ให้เสร็จวันนั้นเลย

จริงๆ เนื้อหาเพลงเหมือนเป็นเพลงรักเขาข้างเดียว อยู่ตรงนี้ก็ได้ โดยที่เขาไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่จริงๆ ลึกๆ ลงไปอะไรที่มีความสุข แล้วไม่เดือดร้อนใคร ทำไปเถอะ ไม่จำเป็นว่าเขาจะมองหรือไม่มองเรา ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความสุขที่อยู่ตรงนั้นมั้ย การรักข้างเดียวอาจจะเป็นความสุขก็ได้ โดยที่เขาอาจจะไม่ได้รักตอบ แต่การที่เห็นเขาเป็นแสง แล้วเราเป็นเงาที่อยู่ข้างล่าง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขามองมา อาจจะเห็นเราตลอด แต่เราเห็นเขาตลอดอยู่แล้ว”

“ผมรู้สึกดีใจทุกครั้งที่มีคนสนใจผลงานเรา คือที่ดีใจที่สุดคือการได้อ่านคอนเมนต์ของพวกเขา จริงๆ เพลงนี้ยอดสตรีมค่อนข้างเยอะ แต่ว่าจะเป็นเฉลี่ยจากหลายๆ ประเทศ แล้วเพลงมันเป็นภาษาไทย เขาก็ชื่นชอบกัน ผมว่าดนตรีมันไม่มีขีดจำกัดจริงๆ มันทำให้เขารู้สึกแค่นั้นก็พอ แล้วดีใจที่มันได้กระจายไปสู่คนหลายคน 

ยอด 1 ล้านวิว ไม่ใช่แค่ยอดล้านวิวแล้วมันทำให้เพลงมันดีขึ้น แต่ว่าล้านวิวมันคือจำนวนของคนฟังแล้วเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาในทุกๆ วัน มันทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นก็โอเค”

อย่าให้ยอดวิวมาจำกัดคุณค่าของเพลง

“ตอนนั้นจำได้ว่า Highway อยู่ประมาณแสนนิดๆ ตอนนั้นน้อย ไม่ได้เยอะมาก (ในใจเรารู้สึกยังไง?) ผมไม่แคร์ (หัวเราะ) คือเราเลยจุดนั้นมาแล้วไง เราเลยจุดที่เราเคยแคร์ว่าเพลงต้องกี่วิว เมื่อก่อนล้านวิวก็โอเค ประมาณนี้อยู่แล้ว เพลงเราปล่อยมาก็ล้านวิวอยู่แล้ว เพลงเราปล่อยออกมาสมัยอยู่ค่ายแรกก็ประมาณ 13 ล้านวิว

คือเราเคยรู้สึกว่าต้องเท่าไหร่วะ เขาถึงจะรู้จักเรา ต้องกี่วิววะ 5 ล้านวิว 13 ล้านวิว ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน แสนหนึ่ง ล้านหนึ่ง ค่าเท่ากัน ก็เลยอย่าให้ยอดวิวมันมาจำกัดคุณค่าของเพลงดีกว่า คุณค่าของเพลงมันอยู่ในตัวเพลงแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคนฟัง ฟังแล้วรู้สึกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้เขา มันก็ตอบโจทย์ของเพลงแล้ว ตอบโจทย์ของงานเจฟแล้ว”

“(สไตล์เพลงของเราดูมีลายเส้นของตัวเอง สไตล์ของ เจฟ เป็นแบบนั้นมั้ย?) เจฟว่าสไตล์เจฟมันคือ… เนี่ย เวลาทุกคนถามว่าแนวเพลง สไตล์ของเราเป็นยังไง ตอบไม่ได้ แค่ตอบได้ว่า มันคือสไตล์ Jeff Satur มันคืออบอุ่น หวานๆ มั้ย แล้วแต่เพลง แล้วแต่เรื่องที่เล่า

ถ้ามันเป็นเรื่องเล่าที่มันแย่มากๆ มันก็จะเป็นอีกโทนหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับเพลงเลย ถ้าสนุกสนานมากๆ ก็จะไม่ได้อบอุ่นขนาดนั้น มันคือสไตล์ Jeff Satur แต่กลิ่นต่างๆ มันขึ้นอยู่กับมุมที่เราเล่า แล้ว เจฟ ว่ามันคือความฝันของศิลปินแหละ ที่แม้ว่าเราจะทำเพลงออกมาคนละแนว แต่ทุกคนรู้ว่ามันคือเพลงของเรา”

“จริงๆ แล้วเป็นเด็กครับ เป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่ (หัวเราะ) รู้สึกตลอดว่าตัวเองเป็นเด็ก แล้วทุกครั้งที่มีรุ่นน้อง จะไม่รู้สึกชินกับการเรียกว่าพี่ เจฟก็เลยแทนตัวเองว่า เรา ทุกครั้ง เพราะเรารู้สึกว่าเราก็เด็กอะ และเราก็ไม่ได้มีความเป็นผู้ใหญ่ไปกว่าเขาหรอก และเรายังมีความกระตือรือร้น ความสนุก ความโบยบินแบบเด็กๆ ที่ไปเจออะไรน่าสนุก เราก็อยากลอง นี่ยังอยากลองไปปั้นเซรามิกอยู่เลย”

“จริงๆ ผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงนะ แต่ว่ามันมีด้านหนึ่งของเราที่ชอบเฮฮา ชอบปาร์ตี้เหมือนกัน เข้ากับคนได้ง่าย ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่มันเป็น 2 ด้าน มันขึ้นอยู่กับเวลา แต่ตัวเราจริงๆ เป็นเด็กคนหนึ่งที่เราอยากทำอะไรเราก็ทำ คือเรารู้ไงว่าข้างในเราไม่ได้เป็นคนที่แย่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดจากเรา คำที่เราพูด มันก็ไม่มีอะไรเกิดจากสิ่งไม่ดี เพราะว่าเราเป็นเด็กดี (ยิ้ม)”

มองว่าทุกคนบนโลกควรเรียนรู้ด้านการเงิน 

ถึงจะเป็นนักร้อง นักดนตรี แต่ เจฟ ซาเตอร์ เลือกที่จะเรียนทางด้านการเงินการลงทุน เพราะงานด้านดนตรีเป็นสิ่งที่ถนัดอยู่แล้ว เรื่องการเงินการลงทุนและภาษี เป็นสิ่งที่ทุกคนควรรู้  

“เจฟเรียนการเงินการลงทุนครับ คือตอนแรกเรียน Vocal jazz ที่ ม.รังสิต ก็สอบเข้าไป คือชอบมากได้เรียนร้องเพลง แต่เรารู้สึกว่าไม่ค่อยโดน ก็เลยออกมาเรียนการเงินเลย

คือตอนนั้นเราเป็นศิลปินเดี่ยวด้วย เลยให้การร้องเพลงมันเป็นอาชีพ เราไปเรียนอย่างอื่นดีกว่ามั้ย เพราะว่าเราเป็นศิลปินอยู่แล้ว ก็เลยไปเรียนอย่างอื่นแทน ก็เลยไปเรียนการเงิน เผื่อช่วยคุณพ่อในการทำธุรกิจ

รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ เพราะว่าผมรู้สึกว่าคนทุกคนบนโลกนี้ ควรเรียนรู้ด้านการเงิน ด้านภาษี ควรจะเป็นหลักสูตรตั้งแต่ตอน ม.ปลาย ด้วยซ้ำ การลงทุน เราไม่ควรมีเงินเก็บ ควรเอาไปลงทุน เจฟว่าทุกคนควรจะรู้เรื่องนี้”

“ที่บ้านเจฟทำธุรกิจ คุณพ่อเขาทำธุรกิจเป็นหลัก ถามว่าเขาคาดหวังไหม คุณพ่อก็คาดหวังอยู่ (หัวเราะ) แต่ทุกอย่างมันมีเวลาของมัน จริงๆ บ้านมีลูกชาย 3 คน ลูกสาว 2 คน บ้านเจฟมีพี่น้อง 5 คน เจฟเป็นลูกคนที่ 2  จริงๆ เราช่วยกันดูได้แหละ เพราะว่าเราจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่เราอยากทำ ตอนนี้คุณพ่อก็ดูเป็นหลักอยู่ครับ อย่างน้องชายเจฟเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ ทำเครื่องประดับ ทำเสื้อผ้าด้วย”

“(สไตล์การแต่งตัวของเรา เหมือนเป็นแฟชั่นนิสต้า?) จริงๆ ไม่รู้ว่าเรียกว่าแฟชั่นนิสต้าได้มั้ย แต่เราชอบด้านการแต่งตัว จริงๆ ชอบอะไรที่มันเป็นศิลปะ เสื้อผ้ามันก็คือศิลปะ ผมชอบดูแฟชั่นของดีไซเนอร์อย่าง Chanel หรือ Dior ชอบฟังมาก ชอบดูมาก แล้วพอเหมือนมันอินมากๆ มันก็เลยอยากจะดูว่างานที่เขาทำมันเป็นแบบไหน พอไปดูก็ได้ไอเดียในการแต่งตัวมากมาย ผมก็เหมือนเด็กคนหนึ่งที่มันมีอะไรให้เล่นมากมายจากเรื่องที่เราชอบ”

อย่าทิ้งความเป็นตัวเอง

เมื่อเราถามว่า การเดินทางตลอด 8 ปีที่ผ่านมา สอนอะไรบ้าง เจฟบอกว่า “จริงๆ มันสอน… ถ้าให้พูดวันเดียวก็คงจะไม่หมด แต่ว่ามันสอนให้เราอย่าทิ้งความเป็นตัวเอง มันสอนให้เราเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้น แต่อย่าเป็นคนอื่นครับ”

รับบทเด่นใน KinnPorsche The Series 

เจฟ ได้มีโอกาสเข้ามาเล่น KinnPorsche The Series เรียกได้ว่าซีรีส์เรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวจุดชนวนที่ทำให้คนเริ่มรู้จักมากกว่าเดิม

“ก็คือหลังจากที่เปิดใจเรื่องการแสดงมา เราก็ได้แสดงหลายๆ เรื่อง เรารู้สึกว่าเราชอบเรื่องการแสดงมากๆ มันพาเราไปในที่ถ้าในชีวิตจริงเราคงไม่ได้ไปครับ จริงๆ เราเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้ว เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะมาเป็นคนคนนั้นในจอ คืออย่าง คินน์พอร์ช เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เลยไปนั่งอ่านนิยาย น่าสนใจดี รู้สึกว่าเป็นพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ เข้มข้น และสะท้อนอะไรในสังคมบางอย่าง 

เลยลองไปแคสต์ดู แล้วก็ไปแคสต์ในบทที่ไม่ใช่เราเล่นในตอนนี้ เขาคิดว่าเราน่าจะเหมาะกับบทนี้ เพราะมันเป็นบทลูกครึ่ง เลยลองแคสต์ดู แล้วเขาก็เปลี่ยนบทที่เป็นลุคเอเชียให้ผม ซึ่งเขาไม่ได้ระบุว่าเราต้องหน้าแบบไหน อยู่ที่ว่าคุณเป็นตัวละครนั้นๆ รึเปล่า เลยได้มาเล่นบท คิม

เพราะก่อนหน้านี้ผมเจอแบบนี้มาหลายรอบแล้ว ไม่ได้เพราะบทต้องเป็นเอเชียเท่านั้น หลายครั้งมากที่โดนปฏิเสธเพราะแบบนี้ ผมเคยไปแคสต์พวกโฆษณา ระหว่างที่เล่นเรื่อง ingredients เสร็จ ก็มีไปแคสต์หลายเรื่องเหมือนกันครับ แต่โดนปฏิเสธทุกครั้ง ด้วยความสูงที่ไม่ถึง 180 ซม. หน้าไม่ตี๋ หน้าไม่แมส ก็เจอมาตลอด

แต่เรื่องนี้เขาไม่ได้มองภายนอกเลย มองฝีมือการแสดง มองความรู้สึกมากกว่า แล้วตอนนั้นนักเขียนเขาเข้าไปดูด้วย ตามความรู้สึกของเขามากกว่า”

“จริงๆ ซีรีส์เรื่องนี้ก็ช่วยเปลี่ยนชีวิตเราส่วนหนึ่งเลย เป็นอะไรที่ทำให้หลายๆ คนได้มารู้จักเรา และมารู้จักงานเพลงเราครับ เป็นส่วนที่สำคัญเลยครับ”

ความพยายามที่ไม่สูญเปล่า 

“ใช่ครับ มันดีมากนะ ที่เขารู้จักเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแสดง หรือเพลงก็ตาม อย่างน้อยได้มารู้จักเราก็ยังดี ผมรู้สึกดีมากนะ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันนะ การแสดงมันคือการเล่าเรื่องผ่านภาพ

พอเขาได้เข้ามาอยู่ในลูปของ Jeff Satur ก็ได้มารู้จักเราทุกมุม แล้วอย่างที่บอก ความฝันของเราอยากมอบแรงบันดาลใจให้เขามีชีวิตที่ดีในทุกวัน ตื่นมาฟังเพลงของเรา ดูซีรีส์ที่เราเล่น มันอาจจะมีวันที่ดีขึ้นกว่าเดิมที่เขาเคยมี แค่นั้นมันก็ดีมากแล้วครับ”

“ดีใจ ดีใจมากๆ การที่ได้ไปคอนเสิร์ต ได้ร้องเพลงกับพวกเขา มันเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลยครับ มันตื้นตันมากๆ ผมพูดไปแล้วจะร้องไห้ (ยิ้ม) (เรียกว่าเริ่มต้นจาก 0 จริงๆ?) ใช่ แล้วเราเห็นคนค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกขอบคุณพวกเขาที่เข้ามาติดตาม

สิ่งที่เราอยากจะบอกก็คือเราได้แรงบันดาลใจจากเขามากๆ เลย ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าได้จากเรา มันเป็นการให้และรับต่อกัน คือศิลปินและคนที่ติดตามมันเป็นการอยู่กันแบบเหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้กันและกัน เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตต่อวันได้มีความสุข เหมือนความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของเราไม่สูญเปล่าครับ”

“ส่วนครอบครัว โอ้โห แม่ดีใจมาก ถ้าไปทุกคอนเสิร์ตได้ แม่ก็จะไป ไปดู แล้วเขาภูมิใจ ส่วนคุณพ่อก็เวลาจะไปร้านอาหาร แล้วก็จะแบบให้พนักงานเปิดเพลงผม (หัวเราะ) นี่ลูกชายฉันเป็นนักร้อง ซึ่งเขาทั้ง 2 คนก็ไม่เคยปิดกั้นเราเลยครับ

คือเขาอาจจะไม่ได้พูดว่าเขาภูมิใจ แต่การกระทำของเขามันบ่งบอกว่าเขาภูมิใจ อย่างในวันที่เราไปเล่นคอนเสิร์ตครั้งแรก แล้วไม่มีคนมาดู มีแต่พ่อแม่มายืนพร้อมช่อดอกไม้ คือเขาก็ให้กำลังใจเรา เหมือนทุกวันนี้ก็ยังให้กำลังใจเหมือนเดิม เขาบอกทำไปลูก เขาคือปล่อยเลย ไม่ได้ปิดกั้นเรา เราอยากทำอะไรทำเลย”

ฝากผลงาน

“มีเพลง แค่เงา (Hide) ครับ เป็นซิงเกิลที่ 4 เป็นเพลงคนคลั่งรักนั่นแหละ เหมือนที่เขาเรียกกัน สามารถฟังได้ในสตรีมมิงทุกช่องทาง ในยูทูบของ Jeff Satur ก็จะมีเบื้องหลังการทำงาน แล้วก็คอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ในนั้นครับ แล้วก็จะมีซิงเกิลที่ 5 ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ด้วยครับ และมีเพลงที่เราทำโปรเจกต์กับเพื่อนศิลปินหลายๆ คน รอติดตามได้ครับ

แล้วก็ฝากติดตามซีรีส์ KinnPorsche The Series ด้วยครับ และ เจฟ กำลังจะมีละครเวทีด้วยครับ เป็นการแสดงบอกเลยว่ายากมากครับ เพราะมันไม่มีไมค์ครับ แสดงในห้องใหญ่ ใช้เสียงเพียวๆ เลย แต่ทักษะการร้องเพลงมันช่วยให้เราใช้เสียงได้ง่ายกว่า ช่วยในการพูดบทด้วย ก็จะยากนิดนึง

ส่วนคอนเสิร์ตใหญ่จริงๆ ตอนนี้เราหวังว่าเราอยากทำอัลบั้มของเราให้ครบ 1 อัลบั้ม แล้วทำคอนเสิร์ต เพราะตอนนี้เพิ่งจะมีเพลงตัวเองแค่ 4 เพลงเอง แม้จะมีเพลงประกอบละครออกมาหลายเพลง แต่ก็อยากให้เพลงเราเป็นส่วนมากที่ได้เล่นมากกว่า”

“แต่ล่าสุด ผมได้ขึ้นมินิคอนเสิร์ตบ้างแล้วครับ The Stage Symbol I Concert เป็นโชว์ครั้งแรกของผมที่ธรรมศาสตร์ ตื่นเต้นมากครับ หัวใจจะวายตาย ใจเต้นแรงมาก ตื่นเต้นมาก แพทริค (Patrickananda) เดินเข้ามาบอกว่า มันไม่เคยเล่นคอนเสิร์ตที่คนดูเรามากมายขนาดนี้ แล้ววันนั้นเขามาดูเรา เหมือนเชียร์เรา เอ็นจอย ก็เป็นการดีไซน์โชว์ที่ผมดีไซน์เอง” 

ล่าสุดที่ไปคลื่นวิทยุ มีแฟนๆ มารอเรา ใจฟูมั้ย

“ใจฟูมาก เราขอบคุณทุกคน เพราะเราเห็นบางคนมาจากต่างจังหวัด บางคนเป็นคนต่างชาติบินมาจากต่างประเทศเพื่อจะได้มาเจอเรา คือเราใจฟูมาก ขอบคุณที่มา คือมันมีความหมายมากนะสำหรับผมในทุกวันที่ได้มา คือต่อให้เขาอยู่ไกลๆ หรือดูผ่านอะไรมา มันมีความหมายหมด ผมก็แอบปัดทวิตเตอร์ดูตลอด ว่าเป็นยังไงบ้าง”

ยังโสดโสดอยู่ตรงนี้

ก่อนจากกัน เจฟ ก็ได้แง้มเรื่องสถานะหัวใจของตัวเองในตอนนี้ว่า ยังโสดนะครับ

“คือตอนนี้ด้วยความที่งานมันล้นมาก ผมทำงาน 7 วัน 24 ชม. แบบที่ผมอยากทำจริงๆ อย่างปีที่แล้วมันยังได้มีเวลาหยุดอยู่บ้านบ้าง แต่มาปีนี้ได้ทำงานแบบทุกวันจริงๆ ไม่ได้เล่นฟิตเนสมา 2 อาทิตย์แล้ว คือทุกวันนี้ทำเพลง ทำงาน ชีวิตผมมีแค่นี้เลยอะ แต่มันสนุก คือผมชอบทำงานอยู่แล้วไง แล้วงานที่ทำก็เป็นสิ่งที่ผมชอบอยู่แล้ว เพราะเราเคยอยู่ในจุดที่เคยดูซีรีส์แล้วกดดันมาก่อน มาตอนนี้เราก็สามารถดูซีรีส์ได้อย่างสบายใจ

เวลาว่างจริงๆ แบบไปเที่ยวข้างนอก ไม่มีเลยครับ เพราะถ้าได้พักจริงๆ ก็อยากอยู่บ้าน แล้วเจฟไม่ใช่คนที่เดินห้างคนเดียว ถ้ามีเวลาก็คืออยู่บ้าน ไปเก็บหนังที่ชอบ เพราะเจฟชอบดูหนัง อ่านนิยาย ชอบอ่านหนังสือ อย่างที่บอกผมโลกส่วนตัวสูง ชอบอยู่บ้าน การพักผ่อนที่ดีคือการพักผ่อนหลังจากการทำงานครับ”.

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun , Varanya Phae-araya

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2418102
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2418102