เกิดอะไรขึ้นที่นิวซีแลนด์ แต่ง หมั้น หรือยังไง?
วาววา : วาไม่ได้โฟกัสว่าอยากจะแต่งงานในชีวิตนี้ หมายถึงว่าจะต้องมีงานแต่งหรืออะไร แต่พอไปเหมือนเค้าขอ เราก็ไม่ได้จัดงานอะไร เค้าขอวันนึงก่อนเรากลับ ก็เหมือนนัดครอบครัวมาทานข้าวด้วยกัน จัดที่บ้าน ทำกับข้าวด้วยกันเอง มีแค่พ่อแม่ น้องสาว แฟนน้องสาวเค้า ฝั่งเรามีเพื่อนคนไทย 2 คน

มีคลิปออกมาเหมือนแต่งงานตามธรรมเนียมฝรั่ง?
วาววา : ช่วงโควิดแฟนวามาอยู่ไทยไม่ได้กลับไปเลย ผ่านไป 3 ปี ไม่ได้เจอครอบครัวเค้านาน เลยถ่ายรูปร่วมกัน จะได้มีภาพเก็บไว้ก่อนที่จะกลับมาไทย

ไม่ได้จัดงานแต่ง แต่มีแหวนนิ้วนาง?
วาววา : เป็นแหวนหมั้นค่ะ

ก่อนไปมีระแคะระคายมั้ยว่าแฟนจะขอแต่งงาน?
วาววา : ไม่มีค่ะ เค้าไม่ได้เจอครอบครัวนาน ก่อนที่เราจะเริ่มทำงานลอตต่อไป เราไปหาครอบครัวเค้าก่อน

คบมากี่ปีแล้ว?
วาววา : 4 ปีแล้วค่ะ ครอบครัวเค้าก็ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเค้า

เหตุการณ์วันที่ขอแต่งงาน?
วาววา : บินไปถึงนิวซีแลนด์ เราก็ยังห่วงว่าจะกักตัวเองนิดนึง เพราะบ้านเค้ายังไม่มีใครติด กลัวว่าจะเอาเชื้อไปแพร่ให้เค้า เก็บตัวอยู่ที่บ้านพักตากอากาศ แยกออกมาบนภูเขา ประมาณคืนที่ 4 พระจันทร์เต็มดวง แล้วที่นิวซีแลนด์เห็นดาวสวยที่สุด คืนนั้นดาวก็สวย พระจันทร์ก็สวย ก็ชวนเค้าไปเดินเล่นประมาณเที่ยงคืน นั่งเล่นสักพักก็เริ่มหนาวแล้วเราบอกกลับเถอะ เค้าก็ไม่กลับ ยืนอยู่ตรงนั้น เราก็เดินเข้าไปถาม แล้วเค้าก็คุกเข่า

เค้าพูดว่าไงบ้าง?
วาววา : วาจำไม่ได้ รู้สึกว่าเค้าจะไม่ได้พูดด้วย แต่เค้าคุกเข่าแล้วมีแหวน เราก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน

รู้สึกยังไง?
วาววา : เราก็งง เพราะตอนแรกเราคุยกันว่าเราไม่อยากได้แหวนหรืออะไร ส่วนตัวรู้สึกว่าเรารักกัน เราอยู่ด้วยกัน เซอร์ไพรส์ค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าเตรียมแหวนมานานแล้ว ไม่รู้ว่าเค้าจะขอเราตอนนั้น

แหวนเค้าออกแบบเอง?
วาววา : ใช่ค่ะ ด้วยความที่เค้าทำภาพ 3 มิติ เค้าก็ออกแบบแล้วส่งไปให้คนทำ เค้าบอกเค้าเตรียมไว้ประมาณ 3-4 เดือนแล้ว แต่เค้ายังหาจังหวะที่ใช่ไม่ได้

ชอบอะไรในตัวเค้า?
วาววา : ความพยายามของเค้า ความที่เค้าไม่ยอมแพ้ ระหว่างที่คบกันมันจะมีหลายจุดที่ไปต่อด้วยกันไม่ได้หลายจุดมากๆ จริงๆ เค้าเคยขอด้วยแล้วครั้งนึง ซึ่งเรารู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม ไม่เชิงปฏิเสธ เรารู้สึกว่าตอนนั้นเรายังไม่พร้อมต่อใจ เราตอบตกลง แต่ใจเรายังไม่พร้อม มันไม่ใช่สิ่งที่ใช่ในเวลาใช่

เหตุผลตอนนั้นที่ยังไม่พร้อม?
วาววา : ตอนนั้นเราเพิ่งคบกันได้ไม่กี่เดือน เรายังไม่รู้ว่าเค้าใช่หรือเปล่า ตอนนั้นเป็นทริปแรกที่เค้ามาไทยเลย

เจอกันที่นิวซีแลนด์?
วาววา : ใช่ค่ะ ตอนนั้นวาไปเรียนภาษา เราไปเรียน 2 เดือน รอบแรกเค้ายังไม่ตามกลับ เดี๋ยวปีใหม่เราจะมา เราต้องกลับมาถ่ายละคร พอสักไม่กี่เดือนเค้าก็ตามมา

ตอนปฏิเสธกลัวมั้ยว่าเค้าจะหายไป?
วาววา : เราไม่กลัว เพราะเรารู้สึกว่าเรามีเหตุผลที่ดีพอ ว่าเรายังไม่พร้อมด้วย ตอนนั้นด้วยความที่เค้ารู้สึกว่าเราใช่ และอยากให้เราเป็นของเค้า แต่เรารู้สึกว่าเรายังไม่มั่นใจ มีการคุยกับนักจิตวิทยาด้วยว่าใครผิดใครถูก การกดดันให้เราตอบตกลงมันไม่ถูกต้อง เพราะเรายังไม่ได้พร้อม ก็มีการคุยทุกอาทิตย์ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้นะคะ เรื่องการปรับตัวเข้าหากันด้วย เรารู้สึกว่าเราไม่สบายใจกับเรื่องนี้ เราคุยกันว่ามีหลายจุดความแตกต่างเค้าวิทยาศาสตร์จ๋า เราอาร์ติสต์จ๋า ข้อที่มันแตกต่างกันเยอะทำให้เรามีปัญหากันเยอะ เราทะเลาะกันเยอะ แต่ถ้าเราอยากจะไปต่อเราจะทำยังไงให้เราไปต่อ เราก็ลองทุกวิถีทางถ้าไปต่อไปก็ไปต่อ แต่ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าเราทำเต็มที่แล้ว

จุดไหนที่ทำให้ประทับใจและชอบ?
วาววา : เค้าเป็นคนเก่ง วาชอบผู้ชายที่ไม่ได้ต้องการเป็นผู้นำ แต่เก่งแล้วไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนเราจะรอดถ้าอยู่กับคนคนนี้ ในเรื่องของจิตใจ ศักยภาพในการทำงานต่างๆ

ช่วงแรกสื่อสารกันยังไง?
วาววา : ก็มีใช้ทรานสเลตด้วย เพราะเค้าชวนเราไปปีนเขา

เค้าย้ายมาอยู่เมืองไทย?
วาววา : ใช่ค่ะ ช่วงก่อนโควิด

เรามีละครเยอะ ไม่มีเวลาให้ แล้วเขาทำอะไร?
วาววา : งานของเค้าเป็นดิจิทัลไม่ต้องไปทำงาน แต่เราต้องออกไปทำงาน ระหว่างที่เราไปทำงาน เค้าก็ทำงานของเค้า เค้าเป็นคนตัดสินใจมาเอง มีทะเลาะกันอีกครั้งเหมือนกัน เราทำงานหนักมาก มันเป็นช่วงปีแรกที่วาเป็นอิสระ ละครมีประมาณ 6 เรื่อง หนังอีก 1 เรื่อง มีช่วงหยุดโควิด แต่พอถ่ายได้ทุกคนก็อัดถ่าย มีช่วงที่เราต้องทำงานตลอดเวลา แทบจะไม่มีเวลา เราก็เครียดด้วย ยิ่งเราเป็นอิสระยิ่งต้องผลักดันตัวเองให้ทุกผลงานมันออกมาดี ยิ่งเครียด เหนื่อย ไม่มีเวลาให้เค้า มีปัญหาทะเลาะกันอีก เค้าบอกทำงานขนาดนี้ไม่ดีต่อสุขภาพด้วย เธอมีศักยภาพที่จะทำอย่างอื่นอย่างธุรกิจ แต่เราชอบการแสดง เรามีความสุขที่เราได้ไปเป็นตัวละคร เค้าก็มีช่วงงอแง

ขอให้เลิกเล่นละครมั้ย?
วาววา : ไม่ได้บอกว่าให้เลิก แต่บอกว่าให้ทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ย ก็ทะเลาะกัน ชีวิตการเป็นนักแสดงของเราผ่านมา 10 ปี มันเป็นส่วนนึงของตัวเราไปแล้ว ถ้าจะรักเรา อยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เค้าต้องเข้าใจตัวตนของเราด้วย

ใครยื่นคำขาดขอเลิก?
วาววา : วาค่ะ เราทำงานเหนื่อยมาก เครียดมาก แล้วเค้าก็กดดันเราด้วย ว่าสิ่งที่เราทำมันคุ้มมั้ย วาบอกอันนี้เป็นตัวตนของวา ถ้าเค้าเข้าใจก็ไปต่อ แต่ถ้าไม่เข้าใจเราก็คงไปต่อด้วยกันไม่ได้ เค้าก็คงคิดสักพักนึง เค้าก็เงียบ เราโตมาในระดับนึงแล้ว ผู้หญิงยุคนี้ทำงานเองได้ หาเงินเองได้ เราไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องพึ่งพาใคร คนที่จะมาอยู่กับเราต้องซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน และดูแลกันไป เห็นความสุขของเราสำคัญ

แพลนในชีวิตแต่งงาน?
วาววา : ใจวาไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะแต่ง แต่เพื่อนๆ อยากให้จัด ใจวาถ้าจะแต่งก็เป็นที่ไทย เพราะว่ากับเฮนรี่ไปทำรีสอร์ตเล็กๆ อยู่ที่เขาหลัก

อยากมีลูกมั้ย?
วาววา : อยากมีค่ะ น่าจะแต่งอีก 2 ปีค่ะ

แต่งแล้วจะออกจากวงการ?
วาววา : ไม่จริงค่ะ การเป็นนักแสดงคือตัวตนเรา ยังอยากใช้ชีวิตในแบบนี้ อยากเป็นตัวละคร ยังสนุก ยังถ่ายอยู่รับละครอยู่ มีแค่ช่วงนี้ที่หยุดไว้เพื่อที่ไปจะรีโนเวตรีสอร์ตให้เสร็จ แล้วเราจะกลับมาทำงานของตัวเองปกติได้

เฮนรี่เข้าใจมั้ยเรามีแพชชั่นในการเล่นละคร?
วาววา : เค้าก็เข้าใจค่ะ เค้าเริ่มมาคิดในมุมมองของเรา สงสารเค้าเหมือนกัน เค้าอยู่ในต่างแดน เค้าก็งอแงนิดนึงว่าเราไม่มีเวลาเลย เค้าก็เลยมาคิดในของเราบ้าง อะไรที่เราชอบเค้าก็เคารพในการตัดสินใจ

อยากบอกอะไรเค้า?
วาววา : ต้องขอบคุณที่เค้าอดทนมากๆ เสมอตลอดมาในอุปสรรคที่เราผ่านพ้นด้วยกันมา มันเป็นอะไรที่เราก็ภูมิใจเหมือนกันที่เราผ่านมันมาได้ หมายความว่าในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็หวังว่าเรา 2 คนจะผ่านทุกอุปสรรคไปได้ด้วยกันตลอดไป.