“แสงสุรีย์” ไหว้ “บิณฑ์” พารักษา มีความหวังตาขวาจะกลับมามองเห็น โต้สร้างภาพจน ไม่เปิดรับบริจาค


ให้คะแนน


แชร์


“บิณฑ์” พา “แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์” เข้ารับการรักษาตาขวามองไม่เห็นฟรี รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ประสานจัดการเรื่องค่ารักษา พร้อมดูแลทุกขั้นตอน เผยพร้อมปรับปรุงบ้านให้สมฐานะนักร้องชื่อดังมีรางวัลการันตีความสามารถ ด้านแสงสุรีย์ยกมือไหว้ขอบคุณ เหมือนได้ชีวิตใหม่ เผยไม่น้อยใจถูกตราหน้าสร้างภาพจน ไม่อยากตกเป็นขี้ปากเลยไม่เปิดรับบริจาค ยันเงินที่ได้มาใช้หมดไปนานแล้ว มีนักร้องอีกหลายรายที่เป็นเหมือนตนแต่ไม่กล้าแสดงตัวเพราะอาย

หลังจาก “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” และ “เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ได้เดินหน้าลงพื้นที่แจกเงิน เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จนบังเอิญไปพบกับอดีตนักร้องลูกทุ่งดังอย่าง “แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์” และได้มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นเป็นจำนวน 10,000 บาทไปแล้วนั้น

วันนี้ (22 พ.ค.) บิณฑ์ยังคงให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยการพาแสงสุรีย์มาพบทีมแพทย์ ที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ หลังจากที่ทางโรงพยาบาลขอให้ช่วยประสานอดีตนักร้องดังมาเข้ารับการรักษาอาการเลนส์ตาหลุด

บิณฑ์ : “วันนี้ได้พาพี่แสงสุรีย์มาพบคุณหมอ ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดีมากๆ เลยนะครับ เพราะว่าผมเองก็คิดว่าจะไปวัดไร่ขิง เพราะว่าปกติแล้วที่บ้าน คุณแม่ก็เคยไปรักษาเรื่องสายตาอยู่ที่นั่นแล้วก็โอเค แต่โรงพยาบาลพริ้นซ์เนี่ยมีวัตถุประสงค์คืออยากจะช่วยเหลือพี่แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ อยากจะรักษาให้ฟรี บอกคุณบิณฑ์พามาเลยนะครับ ไม่ต้องอะไรเลย ผมจัดการให่หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ค่ารักษาจะเท่าไหร่ก็แล้วแต่ โรงพยาบาลจัดการให้หมด”

ผมรู้สึกซาบซึ้งมากเลย ให้ลูกน้องโทร.ไปบอกพี่แสงสุรีย์ว่าเตรียมตัวเลยนะครับ เพราะทางโรงพยาบาลเขาจะรักษาให้ฟรี เขาก็ดีใจ เลยนัดมาวันนี้นะครับ แล้วก็คิดว่าอีกไม่เกิน 2-3 อาทิตย์ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย แล้วก็จะกลับไปเป็นนักร้องที่โด่งดังเหมือนเดิม แต่งเพลงไปแล้ว 1 เพลงด้วย ยังไงทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่พี่เขาด้วย เพราะห้องพี่เขา ผมเข้าไปพระเต็มเลย เขาเป็นคนธรรมะธรรมโมเหมือนกัน”

แสงสุรีย์เผยไม่ทราบข่าวมาก่อน ว่าบิณฑ์จะลงไปช่วยเหลือ คงเป็นเพราะดวงหรือวาสนานำพาให้ได้เจอกัน
แสงสุรีย์ : “ไม่รู้ครับ คือผมมัวแต่ไปอยู่บ้านนอก แล้วผมมาพอดี ไม่รู้เป็นดวงผมหรือว่าวาสนาผมไม่รู้ มารู้ตอนที่เขาไปแจกผู้ตกทุกข์ได้ยากในซอย ผมก็เลยโผล่ออกมาที่หน้าบ้านครับ ไปยืนรอที่เขาจะผ่านไป เขาเห็นผมแต่เขาก็ยังไม่รู้จักผม ผมก็เลยถามว่าจำผมได้ไหม ผมก็สวัสดีครับเจ้านาย เขาก็เหมือนจำไม่ได้ เพราะเราปิดหน้า แล้วเราก็เอาหน้าออก แล้วก็ร้องเพลงให้เขาฟัง เขาก็เลยรู้ ร้องกันใหญ่เลยทีนี้ ก็สนุกกัน ร้องเพลงรักสาวเสื้อลาย (ร้องเพลง) แต่เขาร้องดีกว่าผมอีก”

บิณฑ์ : “เป็นเพลงที่เมื่อก่อนผมไปโชว์ตัวที่ไหนก็แล้วแต่ เพลงรักสาวเสื้อลายผมจะร้องประจำ เอาเสียงเพลงเสียงร้องของพี่แสงสุรีย์ไปใช้มาตลอดหลาย 10 ปี จนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอพี่เขา ผมต้องตอบแทนบุญคุณ วันนั้นผมได้เจอแล้วก็คิดในใจว่าผมจะต้องดูแลพี่เขา ต้องช่วยเหลือเขา จะกระทั่งวันนี้พามารักษาดวงตา ส่วนเรื่องความเป็นอยู่นั้น เดี๋ยวอนาคตข้างหน้าผมจะดูว่าต้องยังไงบ้าง เพราะบ้านเขาเห็นบอกว่าเจ้าของบ้านยกให้แล้ว เราจะเข้าไปปรับปรุง เราจะเข้าไปทำให้ดีขึ้น เอาให้สมกับว่านี่คือนักร้อง เคยได้เสียงทองคำไหม”

แสงสุรีย์ : “เคยได้รับโล่ทองคำจากองค์สมเด็จพระเทพฯ ที่ท่านเสด็จไปชมด้วยตัวเอง ในลูกทุ่งกึ่งศตวรรษ เป็นศิลปินลูกทุ่งยอดนิยม”

บิณฑ์ : “เพราะฉะนั้นเราต้องเอาความเป็นอยู่ของเขาให้ดี ทั้งเรื่องห้องนอน ห้องน้ำ ห้องรับแขก เดี๋ยวไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราจะเข้าไปดู แล้วอีก 2-3 เดือนข้างหน้ามันจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง”

เรื่องสายตาเริ่มมองไม่เห็นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว
แสงสุรีย์ : “ตอนแรกก็ไปร้องเพลงอยู่ดีๆ นี่แหละครับ ที่พะเยา ทีนี้ปลายเดือนกุมภาพันธ์ โรคโควิด-19 กำลังมา เราก็ว่าตาทำไมมันเป็นอย่างนี้ อะไรเข้าตา หรือว่าเกลือเข้าตา ทำไมมันแสบ มันพร่ามัว มองอะไรไม่เห็น ทีนี้ก็เริ่มมองไม่เห็นเลย ตัวหนังสือที่เขาเขียนขึ้นไปบนเวทีคือไม่เห็นเลยครับ ไม่เห็นจริงๆ ข้างขวานะ เพิ่งเป็นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ ที่ว่าเลนส์ตามันหลุด มาด้ายโผล่มาที่คุณหมอบอก”

ก่อนหน้านี้ไปหาหมอแล้ว แต่ทางแพทย์ขอประวัติโรงพยาบาลเก่า ยังไม่ได้เอาไปให้ก็มาเจอกับบิณฑ์ก่อน
แสงสุรีย์ : “ตอนที่มองไม่เห็นแล้ว ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลมหาชัยก่อนที่จะพบกับบิณฑ์ ที่ไปที่บ้าน หมอบอกว่าเลนส์ตามันหลุด เห็นด้ายโผล่มา เขาก็ให้ผมหาประวัติที่เคยไปรักษาที่วัดไร่ขิง ทีนี้มาเจอบิณฑ์ก่อน ก็เลยยังไม่ได้ไป เลยมาที่นี่เลย”

ตอนมองไม่เห็นรู้สึกหงุดหงิดมาก เดินไปไหนก็สะดุด ประจวบกับติดโควิดพอดี เลยไม่ได้ไปร้องเพลง ทำให้ขาดรายได้
แสงสุรีย์ : “ก็หงุดหงิดครับ เดินไปไหนมันก็สะดุด พอดีก็ไปร้องเพลงไม่ได้ โควิดมันลงไง พอดีเลยก็เลยหยุดยาว ปกติไม่มีโควิดก็จะร้องเพลงตามงานวัด ได้ 5-6 พัน บางทีก็หมื่นนึงแล้วแต่ไกลใกล้”

มีความหวังว่าจะกลับมามองเห็นชัดอีกครั้งแน่นอน
แสงสุรีย์ : “คิดว่าจะต้องสร้างชีวิตใหม่ให้ผมแน่นอน ต้องเห็นแน่นอน เพราะคุณหมอบอกไว้แล้ว จะได้กลับมามองเห็นอีกครั้งก็ดีใจครับ มันภาคภูมิใจ ดีใจมากเลย เพราะว่าถ้าเรามองเห็น อะไรๆ มันก็จะสะดวกขึ้นครับ จะไม่ลำบากคนอื่นอีก”

ขอบคุณบิณฑ์และเอกพันธ์ที่มาช่วยเหลือ เหมือนมอบชีวิตใหม่ให้เลย
แสงสุรีย์ : “ก็อยากบอกเจ้านายทั้งสองคนนะครับ ที่ช่วยเหลือผมในครั้งนี้ ก็เหมือนได้มอบชีวิตใหม่ให้ผมอีกครั้งหนึ่ง ให้ผมได้มองเห็น”

ไม่กังวลเรื่องโรคประจำตัว เพราะเป็นแค่เบาหวาน
แสงสุรีย์ : “เบาหวานผมไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ มีแค่เบาหวาน”

บิณฑ์ : “ก็เป็นอะไรที่ผมอยากจะตอบแทนบุญคุณด้วยที่เอาเพลงเขาไปร้อง เอาเงินมากินไม่รู้กี่ล้านแล้ว ได้เจอพี่แสงสุรีย์ครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว นึกถึงคนแรกเลย แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ วันเกิดผม 27 พฤษภาคม จะถึงอยู่วัน 2 วันนี้แล้ว ผมติดต่อแสงสุรีย์ รุ่งโรจน์มาร้องเพลงให้ผมฟังครับ 2 ปีที่แล้วพี่เขามาแบบหล่อมาเลยครับ ใส่สูทมา นึกในใจพี่เขานี่มีฐานะ แต่งตัวดีมาก ร้องเพลงอยู่ 3 เพลง ผมดีใจมาก วันนั้นศิลปินลูกทุ่งทั้งหมดเลยที่ผมชื่นชอบมาประมาณ 10 กว่าคน คือผมอยากจะให้กลับมาร้องเพลง อยากจะมอบสินน้ำใจให้กับพี่ๆ เขา ถ้ามีโอกาสจะจัดงานหรืออะไรก็แล้วแต่ นักร้องพวกนี้ยังมีคุณภาพอยู่ ยังอยากที่จะร้องเพลงอยู่ แต่ไม่มีใครที่จะจ้าง ไม่มีใครให้ไปร้องเพลง เอาพวกเขากลับมาครับ เขาจะได้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จะได้เป็นขวัญใจของพี่น้องประชาชน ผมว่าอายุ 40 ขึ้นไปรู้จักหมด แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ เจ้าของเสียงเพลงรักสาวเสื้อลาย”

แต่งเพลงเพื่อเป็นการขอบคุณ
แสงสุรีย์ : “ครับ เป็นการขอบคุณด้วย ตั้งใจแต่งขอบคุณทุกคน แต่เนื้อหาก็เกี่ยวกับผมด้วย ช่วงที่ผมได้ตกทุกข์ได้ยาก ช่วงที่ไปร้องเพลงไม่ได้ เพราะว่าสายตาแล้วก็พอดีกับโควิด-19 ด้วย ไปร้องเพลงไม่ได้ก็ไม่มีรายได้ ก็เลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมา โดยที่ผู้ประพันธ์ช่วยกันสนับสนุน อยากให้ผมได้มีตังค์ ถ้ากดไลก์กันเยอะๆ ผมก็จะได้บ้างก็ยังดีครับ (ร้องเพลง แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ คนโปรดคุณผู้ฟัง ร้องเพลงโด่งดัง ยังไม่มีรถขี่ หลายปีที่ผ่านมา หิ้วกระเป๋าจนเอือมระอา ใส่เสื้อลายเต๊ะท่า ขึ้นรถเมล์ประจำ เช่าบ้านหลังนี้อยู่มานาน ทรุดโทรมตามกาล ใครสงสารผมบ้าง น้องนางก็จากกัน พบบิณฑ์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ มาช่วยชีวิตตอนที่ผมตกต่ำระกำมากกว่าใคร)”

นอกจากความช่วยเหลือจากบิณฑ์แล้ว มีคนติดต่อเข้ามาช่วยเหลือบ้าง แต่ตนไม่ได้เปิดรับบริจาคอะไร และไม่เปิดบัญชีด้วย เพราะคนจะมองว่าสร้างภาพ
แสงสุรีย์ : “มีบ้างครับ แต่ผมไม่รับบริจาคอะไรเลย ไม่เปิดบัญชีอะไรเลย มีคนบอกว่าทำไมไม่เปิด คนจะหาว่าเราสร้างภาพเกินไปครับ”

ฝากถึงบางคนที่ไม่เชื่อว่าเป็นนักร้องตกอับจริงๆ เพราะเมื่อก่อนก็รุ่งโรจน์มาก ว่าอยากให้ดูดีๆ ตนไม่ได้สร้างภาพจน แต่มันเป็นเรื่องจริง
แสงสุรีย์ : “ก็มันมีชื่อเสียงตอนนั้น พวกที่ทำแผ่นเสียงก็ยังอยู่ แต่พอเขาตายหมดแล้วผมก็ไม่มีคนทำ (ตอนนี้คนก็จ้องโจมตีเราอยู่?) ตอนนี้ถ้าผมเปิดบัญชีบริจาคมีแน่นอนครับ เขาพูดมาเลยว่าอย่าสร้างกระแส เราก็เลยไม่เปิดหรอกครับ เพราะเขาพูดมาแล้วในเน็ตเยอะ ที่พูดอย่างนี้ก็มีส่วนน้อย แต่พูดว่าน่าสงสารมีเยอะมากกว่า เราก็ไม่น้อยใจหรอกครับ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ว่าผมยากจนจริงๆ เงินที่ได้เมื่อก่อนมันก็ใช้หมดไป มันหลายปีแล้ว เราเป็นนักร้องเก่าแล้ว ก็อยากจะบอกคนที่คิดแบบนี้ว่ามองดูดีๆ ผมไม่ได้สร้างภาพครับ ที่เห็นในบ้านผมมันเป็นเรื่องจริงครับ”
นอกจากเคสของแสงสุรีย์แล้ว ยังไม่มีเคสนักร้องคนอื่นมาขอความช่วยเหลืออีก แต่คิดว่าหลังจากข่าวนี้ออกไป น่าจะมีเพิ่มขึ้น ด้านแสงสุรีย์เผยมีนักร้องที่เป็นแบบตนเยอะ แต่ไม่กล้าออกมาขอความช่วยเหลือเพราะอายที่เคยโด่งดัง
บิณฑ์ : “ตอนนี้ยังครับ แต่ผมว่าข่าวของพี่แสงสุรีย์ออกไป น่าจะก้าวกันออกมา”

แสงสุรีย์ : “มีอีกครับ มีเยอะเลย แต่ผมไม่บอกชื่อ เป็นแบบผม หรือด้อยไปกว่าผมก็มีเยอะครับ แต่เขาไม่กล้าแสดงตัวเลย เพราะว่าเขาอายหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเขาเคยดังมาก่อน”

บิณฑ์ : “ผมถึงบอกว่าสิ่งหนึ่งมี่เขาไม่กล้าออกมาเปิดเผยกับสังคม เพราะว่าเขาเป็นนักร้องที่โด่งดังมากสมัยก่อน อย่างพี่แสงสุรีย์ ใครจะคิดว่าจะอยู่อย่างนี้ เคยมีเงินร้องเพลงวันละ 5 พัน วันละหมื่น ตอนนี้ 2 เดือนผ่านมามันไม่มีเพลงที่จะไปร้องที่ไหน ไม่มีใครที่จะให้ร้อง มันก็หมดสิครับ เพราะฉะนั้นนักร้องเก่าๆ หรือคนที่อยู่ในสภาพแบบนี้ บอกผมเถอะครับ ผมจะเก็บไว้เป็นความลับ”

หลังจากนี้จะช่วยเหลือต่อไป ทั้งเรื่องเงินและปรับปรุงบ้าน
บิณฑ์ : “ผมก็จะช่วยเหลือหมดแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยู่ ค่าเช่าบ้าน หรือจะเป็นเรื่องเงินในการช่วยเหลือเบื้องต้นผมก็ยินดีที่จะช่วย อย่างวันนั้นที่ผมไป ถ้าผมไปเจอโดยต่างหากนะ ถ้าผมรู้ ไอ้เงินหมื่นนึงผมไม่ได้ให้พี่เขาหรอก ผมจะให้มากกว่านั้น แต่ถ้าโควิด ผมจะให้ครอบครัวละ 500 บาท แต่ไปเจอพี่เขา มันก็ต้องมากกว่า พิเศษกว่า เพราะคือขวัญใจของผม หลังจากนี้ก็จะช่วยเหลือเพิ่มแน่นอน แต่ต้องดูว่าบ้านของพี่เขาจะทำอะไรได้บ้าง ก็คงจะไปช่วยปรับปรุงเรื่องบ้านก่อน ปรับปรุงบ้านก็ต้องก้อนโตอยู่แล้ว อย่างน้อยก็เป็นแสนอยู่แล้ว”

แสงสุรีย์ : “ตอนนี้เงินหมื่นก็ยังเหลืออยู่นิดหน่อยครับ”

ด้าน “นายแพทย์วรัญญ์ เทียนส่ง” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ได้เผยว่าถึงการที่มาของการรับแสงสุรีย์เข้ารักษาดวงตาในครั้งนี้ว่า
“ขอบคุณนักข่าวที่ให้โอกาสกับทางโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ได้ร่วมในการดูแลคุณแสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ แล้วคุณบิณฑ์เองก็เป็นผู้ได้ไปพบกับคุณแสงสุรีย์ที่บ้าน แล้วพอทราบว่ามีปัญหาในการมองเห็น ทางโรงพยาบาลเราก็มีคุณหมอทางด้านจักษุแพทย์ มีอุปกรณ์เครื่องมือ ก็คิดว่าเราน่าจะช่วยได้ เลยขออนุญาตติดต่อผ่านทางคุณบิณฑ์ไปเผื่อจะช่วยประสานให้ วันนี้ก็ได้เป็นโอกาสดีที่ได้พามาพบคุณหมอที่โรงพยาบาล”

“ในเรื่องของสายตาของคุณแสงสุรีย์ ทางเราจะช่วยดูแลให้จนกว่าจะรักษาดวงตาจนจบสิ้นสมบูรณ์ ก็คือดูกันไปเรื่อยๆ โรงพยาบาลเราเป็นผู้ให้อยู่แล้ว แล้วบังเอิญว่า 2 อาทิตย์ก่อน เราทำโครงการผ่าต้อกระจกฟรีให้กับผู้ยากไร้ในชุมชนบางแก้ว เราตั้งไว้ประมาณ 10 ราย แล้วน้องคุณหมอที่โรงพยาบาลเราเห็นข่าว ก็เลยมาบอกว่าอย่างนั้นทำไมเราไม่มาผ่าให้คุณแสงสุรีย์ด้วย เพราะน่าจะเป็นโรคในกลุ่มเดียวกัน เราก็อยากจะมีส่วนช่วยได้”

“แล้วคุณหมอก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการแก้ไขสายตา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรายังบอกอะไรไม่ได้ เพราะว่าการตรวจละเอียดต้องขยายม่านตาก่อน แต่ถ้าขยายม่านตาก็จะมานั่งสัมภาษณ์ไม่ได้เพราะมันจะจ้าไปหมดเลย เราก็เลยกะว่าเดี๋ยวคุยกันก่อน แล้วไปตรวจละเอียดอีกทีหนึ่ง หลังตรวจละเอียดขยายม่านตาประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วพอตรวจดูแล้ว ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็น่าจะสรุปได้ว่าตกลงเป็นอะไรบ้างภายในดวงตา ควรจะทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร”

“ซึ่งคุณแสงสุรีย์ก็มีโรคประจำตัวอยู่ เราก็เตรียมการสำหรับเรื่องโรคประจำตัวต่างๆ เพื่อให้ดมยาสลบผ่าตัดมีความปลอดภัย ซึ่งก็วางแผนว่าน่าจะได้ประมาณวันอังคารนี้ เราอาจจะทำการผ่าตัดได้ เพราะว่าต้องปรึกษาหมออายุรกรรม หมอดมยา เอ็กซเรย์เตรียมพร้อม เช็กทุกอย่างว่าดมยาสลบปลอดภัย ซึ่งการผ่าตัดก็อาจจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นประมาณอาทิตย์หนึ่ง ก็น่าจะเปิดตาเปิดแผล น่าจะมองเห็นได้ดี ทีนี้มันจะชัดร้อยเปอร์เซ็นต์เท่าเดิมไหม ขึ้นอยู่กับสภาพจอประสาทตาที่คงเหลืออยู่หลังจากที่มันไม่ได้ใช้งานมานาน เหมือนกล้ามเนื้อมันก็ลีบฝ่อไปบ้าง เราก็ยังไม่รู้ว่าจะเห็นได้ขนาดไหน แต่ว่าเท่าที่ทดสอบตรวจร่างกายวัดสายตาเบื้องต้น เอาเลนส์วางเข้าไปก็มองจะเห็นชัดขึ้น ก็หมายความว่าน่าจะมีความหวังที่จะมองเห็นได้ชัดขึ้น แต่จะเป๊ะเท่าเด็กหนุ่มอายุ 17 ไหม เราคงจะบอกไม่ได้นะครับ”

ในนามของทางโรงพยาบาลถ้าได้มีโอกาสที่คุณบิณฑ์ เจอเคสเจอผู้ป่วยก็ติดต่อทางโรงพยาบาลได้ เพราะว่าเคสของคุณแสงสุรีย์ ก็ถือว่าเราคงทำบุญร่วมกันมาถึงได้มาเจอกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณบิณฑ์จะชวนเราไปทำบุญอีก เราก็ยินดีนะครับ ก็ขอให้แจ้งกับทางโรงพยาบาลได้ ไม่เฉพาะตาอย่างเดียว อย่างอื่นก็ได้ครับ แต่ว่าโรงพยาบาลเราเพิ่งเปิดมาได้ 4-5 เดือนครับ เชี่ยวชาญบางแผนกเราอาจจะยังไม่มี แต่เราประสานให้ได้ เพราะในกลุ่มแพทย์ต่างๆ เราก็มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ ไม่มีปัญหาเริ่มต้นจากที่นี่ได้ เรามีวิธีการต่อไปว่าจะดำเนินการต่อไป ถ้าเรารักษาไม่ได้เราก็ส่งปรึกษาโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า หรือโรงพยาบาลในเครือข่ายได้”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9630000053603
ขอขอบคุณ : https://mgronline.com/entertainment/detail/9630000053603