พระเอกฮอต “ไมกี้-ปณิธาน” จากนักร้องเปิดหมวกสู่พระเอก “ขวัญฤทัย” ดวงใจเทวพรหม


ให้คะแนน


แชร์

ขึ้นแท่นหนุ่มสุดฮอตนาทีนี้ สำหรับพระเอกน้องใหม่ดาวรุ่ง “ไมกี้–ปณิธาน บุตรแก้ว” ที่ครองใจแฟนๆแจ้งเกิดสุดปังในบท “พันตรี นายแพทย์ หม่อมหลวง ฉัตรเกล้า จุฑาเทพ” ประกบคู่กับนางเอกมากฝีมือ “ญดา–นริลญา” ในละครชุด “ดวงใจเทวพรหม” เรื่อง “ขวัญฤทัย” โดยผู้จัด “แหม่ม–ธิติมา” และผู้กำกับ “ป้าแจ๋ว–ยุทธนา” ทางช่อง 3 กลายเป็นขวัญใจมัมหมีทั่วประเทศที่โดนตกเข้าด้อมแบบหาทางออกไม่เจอกับบทบาททั้งในจอและความเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ในชีวิตจริงที่นับตั้งแต่เข้าวงการบันเทิงมา 3 ปี ไมกี้บอกเลยการถ่ายทำละคร “ขวัญฤทัย” ทำให้เจ้าตัวโตไวแบบก้าวกระโดด! เลยชวนหนุ่มฮอตคนนี้มาพูดคุยเริ่มจาก

ไปยังไงมายังไงถึงเข้าวงการบันเทิงได้?

“คงเป็นดวงและช่วงเวลา ช่วงนั้นผมเพิ่งเรียนจบ ม.6 มาใหม่ๆ ไปเปิดหมวกเล่นดนตรีอยู่ข้างถนนที่ จ.ลำปาง แล้วผู้จัดการผมคือพี่ปิ๊ก-
ฌาณฉลาด ไปเจอเข้าและส่งผมมาแคสติ้งกับทีมช่อง 3 ได้เจอผู้ใหญ่แล้วก็ได้แคสต์ละครเรื่องนี้ ตอนนั้นไม่รู้อะไรเลยมีกีตาร์ตัวหนึ่งก็ร้องเพลงจีบพี่แหม่ม- ธิติมา ผู้จัด อยู่ๆ ก็ได้บทนี้มาเลย ผมร้องเพลงของพี่จรัล-มโนเพ็ชร เพลงพี่สาวครับ ต่อจากนั้นก็ได้รับบทนี้ทีมก็ส่งนิยายมาให้อ่าน”

ย้อนกลับไปตอนนั้นทำไมถึงไปร้องเพลงเปิดหมวก? “ที่มาคือผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนั้นสิ้นเดือนแล้วเงินยังไม่ออก เลยพูดเล่นๆว่าไปเล่นดนตรีเปิดหมวกกันดีมั้ย ก็ลองไปเล่นกัน ช่วงแรกได้เงินคนละ 30-50 บาท ผมไปถึงหนึ่งทุ่มตลาดเริ่มวายแล้ว พอหลังๆ เริ่มไปตั้งแต่สี่โมงเย็นไปจองที่ทำเลดีๆเล่นจนตลาดปิด เคยมีท็อปฟอร์มวันหนึ่งได้ 5,000-7,000 บาท ที่ได้เยอะเพราะเราเลือกร้องเพลงเก่าๆ เลือกเพลงเด็ก เด็กไม่ให้เงิน (หัวเราะ) แล้วผมชอบร้องเพลงเก่า เพลงที่ขายดีส่วนใหญ่จะเป็นฟีลพี่แจ้ พี่จรัล พี่เต๋อ หรือไทยลูกกรุงก็มี ผมชอบฟังเพลงแนวนี้เพราะคุณยายคุณแม่ชอบฟัง จากเปิดหมวกคนก็จ้างไปเล่นร้านอาหารบ้าง จ้างไปงานแต่งบ้าง จากที่เริ่มจากร้อนเงิน ผมลาออกจากงานพาร์ตไทม์เลย เมื่อก่อนเป็นเด็กเสิร์ฟได้ชั่วโมงละ 40 พอเปิดหมวกได้วันหนึ่ง 4,000-5,000 ลาออกมาเปิดหมวกดีกว่า ตอนนั้น ม.4-ม.5 ครับ”

คิดว่าเปิดหมวกได้ดีเพราะร้อง เพลงหรือด้วยหน้าตาเราด้วย?

“ไม่รู้เหมือนกันครับ คือกิมมิกของวงดนตรีเราไม่ได้มีแค่ร้องเพลงอย่างเดียว เราขายเฟรนด์ชิป ขายเอนเตอร์เทน ชื่อวงเราวงข้าวกั๊นจิ๊น ข้าวกั๊นจิ๊นเป็นข้าวที่เค้าชอบขายกันตามงานวัด เป็นข้าวห่อเนื้อใส่เลือดใส่เครื่อง ที่ตั้งชื่อนี้เพราะมันอร่อย ตอนนั้นกินอยู่พอดี”

เริ่มฝึกดนตรีตอนไหน? “จริงๆเล่นกีตาร์อยู่แล้ว ตั้งแต่ ม.ต้น พอมา ม.4 ก็เริ่มเรียนจริงจัง”

ตอนนั้นทำไมไม่คิดอยากเข้าวงการบันเทิงไปเลย?

“ตอนนั้นผมไม่ชอบวงการบันเทิง รู้สึกอยากเป็นครูอย่างเดียวเลย อยากเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เพราะผูกพันเป็นอาชีพที่ผมรักมาก แม่ผมก็เคยเป็นครู รู้สึกว่าครูเป็นอาชีพที่มีบุญคุณมีคุณค่ามากๆ เป็นอาชีพที่สำคัญมากๆในการจะทำให้คนในสังคมพัฒนาก็อยากเป็นครูที่ดีครับ ผมสนุกกับการทำงานกับคน ได้อยู่กับคน เหมือนได้ฮีลใจตัวเองไปด้วย ตัวผมเรียนจบสายวิทย์-คณิต แต่อยากเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษด้วยประสบการณ์ของตัวเอง บางทีครูสอนภาษาจะไม่ค่อยเข้าใจเด็กศิลป์ เด็กวิทย์-คณิต ผมก็อยากจะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่เข้าใจเด็กวิทย์-คณิต ผมว่าผมน่าจะเอนจอยกับการสอนและเล่นกีตาร์ไปด้วยก็น่าจะสนุกดี”

เป็นเด็กที่ทำอะไรหลายอย่างระหว่างเรียน เป็นเด็กเสิร์ฟ เล่นดนตรีเปิดหมวก แนวคิดแบบนี้มาได้ยังไง? “อาจเพราะครอบครัวมั้งครับ คุณแม่ผมปล่อยฟรีสไตล์ให้เลือกเส้นทางของตัวเอง ตอนนั้นผมท้ากับแม่ว่า ขอทำอะไรก็ได้ได้มั้ย แม่อย่ามาห้าม ปล่อยให้ผมออกไปข้างนอก มีมอเตอร์ไซค์หนึ่งคันก็ไปทั่วเลย แม่บอกว่าขอแค่อย่างเดียว การเรียนอย่าทิ้ง ผมก็เถียงกับแม่นะเพราะแม่เป็นห่วง ผมบอกว่าไม่หรอก ถ้าเกรดตกค่อยมาห้าม ผมก็เอาเกรดเฉลี่ยมาให้เค้าดูตลอดทุกเทอม จบเกรด 3.92 แม่ยิ้มเลย ผมไม่ได้เป็นเด็กเกเรแค่เป็นเด็กกิจกรรมเยอะมาก เยอะจนไม่ได้กลับบ้าน ผมเป็นลูกคนเดียวครับ แม่ผมเป็นครูสอนวิชาคอมพิวเตอร์แล้วก็ได้ปรับเป็นครูใหญ่ สุดท้ายเค้าก็ลาออกจากการเป็นครูเพราะว่าเค้ามีผม อยากลาออกมาเลี้ยงลูกจริงจัง เพราะแม่ผมเป็นคนมีลูกยาก”

เหมือนนิสัยเราดูขัดกับที่มีแม่เป็นครูที่ต้องอยู่ในกรอบเข้มงวด? “ผมก็ดื้อนะ แต่ก็ทำอะไรให้แม่ไว้ใจเราได้ ผมชอบสำรวจเรียนรู้ ชอบเจอคน มีคำพูดหนึ่งที่ผมชอบมากๆคือมนุษย์เราไม่มีใครที่มีลายนิ้วมือเหมือนกัน ทุกคนมีความพิเศษของตัวเอง มันอยู่ที่ว่าเราอยากจะไปค้นหาความพิเศษนั้นของคนแต่ละคนมั้ย แล้วผมรู้สึกอยากจะทำแบบนั้น ผมเลยชอบที่จะหาประสบการณ์ใหม่ๆ ชอบทำงานกับคนทุกคนมีความพิเศษเป็นของตัวเอง”

ทำไมถึงไม่อยากเข้าวงการทั้งที่พื้นฐานหน้าตาดี? “ไม่ได้มองไม่ได้คิดเลย ก็เคยเดินแบบ เคยมีคนทักหลายคนมากๆว่าเข้าวงการมั้ย มาทำนู่นทำนี่ แต่ประสบการณ์แรกๆ ที่ผมอยู่กับวงการไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยไม่ค่อยชอบ ตอนนั้นผมเด็กด้วยแหละ ผมมองวงการว่าเป็นวงการที่ต้องเอาชนะ ต้องแย่งชิง ถ่ายรูปก็ต้องยืนเบียดเอาไหล่ขึ้นมา ผมไม่ชอบเจอมาเป็นประสบการณ์ส่วนตัวครับก็เลยรู้สึกว่ามันคงจะไม่ใช่ที่ของเรา แต่ความคิดนี้มาเปลี่ยนไปหลังเจอผู้จัดการผมคือฟี่ปิ๊ก”

อะไรทำให้เราเปิดใจ? “คงเป็นคำพูดของพี่ปิ๊ก เค้าพูดว่าเค้าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของผม อยากเห็นผมสำเร็จ แล้วอยากจะให้ความฝันผมเป็นจริง ซึ่งทุกคนก่อนหน้านี้ที่ผมเคยเจอไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับผม มีแต่บอกว่าไปทำอันนี้มั้ยได้เงินเยอะนะ ไปทำอันนี้สิวันเดียวได้เท่านี้ แต่คนนี้มาแบบอยากให้ประสบความสำเร็จในความฝันของผม ผมก็โห”

เล่าถึงบทบาทในเรื่องนี้หน่อย?

“ฉัตรเกล้า สุขุมนุ่มลึกแต่มีมุมตลกเฮฮาบ้าง เป็นคนที่เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน อยากจะพิสูจน์เรื่องการเสียสละในหลายๆด้าน และการเป็นผู้ให้ อยากให้เกิดการเข้าถึงการรักษาที่เท่าเทียมไม่มีมุมด้านความรักหรือความโรแมนติกเพราะจริงจังกับงานและครอบครัว จนมาเจอขวัญฤทัย”

ร่วมงานกับญดาเป็นยังไงบ้าง? “โชคดีมากครับ ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้เล่นกับพี่ญดาดีใจมากๆ ผมได้ดูหนังร่างทรงของเค้า แอ็กติ้งระดับตัวแม่ขั้นเทพ แล้วตอนนั้นผมไม่มีความรู้อะไรเลย ก็ดีใจมากๆที่จะได้มาพึ่งพาความรู้จากพี่เค้า ก็พึ่งพิงได้จริงๆ ถ่ายทำจบมาได้อย่างน้ำตาเล็ด ตอนแรกเจอเค้าตอนเวิร์กช็อป ตอนนั้นคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคนทำงานเข้าถึงยาก มีทรง พอมาเจอจริงๆเค้าเป็นคนที่รีแลกซ์มากๆ เฟรนด์ลีมาก เพิ่งรู้ว่าเรียนคณะเดียวกันในมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย”

ฉากหวานๆล่ะ? “เป็นแนวน่ารักๆ เอ็นดู แต่มีความผูกพัน เอาใจช่วย”

พูดถึงป้าแจ๋ว–ยุทธนา ผู้กำกับ? “ป้าแจ๋วเป็นคนที่น่ารัก เจตนาเค้าดีมากๆ เค้ามีความเป็นครูมากๆ คอยสอนเราทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆทั้งการแสดงและเรื่องชีวิต ผมผ่านมาได้เพราะป๋าแจ๋วเลย”

ได้ยินว่าเสียน้ำตาทั้งในละครและตอนถ่ายทำเยอะ? “เสียน้ำตาให้กับทุกๆอย่าง แรกๆที่ผมร้องไห้ครั้งแรกๆพี่ญดาบอกว่าไม่เป็นไรนะมีอะไรบอกพี่ ระบายให้พี่ฟังได้ หลังๆคิวที่ 50 ร้องอีกแล้ว (ยิ้ม) ร้องไห้ทีช่างแต่งหน้าก็ต้องมาแต่งหน้าใหม่ที”

ถ่ายทำไป 8–9 เดือน ร้องไห้ไปกี่วัน? “นับไม่ถ้วนครับ ทุกวันนี้ต้องกินน้ำเยอะๆเพราะเสียน้ำตาไปเยอะ ตั้งแต่อ่านบทเลย พอถ่ายละครเสร็จก็ไม่เครียดแล้วเราเอนจอยทุกอย่าง ทุกคนอยากให้ออกมาดี”

ป้าแจ๋วมีชื่อเสียงด้านกำกับโหด ผ่านการเคี่ยวเข็ญมาจนถึงตรงนี้ ทำให้เราโตขึ้นยังไงบ้าง? “เหมือนเป็นการบังคับให้โตเลยครับ โตแบบก้าวกระโดดจริงๆ ในระยะเวลาการถ่ายไม่กี่เดือน ผมมองว่าผมโตขึ้น น่าจะไปถึงอายุ 32 แล้ว ประสบการณ์ชีวิตต่างๆเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆสำหรับเด็กจบ ม.6 เพิ่งอายุ 18 แล้วมาทำงานแบบนี้ได้ทำงานกับพี่ๆทีมงานทุกคนที่เป็นมืออาชีพ”

รุ่นคุณพ่ออย่างเจมส์–จิรายุ ก็ผ่านมือป้าแจ๋วมาแล้ว? “ผมเจอที่เจมส์ที่งานฟุตบอลช่อง 3 เค้าก็ถามถึงป้าแจ๋วว่าเป็นยังไงบ้าง แล้วเค้าก็ปลอบใจผมว่าไม่เป็นไรพี่เข้าใจ พี่ผ่านมาแล้ว (ยิ้ม)”

การเป็นพระเอกเรื่องนี้ กว่าจะถ่ายจบ เราก็ป่วยเยอะ?

“ใช่ครับ ตอนถ่ายทำละครขวัญฤทัย คิวบู๊มันพลาด ซี่โครงหัก ปอดรั่ว ต้องผ่าตัด ลมรั่วในเยื่อหุ้มปอด ผ่าตัดไปสองครั้ง แล้วค่อยๆดีขึ้นแล้วครับ แล้วก็มีโรคมาเรื่อยๆ มีที่ไปถ่ายละครอีกเรื่องหนึ่ง คือหวานรักต้องห้าม อยู่ๆหัวใจเต้นผิดจังหวะแต่ตอนนี้หายดีแล้ว เกิดจากทำงานเยอะ พอไม่ได้นอน หัวใจเลยเต้นเร็วในระยะเวลาที่นาน แล้วมันฝืนร่างกายก็มีจังหวะที่ไม่ไหว”

สะบักสะบอมอยู่เหมือนกันกว่าจะถึงวันนี้? “ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครเหมือน เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆสำหรับผมนะ มันสอนอะไรผมเยอะว่าถ้าผมไม่เจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ ผมก็คงไม่ใช่ไมกี้วันนี้”

อะไรที่เราคิดว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เป็นไมกี้วันนี้? “ด้วยการทำงานและสิ่งต่างๆที่เจอมา เหมือนเป็นการบังคับให้เราโตเร็วขึ้นมากๆแบบก้าวกระโดดในระยะเวลาในการทำงาน 3 ปีที่อยู่ตรงนี้ได้ประสบการณ์เยอะมากๆ ถ้าเล่าเรื่องทุกอย่างที่เจอมา คิดว่าไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นภายใน 3 ปีนี้ ตั้งแต่เรียนจบเข้ามาแคสต์ช่อง 3 ได้เล่นละครขวัญฤทัย ได้เจอป้าแจ๋ว-ยุทธนา ถ่ายทำไปเจออุบัติเหตุบ้าง เจอคนหลากหลาย เจอเหตุการณ์หลายอย่าง ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลา 3 ปี มันเร็วมากๆมันมีความกดดันเยอะมากๆ เราต้องแบกรับอะไรเยอะไม่เคยทำการบ้านเยอะขนาดนี้ ไม่เคยท้อหนักขนาดนี้ ไม่เคยดีใจได้มากขนาดนี้ ไม่เคยมีความสุขมากขนาดนี้ ทุกอย่างล้นหลามมากๆใน 3 ปีนี้”

แล้วอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าต้องสู้ต่อไปกับอาชีพนี้? “ทุกคนเลยครับ ทุกคนรอบตัวมีผลหมด รวมทั้งตัวเองด้วย ก็เป็นกำลังใจให้ตัวเองด้วยในบางทีแล้วทุกคนก็คอยซัพพอร์ตว่าลองทำดู ชีวิตหนึ่งเกิดได้ครั้งเดียว ก็ลองทำให้เต็มที่ดู ผมไม่อยากผิดหวังแล้วก็ไม่อยากทำให้คนอื่นผิดหวัง เราก็เลยเต็มที่กับทุกอย่าง”

วันที่เหนื่อยสุดๆท้อไม่อยากเป็นไมกี้ตรงนี้แล้ว บอกกับตัวเองยังไง?

“ตอนนั้นก็พยายามดันตัวเองไปเรื่อยๆ มีคนหนึ่งพูดจำไม่ได้ว่าใครพูด เค้าบอกว่าอย่าดูถูกความสามารถของตัวเอง อย่าดูถูกศักยภาพ แล้วก็อย่าดูถูกลิมิตของตัวเอง คนเราไม่ได้มีลิมิต ลิมิตมันสามารถดันขึ้นไปได้เรื่อยๆแล้วผมก็ดันลิมิตนี้มาตลอดๆ พอทุกอย่างเสร็จสิ้น มองย้อนกลับไปเรามาไกล มันทำให้เราภูมิใจมากๆครับ”

มีจังหวะที่เราดันไปแล้วคิดว่ามันสุดแล้วแต่ยังไปไม่ถึงมั้ย? “ก็มีนะครับ ก็กลับมาอยู่กับตัวเอง กลับมาคิดว่าความสุขเราอยู่ตรงไหน สิ่งที่เราทำเราต้องการอะไร”

เคยคิดบ้างมั้ยว่าที่ตรงนี้มันไม่ใช่ที่ของเรา? “มีคิดอยู่แล้วครับ ตอนถ่ายผมนั่งร้องไห้ทุกวัน ถึงขั้นที่แบบคิดว่าไม่อยากมาไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้ ระหว่างทางก็ไม่อยากเจอใครไม่อยากคุยกับใคร เมื่อไหร่จะจบสักทีคิดแบบนี้ตลอดเวลา”

แล้วลุกขึ้นมาได้ด้วยอะไร? “หาความสุขระหว่างทาง มันอยู่ที่มุมมอง ถ้าเรามองแต่ในแง่ร้ายเราก็จะคิดแต่ในมุมนั้น แล้วเราก็จะท้อไปด้วย แต่ถ้าเรามองแง่ดี มองแต่สิ่งดีๆมองถึงโอกาส ความโชคดี มันก็ช่วยดันเอเนอร์จีเราขึ้นเรื่อยๆ”

3 ปีนี้อะไรที่เป็นความสุขที่สุด? “สุขที่ผลงานได้ออกมาแล้วครับ มันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต่อสู้มาน้ำพักน้ำแรง หยาดเหงื่อ น้ำตา เลือดของเรามันอยู่ในนั้น ผมอยากเห็นตัวเองในละคร”

วันนี้มุมมองวงการบันเทิงเปลี่ยนไปมั้ย?

“เปลี่ยนไปเยอะมากๆ แล้วรู้สึกดีมากๆ ตอนนี้ผมตกหลุมรักการแสดงไปแล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากจะประสบความสำเร็จในฐานะที่ตัวเองได้ขึ้นชื่อว่ามีอาชีพเป็นนักแสดงครับ”

แม่ว่ายังไงบ้างที่ลูกเป็นดารา? “แม่ก็กรี๊ดครับ แต่คนที่กรี๊ดดังกว่าแม่คือยาย ดีใจเห็นที่บ้านภูมิใจเรายิ่งรู้สึกตื้นตัน ความแม่เนอะ ก็ส่งฟีดแบ็กมาเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวนี้เค้าเล่น X เป็นแล้วนะ เอาไว้ส่องด้วย”

แล้วอะไรคือความฝันของไมกี้? “อยากเป็นผู้ให้ครับ อาจจะฟังดูเป็นภาพรวมมากๆ แต่ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขกับเอเนอร์จีที่ผมได้รับมาหลังจากที่ผมให้เค้าไป”

อย่างเช่นอะไรที่รู้สึกว่าการเป็นผู้ให้มันดีกับเราเหลือเกิน? “ยกตัวอย่างละครนี้ก็ได้ ผมทุ่มเทมากๆ แล้วพอได้ฟีดแบ็กกลับมาดีแล้วคนชอบ มันทำให้ภูมิใจกับตัวเองว่าเราทำให้คนชอบนะ เราอินสไปร์คนได้นะ มันมีคุณค่ากับผมมากๆ แล้วมันเป็นแรงผลักดันให้ผมไปต่อเรื่อยๆกับชีวิตได้ ไม่ได้จำกัดว่าผู้ให้คืออะไร มันให้ได้ทุกอย่าง ให้ความสุข ให้รอยยิ้ม ให้ความรู้”

ทำไมเรามีความคิดแบบนี้? “คงเป็นเพราะครูแหละครับ สิ่งที่ผมอยากเป็นครูอยู่แล้วด้วย ซึ่งครูเป็นอาชีพที่เป็นผู้ให้สูงสุด อาจจะเป็นเพราะแม่เป็นครูด้วย ผมไม่รู้ว่าความคิดนี้มาจากไหน แต่รู้สึกว่ามันเป็นความสุขของผมเลย”.

เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2782921
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2782921