“มิลค์-เขมสรณ์” ลบคำปรามาสขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้ประกาศข่าว หมอดูทักให้เปลี่ยนนามสกุล


ให้คะแนน


แชร์

ทั้งหมดนี้อยู่ในรายการ WOODY FM ผู้ดำเนินรายการ วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา ถามว่านึกถึงช่วงไหนมากที่สุดที่ถือว่าเป็นบทเรียนชีวิต? มิลค์ กล่าว

“รู้สึกว่าโมเมนต์การก้าวเข้าไปในวงการข่าว จากการเปลี่ยนจากนักแสดงมาเป็นนักข่าว มันคือโมเมนต์เปลี่ยนชีวิตของมิลค์จนถึงทุกวันนี้ คิดเลยว่าถ้าไม่ได้เป็นนักข่าว ก็จะไม่กลับไปเป็นดาราแล้ว ไปเป็นอย่างอื่นอะไรก็ได้”

อะไรเกี่ยวกับการเป็นดาราที่คุณอยากเดินออก?

“พอเป็นดารามันรับบทบาทเป็นคนอื่นมันไม่ใช่ตัวเอง ตอนนั้นเรารู้สึกแบบนั้นว่าเราต้องรับบทบาทที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันไม่ได้เป็นตัวเอง แล้วก็ไม่ได้รับบทบาทที่มันโดดเด่นอะไร ถามตัวเองว่าเราจะเป็นอะไร จะเล่นบทอะไรดี มันตันกับชีวิต ก็เลยทำอย่างอื่นดีกว่า ที่เรารู้สึกว่าอยากทำจริงๆ มีไฟที่จะทำมันจริงๆก็เลยนี่แหละ ฉันอยากเป็นผู้ประกาศข่าว อยากเป็นนักข่าวนะไม่ใช่ผู้ประกาศข่าวอย่างเดียว มิลค์อยากเป็นผู้สื่อข่าวที่อาจจะควบคู่เป็นผู้ประกาศข่าวไปด้วย ก็เลยมองตัวเองว่าอยาก เป็นนักข่าว”

ในอดีตมองว่าถ้าเป็นดาราอาจจะไม่มีความน่าเชื่อถือ ถ้าเกิดมาเป็นผู้ประกาศข่าวหรือว่าอยู่หน้าจอเกี่ยวกับเรื่องของข่าว?

“แต่ก่อนมันชัดมาก ข่าวคือข่าว ทุกอย่างต้องเป็นทางการหมด แม้กระทั่งการแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม วิธีการพูดนำเสนอแค่ข่าวห้ามแสดงความคิดเห็น แม้กระทั่งอ่านข่าวจบแล้วพูดว่าขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะยังไม่ได้เลย จะมีกรอบการทำงาน ผู้ประกาศข่าวไม่มีสิทธิ์ที่จะใส่ความคิดเห็นของเราในเนื้อข่าว ให้คนดูเขาตัดสินใจเอง ดังนั้นกรอบการเป็นผู้ประกาศข่าวจะชัดมาก ในอดีตการเป็นดาราแล้วจะมาเป็นผู้ประกาศข่าวมันเลยยากในแง่ของความน่าเชื่อถือ เพราะคนจะติดภาพการเป็นดารา บางช่องเห็นใบสมัครมิลค์เขาก็ไม่รับ เพราะเขาบอกเลยว่าคุณเป็นดาราอ่านข่าวยังไงก็เป็นดารา คุณไม่ได้เป็นนักข่าว มันก็เลยทำให้เราสู้เพื่อจะเป็นนักข่าวให้ได้ เลยเป็นจุดเริ่มต้นตรงนั้น แต่ด้วยยุคสมัยมันเปลี่ยน การเล่าข่าวจากที่เป็นแพตเทิร์นเป๊ะๆก็จะมาเป็นการเล่าเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายมากขึ้น เริ่มใส่ความเห็นของคนเล่าได้อย่างพอเหมาะพอสม ความเป็นดาราก็อาจจะเข้าถึงคนดูได้ง่ายด้วย กรอบในอดีตก็อาจจะไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นแล้ว เชื่อว่าตอนนี้คนก็น่าจะเปิดกว้าง”

วันนี้มีความสุขกับตัวตนของตัวเราเอง?

“ภูมิใจกับเลือดนักสู้ของเราที่แบบมีอุปสรรคเยอะ มีคำปรามาส คำสบประมาทเยอะ มีปัญหาระหว่างทาง มีสิ่งที่ทำให้เราท้อจนอยากจะลาออก พอถึง วันนี้เรามองย้อนกลับไปรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้ว่า เราผ่านอะไรมาบ้าง คือวันนี้ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นผู้ประกาศข่าวดังอะไร ไม่เคยคิดว่าดังเลย แค่รู้สึกว่าได้ทำงานที่เรารัก เราเป็นฟันเฟืองสำคัญในองค์กรมันคือสิ่งที่เราภูมิใจ”

ความภูมิใจเกี่ยวกับคุณพ่อ?

“ที่บ้านจะเป็นครอบครัวกลางๆ ไปถึงขั้นที่ไม่ค่อยจะมีสตางค์สักเท่าไหร่ คุณพ่อเคยลำบากมาก และชอบที่จะเล่าให้ฟังเพื่อให้ลูกๆต่อสู้มีแรงบันดาลใจ เขามีทุกวันนี้ได้เพราะมีวินัยและเรียนหนังสือ เขาเลยบอกมิลค์ตลอดว่าลูกทำอะไรก็ได้นะ แต่ขอให้ลูกใฝ่รู้ใฝ่เรียน เพราะความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครพรากไปจากเราได้จริงๆ ลูกก็ต้องสู้เหมือนกันไม่ต้องท้อ ไม่ต้องไปฟังอะไรที่เป็นคำสบประมาท เคยไปออกรายการหนึ่งแล้วก็จะมีคนที่เขาจะดูดวง เขาบอกมิลค์ว่าเราต้องเปลี่ยนนามสกุล เพราะนามสกุลไม่เพราะเลย หนูอยู่ในดินทำอะไรไม่ดังหรอก ทำงานไปยังไงก็ไม่ดัง วันนั้นมันก็ทำให้มิลค์รู้สึกว่า ไม่ คนจะต้องจำเราได้เพราะว่า นามสกุลพ่อเรา (ร้องไห้) คนจะจำเราได้ด้วยชื่อนามสกุลนี่แหละ ของพ่อเราไม่เปลี่ยน ซึ่งทุกวันนี้คนจำชื่อมิลค์ไม่ได้ คนจะจำว่า อ๋อ นี่ไง หนูขาว เราก็เออเห็นไหมคนจำนามสกุลเราได้ ทุกวันนี้ไปไหน คุณหนูขาวที่อ่านข่าวไทยรัฐ เรา ก็นึกย้อนไปเลยถ้าฉันเปลี่ยนนามสกุลเพราะๆ วันนั้นคนอาจจะจำฉันไม่ได้ คำพูดประโยคเดียวทำให้เรา ฮึบ สู้ๆ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2442942
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2442942