“ต้าวหยอง ยุคลเดช” ขึ้นเวทีหมอลำเป็นร้อยไม่ตื่นเต้นเท่าเล่นหนัง สถานะโสด


ให้คะแนน


แชร์

ปังไม่หยุดฉุดไม่อยู่แล้ว สำหรับ “ต้าวหยอง-ยุคลเดช พลล้ำ” (นามสกุลเดิม ปัจฉิม) แดนเซอร์หมอลำเอวเด้ง สุดฮอตขวัญใจแม่ยกที่ดังที่สุดในประเทศไทยจากคณะหมอลำ “ระเบียบวาทะศิลป์” ล่าสุด…ความสามารถและความฮอตของ “ต้าวหยอง” ไปโดนใจ นก–ปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ ผู้อำนวยการสร้างของค่ายหนัง M39 ถึงขั้นจองตัวจองคิวเพื่อมารับบทเด่นในภาพยนตร์วัยรุ่นอีสานสุดม่วน “ฮักเจ้าอีหลี” ที่เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ คว้าหนุ่มต้าวหยอง เปิดใจกับการทำงาน–ชีวิตหลังดังเป็นพลุเปลี่ยนไปขนาดไหนใน “คนดังนั่งคุย”

ถามก่อนเลยเห็นว่าเปลี่ยนนามสกุลเป็น “พลล้ำ” แล้ว

“ใช่ครับ ต้องขอบคุณพ่อเอ๊ะ-ภักดี พลล้ำ (หัวหน้าวงระเบียบวาทะศิลป์) ที่ให้ความเมตตาผมเป็นอย่างมาก ดูแลในทุกๆเรื่องให้ผมได้มีงานทำ ได้ซื้อบ้านให้พ่อแม่ ได้รับโอกาสที่ดีในชีวิต และยังให้เปลี่ยน มาใช้นามสกุลของพ่อด้วย”

ก่อนหน้าได้ทำงานเบื้องหน้าทั้งเต้น ร้องหมอลำ ร้องเพลง มาแล้ว ได้มาเล่นหนังครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง

“พ่อเรียกมาถามว่า…ทางค่ายอยากให้เราไปเล่นหนัง จะว่ายังไง ผมก็ตอบพ่อว่า ได้ครับ ผมคิดว่าผมเล่นได้ พอบอกพ่อไปแล้ว ผมก็รู้สึกตื่นเต้นครับ เพราะว่าเป็นเรื่องแรกเลยที่ผมได้เล่นมีบทบาทเยอะขนาดนี้ ปกติก็แค่ตัวประกอบ และในเรื่องนี้มันจะเกี่ยวกับอีสานเป็นส่วนใหญ่มันสื่อสารถึงวัฒนธรรมอีสานเป็นยังไงให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เข้าถึง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมอยู่กับสิ่งนี้ทุกวันอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัว ผมเลยคิดว่าผมทำได้ วันที่เจอพี่ๆนักแสดงครั้งแรก ทุกคนเป็นกันเองมาก พี่เต๋า ภูศิลป์ พี่ตูมตาม พี่กวาง เจอครั้งแรกตื่นเต้นมาก ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ติดตามผลงานพี่เค้า ไม่เคยเจอตัวจริง พอได้มาเจอ น่ารักทุกคนครับผม ในเรื่องการเตรียมตัว ผมใช้เวลาไปกับการท่อง บทมาก แต่มันเป็นอะไรที่เข้าทางผมอยู่แล้ว ผมก็เลยอ่านแล้วก็เข้าใจในตัวละครที่ทางผู้จัดเขียนมาให้ อันไหนที่ไม่ใช่คาแรกเตอร์เรา เราก็ปรับ เรื่องนี้เวิร์กช็อบครั้งแรกก็ทบทวนบทกันให้เข้าใจกัน วันที่ 2 ผู้กำกับ พี่แก๊ปเปอร์ (วรฤทธิ์ นิลกลม) ให้รู้ว่าถ้าเรารับคาแรกเตอร์ร้องไห้ เราก็ต้องทำให้คนสงสารร้องไห้จริงๆ สอนเทคนิคว่าทำอย่างไรถึงจะแบบว่า ให้เหมือนจริง”

คาแรกเตอร์ที่ได้รับเป็นอย่างไร

“ไม่ต่างกับตัวจริงครับ เป็นเพื่อนร่วมวงของ พี่เต๋า ภูศิลป์ เป็นคนขี้ดื้อๆ ทะเล้น ชอบแบบเต๊าะสาวแต่เค้าไม่เล่นด้วย แต่ตัวจริงผม ถ้าเจอกันครั้งแรกจะเงียบก่อน เวลาออกไปข้างนอกผมก็จะสวัสดี แต่ถ้าแบบคนที่รู้จักสนิทก็จะเข้าไปทักกับเค้าก่อนเลย ไปหยอกบ้าง พอถึงเข้างานอย่างนี้ก็นั่งเงียบๆดูก่อนว่าเค้าทำอะไรกัน” เห็นว่าขึ้นเวทีมาเป็นร้อยครั้ง แต่ยังรู้สึกว่าเรื่องไปยืนตรงจุดที่กำหนด (บล็อกกิ้ง) เป็นเรื่องยาก “สิ่งที่ยากที่สุดคือต้องไปยืนตรงนั้นตรงนี้ ถึงจะขึ้นเวทีมาเป็นร้อยก็ยังตื่นเต้น บนเวทีมันเหมือนบ้านครับ เราขึ้นจนชิน จะเดินไปทางไหนก็ได้ กล้องไม่ได้มาจับที่หน้า คนดูก็จะเห็นเราไกลๆ แต่พอมาเข้าฉาก เราต้องหันไปพูดกับใคร หันไปยิ้มกับใคร กล้องมันจ่อที่หน้า เวลาเดินผิดหันผิดเค้าก็ต้องถ่ายใหม่ กลัวพี่ๆเค้าเสียเวลากับผมครับ”

การร่วมงานกับผู้กำกับ และนักแสดงในเรื่องล่ะ

“พี่แก๊ปเปอร์ เป็นคนน่ารักอาจจะพูดห้วนๆนิดนึง แต่ก็เป็นสไตล์พี่เค้า เวลาเล่นพี่เค้าก็เล่นด้วย เวลาทำงานพี่เค้าก็จริงจัง แบบไม่เครียด ทำให้ทีมงานสนุก ทุกคนที่เราแสดงด้วยเป็นมืออาชีพมาก พี่เค้าไม่ได้ดูบทดูอะไรเลย พอเข้าฉากปุ๊บพี่เค้าพูดๆมาเลยผมลืมบทพี่เค้าก็พูดแทนผม (หัวเราะ) สุดยอดมาก ผมงึดมาก อย่างพี่เต๋า ผมเป็นหนึ่งในทีมเค้า บทผม ผมต้องปลอบเขาบ้างซ้ำเติมเค้าบ้าง พี่กวางก็น่ารักเค้าจะห้าวๆ นิดนึง มีฉากที่ผมต้องตบพี่โบ๊ท พี่เค้าก็บอกไม่ต้องเกรงใจ เอาแบบตบจริงมาเลย ผมก็คิดว่าทำไงน้อ แต่พอเข้าฉาก พี่เค้ายังไม่สั่งแอ็กชัน ผมตบพี่โบ๊ทไปก่อนแล้ว (หัวเราะ) ”

ได้ข่าวว่าแฟนคลับตื่นเต้นมาก

“มีแต่คนตั้งหน้าตั้งตารอ เมื่อไหร่จะออกๆ ต้องขอบคุณแม่ๆมากๆ ที่ช่วยแชร์ ช่วยสนับสนุนผม ผมเข้ามาตอนแรกไม่ค่อยชอบด้านนี้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ส่วนที่ชอบก็คือบรรดาแม่ๆแฟนคลับที่ให้กำลังใจผม เวลาผมทำอะไรพลาดไปก็จะเตือน รักผมเหมือนลูกหลาน ทำให้ตอนนี้ผมชอบที่จะอยู่ในสายนี้ อยากเป็นนักแสดงเกี่ยวกับอีสาน เพราะภาษากลางไม่ถนัดเท่าไหร่ เพราะอยู่อีสานมาตั้ง 17 ปี”

ตอนนี้ต้าวหยองรู้สึกว่าตัวเองดังแล้วหรือยัง

“ผมไม่ได้ว่าตัวเองดัง แค่ว่าอยากให้มีคนรู้จักมากขึ้น ผมรับหมดไปทั้งงานฟรี งานได้สตางค์ งานกุศล เพื่อจะให้รู้ว่าเรามาจากระเบียบวาทะศิลป์ เป็นต้าวหยอง ระเบียบวาทะศิลป์ บางคนอาจจะไม่รู้จักอาจจะไปเสิร์ชคำว่า ระเบียบวาทะศิลป์ เค้าก็จะเห็นว่าวงนี้คือวงหมอลำ และน่าจะอยากรู้ต่อว่าหมอลำเป็นอย่างไร ผมอยากมีส่วนช่วยให้ประเพณีเหล่านี้ยืนยาวออกไป อยากให้คนรุ่นใหม่หันมาช่วยกันสืบทอดวัฒนธรรมเหล่านี้ไม่ให้มันสูญหายไป ถึงมันจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยแต่มันจะไม่หายไป ผมหวังว่าอย่างนั้นครับ”

ชีวิตทำแต่งานๆ ถามจริงๆทุกวันนี้ได้พักกี่ ชม.

“ถ้าเป็นปัจจุบันจะมีเวลาพักวัน 5-6 ชม. เวลาปกติเลยครับ ช่วงเช้ามีซ้อมตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถ้าเก็บรายละเอียดเยอะ ก็ถึงตี 1-2 ถ้าย้อนสมัยโน้น นอน 2-3 ชม.” วันที่มีการแสดงตื่นมาทำอะไรบ้าง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง “อย่างแรกเตรียมเนื้อผ้า ดูรายละเอียดชุด ใส่เรื่อยๆ เต้นเสร็จปุ๊บเก็บของใส่ลังและชุดอีก ต่างหู เข็มขัด เพื่อได้หยิบง่ายๆ ออกเดินทางไม่เกิน 7 โมง นอนบนรถด้วย มีเวลานอนในรถแค่ถึงทำงานครับ”

เริ่มเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว ตอนนี้มีแฟนมั้ย แล้วมีคนคุยมั้ย ได้ข่าวว่าพ่อหวงจริงเปล่า

“ไม่มีครับ ตอนนี้โทรศัพท์ผมก็เหมือนโทรศัพท์พ่อ เวลาพ่อไปงาน ผมอยู่บ้านอยู่คนเดียวหรืออยู่กับแม่ กลับมาพ่อก็ต้องกดโทรศัพท์ดู เวลาไปข้างนอกทำงานก็ต้องฝากโทรศัพท์ไว้กับพ่อ หลังจากโควิดมาเป็นช่วงที่เราเปิดการแสดงได้ ก็มีคิวการแสดงยาวข้ามปีไปแล้ว เวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการซ้อม ปีนี้ผมรับบทออกกับพี่ท็อป ธนาชัย รับบทเป็นดาวร้ายเป็นตัวประกอบออกทั้งคืนเลยไม่ได้พักเลย ตอนเช้าอาบน้ำแปรงฟันนอน หมอลำเป็นประเพณีอยู่คู่การทำบุญของชาวอีสาน ที่มาเฝ้ากองบุญต้องมีมหรสพมาเป็นเพื่อนของคนที่เฝ้ากองบุญเช้ายันดึก ดึกยันเช้า เลยกลายเป็นประเพณีว่าถ้ามีหมอลำก็ต้องเล่นยันสว่าง มีแฟนๆหอบผ้าห่มมานอนหน้าเวทีก็มีครับ ส่วนเรื่องเรียนผมพักไว้ก่อน แต่ก็มีไปลง กศน. ผู้หญิงในสเปกชอบคนตัวเล็กกว่าผม (หัวเราะ)”

อยากจะฝากอะไรถึงแฟนๆ

“ก็ขอฝากผลงานภาพยนตร์ “ฮักเจ้าอีหลี” ครับ เป็นเรื่องราวความฝัน ความสนุก ความวุ่นวาย หลังเวทีหมอลำ ที่อยากจะก้าวไปอยู่เบื้องหน้า ผมว่ามันถ่ายทอดชีวิตของคนหลังเวทีทุกเวทีเลยครับ มีทั้งเรื่องเพื่อน มีเรื่องโอกาสที่เข้ามา ผมขอฝากด้วยครับ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2514572
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2514572