“ พลพล พลกองเส็ง” คัมแบ็กเพลงใหม่ในรอบ 2 ปี เพิ่มสีสัน โลกเปลี่ยน มองใหม่


ให้คะแนน


แชร์

เริ่มจากคัมแบ็กครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง คำว่า 2 ปีกับเพลงใหม่มีความลุ้นตื่นเต้นแค่ไหน?

“จริงๆผมอยากได้บรรยากาศการไปเดินสายโปรโมตสัมภาษณ์ ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศได้พบปะกัน ทำให้เราตื่นเต้นเหมือนกัน ช่วงโควิด-19 ก็แยกย้ายกันทำมาหากิน ร้องเพลงผ่านทางออนไลน์ให้แฟนๆฟัง แล้วก็ขายปลาร้าสับ ยาสีฟัน ตอนนั้นได้นั่งระบายคุยกับแฟนๆ ได้มีเวลาคิดเพลงใหม่ ได้มีเวลาพิจารณาว่าเราจะทำเพลงยังไง จะทำเดี่ยวหรือฟีเจอริง มีเวลาคิดว่าจนกว่าสถานการณ์ปกติแล้วเราค่อยทำเพลง จนได้ไอเดียว่าเราฟีเจอริงดีกว่า เพลงที่เปิดตัวมาอาจจะต้องมีอะไรใหม่หน่อย มีความว้าว เลยนึกถึงและคุยกันเรื่องเพลง เป็นเพลงแรกที่ทีมเพลงและทีมเอ็มวีคุยกันพร้อมกันเลย เลือกคนฟีเจอริง ลงตัวที่ โจอี้–ภูวศิษฐ์ ซึ่ง โจอี้ เป็นศิลปินร้องเพลงอีสาน แร็ปอีสานได้ เล่นเครื่องดนตรีเก่ง ซึ่งเราอยากให้มีในเพลง บรรยากาศคลาสสิกหน่อย ย้อนยุคนิดๆ เพลงน้อง “ดวงเดือน” เพลงพี่ “เดือนหงาย” แล้วกัน เลยเป็นเรื่องราวที่สอดคล้องกัน เพลงนี้ถ่ายทอดอารมณ์ของคนอกหักที่ยังลืมคนรักเก่าไม่ได้ ยิ่งในค่ำคืนเดือนหงายที่เหมือนยิ่งจะตายเพราะความคิดถึง ผ่านภาษาที่สละสลวยโดนใจ และดนตรีป๊อปร่วมสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายความเป็นไทยแบบใหม่ๆ”

เป็นเพลงแนวใหม่สำหรับพลพล?

“ใช่ครับ ใหม่มากสำหรับผมและทีมงาน ก่อนหน้านี้เวลาปล่อยเพลงใหม่ก็จะมีแค่จังหวะที่เร็วขึ้น สนุกขึ้น ได้โยกกันบ้าง แต่เดือนหงายคือใหม่หมดเลย ความรู้สึกใหม่ แนวเพลงกลิ่นใหม่ แถมยังมีท่อนแร็ปอีสานใส่เข้ามาในเพลงด้วย คิดว่าถ้าแฟนคลับได้ฟังก็จะรู้สึกเฮ้ย พลพลมีเพลงแนวนี้ด้วยเหรอ”

ฟีดแบ็กเพลง “เดือนหงาย” เป็นไงบ้าง?

“น่ารักมากครับ พอปล่อยเพลงนี้ไปคอมเมนต์ที่เราได้รับมันมีความสุข ร้อยคอมเมนต์แรกวันแรกเรายิ้มเลย ค่อยๆอ่านไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ดีหมด ทำให้เรามีกำลังใจในการทำงาน พอทำแล้วได้รับคอมเมนต์เช่นว่า คิดถึงเสียงแบบนี้จัง เพลงดีเนื้อหาดี ฝั่งน้องโจอี้ก็ดีใจแต่แม่ดีใจมากกว่ามันก็เป็นความสุขอีกแบบนึง”

แฟนๆ พลพลดั้งเดิมเราว่ายังไงบ้างกับเพลงนี้?

“เค้าชอบกันนะครับ ก็เปิดโลกทัศน์คนยุคที่ฟังเพลงพลพล เป็นวัยทำงานโตแล้ว กลายเป็นเปิดรับได้กว้างขึ้น จะคอมเมนต์เป็นห่วงเรื่องครอบครัวใช้ชีวิต ห่วงทรงผมมากกว่าว่าอยากเห็นพลพล ผมยาวเหมือนเดิม (หัวเราะ)”

การทำงานในห้องอัดเป็นไงบ้าง?

“การทำงานในห้องอัดปกติเราจะผลัดกันมา แต่วันที่โจอี้มาเราก็จะมาให้กำลังใจน้อง คุยกันละลายพฤติกรรมเค้าเพราะเค้าตื่นเต้น เค้าบอกว่านักร้องในตำนานเชิญเค้ามาร้องเพลง แล้วอีกอย่างคือแม่เค้าเป็นแฟนคลับพลพล ชื่นชอบมาก แม่ดีใจกว่าโจอี้อีก คุณแม่อยู่ร้อยเอ็ดทำงานเสร็จก็ถ่ายรูปส่งไปให้แม่ และได้ความรู้สึกว่าเพลงแบบนี้เราก็ไม่ได้ทำกันนานมาก เพลงไม่มีกรอบอยากใส่อะไรลงไปก็ได้ มีความสุข”

โจอี้ขอคำแนะนำหรือพูดคุยกันยังไงบ้าง?

“ก็คุยกันปกติครับ แลกเปลี่ยนกัน ส่วนมากเค้าจะเล่าเรื่องของแม่ให้ฟัง เค้าชอบพี่พลพลมาก จำได้ว่าภาพตอนเด็กๆแม่จูงแขนโจอี้ไปซื้อซีดี เป็นซีดีพี่พลพลและฟังอันนั้นมาตั้งแต่เด็กจนโต”

เพลงของพลพลก็มีอิทธิพลต่อการมาเป็นศิลปินของโจอี้?

“ใช่ครับ แล้วพอ เค้ามาเป็นนักร้องประจำเค้าก็ร้องเพลงพลพลมาตลอด ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาร้องฟีเจอริงกัน เค้าเลยรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก”

การเปิดโลกใหม่ๆ กับการร่วมงานศิลปินใหม่ๆ เติมอะไรให้เราบ้าง?

“เราได้ความรู้สึกว่าเราอยู่แค่นี้ไม่พอนะ เพราะเด็กรุ่นใหม่เก่งมาก เก่งและเร็วด้วย คิดเร็วทำเร็ว อยากทำเพลงอัดเพลงทำเลย สมัยก่อนกว่าจะคิดทำเพลงเป็นปี ไม่ทันเด็กๆแล้ว เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่แล้ว เราก็คิดมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ แต่ถ้าเราทำแบบไม่อยู่ในระบบอาจจะทำให้ทีมงานยุ่งยากและเหนื่อยกับเรา เราก็ทำตามระบบไป เพราะอย่างน้อยเราก็มีเพลงที่เป็นไอดอลให้น้องๆหลายเพลง เราประคองมาตรฐานของเราให้ดีที่สุด แล้วอีกอย่างคือเค้ากระตุ้นเราว่าอย่างน้อยเราต้องร้องเพลงดีกว่าเดิม ถ้าไม่เหมือนเดิมก็คืออย่าแย่ลง อยู่ในสังคมให้มีความสุข ปรับตัวให้ได้เร็ว ถ้าเราคิดอย่างมีความสุขเราก็จะไม่อึดอัดกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ทั้งโลกโซเชียลต่างๆถ้าเราปรับตัวยอมรับอะไรบ้างเราก็อยู่ได้ ถามว่ายุคโซเชียลมันก็มีข้อดีเยอะนะ ปล่อยเพลงวันนี้ได้ฟังพร้อมกันทั่วโลกเลย สมัยก่อนถ้าปล่อยวันนี้อีก 3 ปีจะถึงอเมริกา ตอนนี้คนที่อเมริกาก็คอมเมนต์ได้เลย มันก็เร็วดี ถ่ายทอดได้เร็วขึ้น ข้อเสียคือการจะขายซีดีก็ทำได้ยากแล้ว จะมานั่งรอยอดขายจากซีดีมันไม่มีแล้ว ข้อดีปล่อยแล้วฟีดแบ็กเป็นยังไงเราก็รู้เลย เราก็ปรับตัว ก็เปิดขึ้นเยอะ เมื่อก่อนไลน์ก็ไม่เล่น จนเพื่อนบอกว่าเปิดไลน์เถอะจะได้ส่งงานให้ได้ ไม่มีอีเมลด้วย เลยคิดว่าเราต้องเล่นละ หลังๆก็เริ่มเปิด เล่นไอจี ติ๊กต่อก แต่ก็ไม่ได้เล่นมาก ติ๊กต่อก ก็ไว้แชร์อะไรสนุกๆ”

แพลนการทำเพลงต่อๆไปของพลพล?

“วางแผนปล่อยอีก 1 เพลง ปลายปี เป็นเพลงช้าโดนๆสนุก หรือจะเร็ว ก็กำลังคิดกันอยู่ ดูจากฟีดแบ็กเพลงนี้ ซึ่งจริงๆเพลงนี้ก็เป็นเพลงคาดหวังให้แฟนๆได้หายคิดถึงพลพลหน่อย อย่างน้อยก็คิดว่ามีแบบนี้ด้วย”

วงการเพลงยุคนี้ก็เปลี่ยนไปเยอะมากทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาไวไปไว เรามองยังไง?

“จริงๆแรกๆเลยนะ รู้สึกว่าทำไมน้องๆร้องแบบนี้ ทำไมไม่ร้องเหมือนพวกเรา ตอนหลังเข้าใจว่ามันคือยุคของเค้า ปล่อยให้เค้าได้สนุก และเค้าก็ดังกันมากด้วย เราเองจะไปร้องเหมือนเค้าก็ไม่ได้ จริงๆเราก็ต้องปล่อยให้เป็นทางของเค้า เราก็ยึดของเราให้เป็นมาตรฐานของเราพอแล้ว เริ่มคิดได้ เพลงก็หลากหลายบางทีเราก็ตามไม่ทัน สมัยก่อนออกเทป ปีนึงศิลปินออกคนสองคน เพลงก็ทำงานไป เดี๋ยวนี้เพลงมีเยอะมาก ฟังครึ่งเพลงก็เปลี่ยนได้แล้ว เราก็ต้องยอมรับสภาพไปว่ามันเป็นแบบนี้ เราจะหวังให้ทุกคนมาติดตามเราไม่ได้ เราเอาแค่ถ้ามี 500 คนที่ติดตามเรา เอาให้อยู่ตรงนี้พอแล้ว เอาคนที่เค้ารักเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นล้านๆ ถ้ามีก็ดี แต่ถ้าไม่มีเอาแค่นี้ก็ได้ ดีใจแค่ว่าปล่อยเพลงไปมีคนติดตาม มีคอมเมนต์ดีๆให้เราอ่าน ความสุขก็เกิด”

โควิด–19 ทำให้มุมมองการกลับมาทำเพลงเปลี่ยนไปยังไง?

“มันมีเวลาฉุกคิดเยอะขึ้นเวลาว่างเยอะ บางคนอาจจะฟุ้งซ่านว่าเราจะอยู่ยังไงจะทำอะไรต่อ แต่ช่วงนั้นวันนึงเรามีอาชีพเสริม นอกจากการร้องเพลง ทำอะไรก็ได้ที่มันมีรายได้มีเงินเข้ามาในครอบครัว ไม่ต้องเยอะมากเหมือนร้องเพลง แต่มันได้มาทุกวันก็มาเสริมกัน มันก็เป็นประสบการณ์ว่าต่อไปเราจะคาดหวังในสิ่งที่เราทำอย่างการร้องเพลง ออกเพลงหรือคอนเสิร์ตอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องมีอาชีพอื่นเข้ามาเสริม อาจจะน้อยนิด แต่เข้ามาทุกวัน ขายปลาร้าวันละ 5 กระป๋อง 10 กระป๋อง ก็เงินทั้งนั้นใช้เงินระมัดระวังมากขึ้น ประสบการณ์ในการร้องเพลงก็เปลี่ยนไป แทนที่เราจะได้ไปร้องหน้าเวที ทุกวันนี้ก็มีงานออนไลน์บ้าง เราก็เข้าใจนะก็เหมือนเวลาเราร้องเพลงเปิดงาน พอเค้าเปิดตลาดออนไลน์เราก็ร้องออนไลน์ มันก็ไม่ต่างจากที่เราไปร้องในสถานที่งาน สมัยก่อนเวลาเราทัวร์คอนเสิร์ตทางภาคใต้เลย 1 เดือน ไปเชียงใหม่ ทางเหนือ 1 เดือน แต่เดี๋ยวนี้ไปงานแล้วก็กลับมา มันมีเวลาและการขายของก็เป็นทางออนไลน์เราก็ทำได้โอเค”

เป้าหมายของความเป็นศิลปินของพลพลในวันนี้ที่เป็นนักร้องประสบความสำเร็จมาแล้ว?

“จริงๆก็บอกกับตัวเอง บอกกับครอบครัวนะว่าอยากรักษาตรงนี้ไว้ให้นานที่สุดที่เราจะทำได้ วันนึงถ้าเค้าไม่ฟังเพลงเราแล้วก็ไม่น่าจะฝืน จริงๆผมเตรียมใจไว้ตั้งแต่วันแรกที่ออกเทปเลยว่า ถ้าสมมติพรุ่งนี้มันเป็นแค่ความฝัน ตื่นมาเป็นแค่ฝัน พรุ่งนี้เราก็ทำงานของเราต่อไป ไม่ได้คิดอะไรเยอะ เราก็ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ไม่ได้วางตัวว่าเป็นศิลปินหรืออะไร เราขายของ ส่งของ คุณชอบเพลงเราขอบคุณ เราจับต้องได้ ไปนั่งกินกาแฟไปกับครอบครัวคนมาขอถ่ายรูปก็โอเค ผมว่ามันเป็นเรื่องการปรับตัว ถ้าทำได้ดี ทำเป็นนิสัย คุณจะไม่เหนื่อยกับมัน เราคิดแบบนี้ตั้งแต่วันแรก บางงานเจ้าภาพอาจจะยากกับเราแต่เราก็บอกเค้าว่าคนดูเค้าอยากถ่ายรูปกับเราไม่เป็นไรหรอก บางงานเคยเจอคนรอขอลายเซ็นเป็นพันคนก็มีก็ เป็นความประทับ ใจ”

พอเราเข้าใจกับทุกอย่าง ชีวิตเลยเรียบง่ายไม่ค่อยมีอะไรดราม่า?

“ไม่มีเลยครับ ตั้งแต่ทำอัลบั้มจนถึงทุกวันนี้ยังไม่เคยมีดราม่า ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบปัญหาไม่ชอบอะไรที่ทำให้ตัวเองลำบากใจ”

เพลงของพลพลส่วนใหญ่ให้กำลังใจคน แล้วเวลาเราต้องการกำลังใจล่ะอะไรที่เติมเต็มเรา?

“จริงๆผมเป็นคนคิดง่ายๆ กำลังใจก็เลยเกิดได้จากทุกอย่าง กลับมาบ้านแค่แฟนถามว่าป๊ากินข้าวรึยัง มากินข้าวกัน ถึงเป็นวันที่เราเจออะไรแย่เราเหนื่อย แต่เราเข้าบ้านไปยิ้ม คนที่บ้านยิ้มกลับมา มันเป็นคำตอบก็คือกำลังใจแล้วและเราก็ไม่ค่อยได้โพสต์อะไรดราม่า เฟซบุ๊กผมสร้างความสุข เคยโพสต์เรื่องอยากให้รุ่นน้องทำงานรักกัน ครั้งสองครั้งไม่ถึงกับดราม่าแต่ทุกคนเข้ามาคอมเมนต์ว่าพี่พลพลมีอะไรรึเปล่า เราก็รีบบอกว่าไม่มีอะไร แค่อยากบอกตัวเองในการทำงานเลยรู้สึกว่าเออมันยากเนอะถ้าโพสต์อะไรแบบนี้ ต่อไปเลยจะโพสต์อะไรที่เป็นความสุข เพลง อาหาร ครอบครัว คนอาจจะคอมเมนต์น้อยหน่อยไม่เป็นไร แต่ใครดูเราผ่านมาก็มีแต่ความสุขครับ”.

(เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย)

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2428302
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2428302