วรรณกรรม ล้ำ เวลา แกะรอย 9 หนัง "คริสโตเฟอร์ โนแลน" ก่อนชม TENET


ให้คะแนน


แชร์

Memento

เมื่อเริ่มมีชื่อเสียง ‘โนแลน’ จึงได้รับความไว้วางใจจากสตูดิโอด้วยการให้เงินทุน 9 ล้านเหรียญสหรัฐ สร้างภาพยนตร์ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล ที่มีชื่อว่า Memento ในปี 2000 ซึ่งถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนังอินดี้ ทุนต่ำ แต่ด้วยการนำเสนอการเล่าเรื่องแบบใหม่ที่เล่นกับ “ปริศนาทางจิตวิทยา” ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมสุดแพรวพราว สลับกับการตัดการเล่าเรื่องไปมาระหว่าง 2 Timeline ในปฏิบัติการไล่ล่าหาฆาตกรที่ลงมือสังหารเมียตัวเอง ทำให้ภาพยนตร์เรื่องแรกของ ‘โนแลน’ ที่ร่วมแชร์ไอเดียและเขียนบทภาพยนตร์กับน้องชาย ‘โจนาธาน โนแลน’ สามารถทำเงินเฉพาะในสหรัฐอเมริกาได้ถึง 25.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ รายรับจากทั่วโลกอยู่ที่ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ และนอกจากหนังจะทำเงินแล้ว เสียงอื้ออึงไปด้วยความชื่นชมในความดีงามของมัน ยังทำให้ ‘โนแลน’ ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งแรกจากสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม รวมถึงยังสามารถกวาดรางวัลตามเทศกาลหนังต่างๆ ได้อีกจำนวนมาก

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ ‘โนแลน’ เรียนรู้จากการทำภาพยนตร์เรื่องนี้ และถือเป็นการสร้าง “รอยทาง” สำหรับสูตรการสร้างภาพยนตร์เฉพาะตัวในเวลาต่อมา คือ “การจัดโครงสร้างการเล่าเรื่องโดยใช้ ‘ห้วงเวลา’ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเย้ายวนให้ผู้ชมรู้สึกสงสัยและมีส่วนร่วมไปกับมัน” ซึ่งเป็นที่ยอมรับตราบจนทุกวันนี้ว่าจะหาใครสามารถลอกเลียน “รอยทาง” นี้ได้ยากเหลือเกิน

“คนทำภาพยนตร์ควรทดลองการเล่าเรื่องที่ไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลกแยก หรือทำในสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ผมมั่นใจว่า ผมเห็นตัวเองเป็นพวกทำหนังตามกระแสหลักตลอดมา เอาล่ะ…บางคนอาจจะยังไม่ได้คำตอบ จากทุกๆ คำถามในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่หากคุณย้อนกลับไปดูมันอีกสัก 2-3 รอบ หรือมากกว่านั้น คุณก็จะอาจจะได้คำตอบเหล่านั้นเอง สิ่งที่ผมพอใจมากที่สุดสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ มันได้เข้าไปอยู่ในหัวของผู้คนจำนวนมากได้จริงๆ” ‘โนแลน’ กล่าวถึงหนัง Memento

Insomnia

เมื่อสามารถสร้างหนังทุนต่ำ แต่สามารถโกยเงินได้อย่างมหาศาล ชื่อเสียงของ ‘โนแลน’ จึงเริ่มหอมหวน เขากลายเป็น WONDER KID ที่น่าจับตาในฮอลลีวูดทันที สตูดิโอใหญ่อย่าง Warner Bros จึงมอบโปรเจคที่เริ่มใหญ่ขึ้นจากเดิมให้ ‘โนแลน’

Insomnia หนัง crime thriller ที่รีเมคมาจากภาพยนตร์สัญชาตินอร์เวย์ คือผลงานเรื่องต่อมา โดยคราวนี้ผู้กำกับหนุ่มหน้าใหม่ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายมากที่สุดครั้งหนึ่งในฐานะผู้กำกับดาวรุ่ง เมื่อต้องไปร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือระดับ A-list อย่าง ‘โรบิน วิลเลียมส์’ (Robin williams ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว), ‘อัล ปาชิโน’ (Al Pacino) และ ‘ฮิลารี สแวงค์’ (Hilary swank) ซึ่งเพิ่งคว้าออสการ์จากภาพยนตร์ Boys don’t cry (ปี 2000)

แต่สุดท้ายผลลัพท์ก็ยังคงเหมือนเดิม หนังทุนสร้างระดับกลาง 40 ล้านเหรียญสหรัฐ จากฝีมือของผู้กำกับดาวรุ่งผู้นี้ ซึ่งออกฉายในปี 2002 ที่ถึงแม้จะต้องออกฉายในช่วงเวลาเดียวกับหนังฟอร์มยักษ์ อย่าง Star wars Episode 2 และ Spider-Man แต่ Insomnia ก็ยังสามารถทำเงินในสหรัฐอเมริกาได้ถึง 67 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ รายรับทั่วโลกอยู่ที่ 113.8 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยสิ่งที่ ‘โนแลน’ ได้ฝากฝีมือเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ การพลิกบทบาทของ ‘โรบิน วิลเลียมส์’ จากนักแสดงตลกอารมณ์ดีไปสู่ความน่าขนลุกชวนสยองได้อย่างเหลือเชื่อ!

“ผมคิดว่าผู้คนน่าจะรู้สึกชื่นชอบกับการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของ ‘โรบิน วิลเลียมส์’ ได้เห็นการแสดงที่คงไม่มีใครสามารถจินตนาการไปได้ถึง ‘โรบิน’ รู้สึกตื่นเต้นมากๆ กับการที่ได้แสดงฝีมือในภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะมันมีทั้งความเซอร์ไพรซ์และความเหมือนจริงจนน่าขนลุก” ‘โนแลน’ กล่าวถึงหนัง Insomnia

Batman begins

ด้วยวัยเพียง 30 เศษ แต่สามารถเริ่มต้นสร้างหนัง 2 เรื่องทำเงินติดต่อกัน ย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาในฮอลลีวูด มันจึงถึงเวลาแล้ว ที่รอยเท้าต่อไปของชายผู้นี้จึงต้องเป็นอะไรที่ “ใหญ่ยักษ์ขึ้นกว่าเดิม”

สตูดิโอ Warner Bros ซึ่งกำลังปลาบปลื้มกับดาวรุ่งพุ่งแรงดวงนี้ จึงไว้วางใจมอบโปรเจก Franchise ระดับตำนานอย่าง Batman ที่ ณ เวลานั้น (ยุค 90) กำลังอยู่ในช่วงโรยรา หลังสุดยอดผู้กำกับอย่าง ‘ทิม เบอร์ตัน’ (Tim burton) วางมือ (กำกับ 2 ภาค 1989-1992) และ สตูดิโอปล่อยให้ผู้กำกับคนอื่นๆ เอา Batman ไปละเลงจนเละตุ้มเป๊ะ มามอบให้ ‘โนแลน’ นำไปตีความใหม่ในแบบฉบับของตัวเอง เพื่อหวังให้ Batman กลับมาฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง และแน่นอน ย่อมตามมาด้วยเม็ดเงินก้อนมหึมาครั้งแรกในชีวิตของ ‘โนแลน’

และการ Reboot Batman ภายใต้นิยามใหม่ที่เต็มไปด้วยความซีเรียส จริงจัง และสมเหตุสมผล ใน Batman begins ที่ออกฉายในปี 2005 ได้รับเสียงปรบมือโห่ร้องต้อนรับจากเหล่าแฟนคลับมนุษย์ค้างคาวทั่วทั้ง 10 ทิศ การแสดงของ ‘บรูซ เวย์น’ คนใหม่ ‘คริสเตียน เบล’ (Christian bale) และการกำกับของ ‘โนแลน’ สามารถเรียกศรัทธาและกอบกู้ชื่อเสียงของ Batman ให้กลับมาเป็นคาแรกเตอร์แถวหน้าของ ฮอลลีวูดได้อีกครั้ง จากทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญสหรัฐ Batman Begins ทำเงินเฉพาะในสหรัฐอเมริกาถึง 206 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนทั่วโลกสามารถทำเงินได้รวมถึง 373 ล้านเหรียญสหรัฐ!

“เรื่องราวต้นกำเนิดของ Batman มีการพูดถึงน้อยมากก่อนหน้านี้ ผมเลยอยากลองพยายามทำให้มันดู Real ให้มากที่สุดในแบบที่ไม่เคยมีใครทำกับบรรดา Superhero ฉบับภาพยนตร์มาก่อน สำหรับผม Batman เป็นหนึ่งในคาแรกเตอร์ที่เต็มไปด้วยความซีเรียสอย่างชัดเจนที่สุด เพราะ เขาไม่ได้มาจากดวงดาวอื่น หรือเต็มไปด้วยพลังจากกัมมันตภาพรังสี ผมหมายถึงหาก Superman เป็นพระเจ้า Batman ก็น่าจะเป็นเหมือน Hercules นั่นก็เพราะเขาเป็นมนุษย์ที่มีความบกพร่องมากมาย แต่ในบางครั้งก็เป็นสะพานเชื่อมความแตกแยกได้” ‘โนแลน’ กล่าวถึงหนัง Batman begins

The Prestige

หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับ Batman begins ‘โนแลน’ ไม่รีบร้อนที่จะทำภาคต่อมนุษย์ค้างคาวในทันที เขากลับไปร่วมงานกับน้องชายในการเขียนบทและสร้างหนังทุนสร้างระดับกลางกับภาพยนตร์เรื่อง The Prestige หนังที่ว่าด้วยโลกของนักมายากลในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเต็มไปด้วยนักแสดงระดับแม่เหล็กอย่าง ‘คริสเตียน เบล’ (Christian Bale), ‘ฮิวจ์ แจ็คแมน’ (Hugh Jackman), ‘สการ์เล็ต โจแฮนส์สัน’ (Scarlett Johansson) และแขกรับเชิญที่สุดเซอร์ไพรซ์อย่าง ‘เดวิด โบวี’ (David Bowie) นักร้องชื่อดัง (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) โผล่มารับบท ‘นิโคลา เทสลา’ (Nikola Tesla) อัจฉริยะนักประดิษฐ์ แต่สิ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญจากเหล่าแฟนเดนตาย คือ พล็อตที่มีลูกล่อลูกชนอย่าชาญฉลาด แถมยังสุดอำมหิตกับคนดูในแง่ที่ต้องห้ามกระพริบตา จากการนำเสนอเหตุการณ์ flashbacks ซ้อน flashbacks ของเหล่าตัวละคร การถูกสับขาหลอก ล่อลวงสารพัดสารพันในภาพยนตร์เรื่องนี้

ฉะนั้นคงไม่น่าแปลกใจใช่ไหม? ที่ The Prestige หนังต้นทุน 40 ล้านเหรียญสหรัฐ ของสตูดิโอดิสนีย์ ซึ่งออกฉายในปี 2007 ทำเงินเฉพาะในสหรัฐฯ ไป 53 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนทั่วโลกทำเงินไป 109 ล้านเหรียญสหรัฐ

“สำหรับผม The Prestige มันคือภาพสะท้อนตัวตนการทำงานในฐานะผู้กำกับของผมมากๆ” ‘โนแลน’ กล่าวถึงหนัง The Prestige

Batman The Dark Knight

หลังคั่นกลางด้วย The Prestige สิ้นสุดลง ‘โนแลน’ กลับไปร่วมงานกับสตูดิโอคู่บุญอย่าง Warner Bros อีกครั้ง เพื่อทำหนังภาคต่อที่ชาวโลกรอคอย และผลงานชิ้นนี้นี่เองคือ จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ (เกือบ) ทุกๆ Summer ในแต่ละปีจะต้องมีหนังของ ‘โนแลน’ ทำเงินถล่มทลายอยู่บนตาราง Box office

Batman The Dark Knight ภาคต่อของ Batman begins กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานสำหรับฮอลลีวูด บทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมเหนือคำบรรยาย และการแสดงอันน่าพิศวงซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าหวาดหวั่น กระทั่งเด็กที่กำลังร้องไห้อาจหยุดร้องทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของ ‘ฮีท เลดเจอร์’ (Heath ledger) ในบท Joker ทำให้ไม่มีใครในโลกใบนี้ “กล้าปฏิเสธ” ว่า นี่คือภาพยนตร์ Batman ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่มันเคยถูกสร้างมา

และด้วยความน่าตื่นตะลึงนี้เอง ทำให้ The Dark Knight ที่ออกฉายในปี 2008 ทำเงินเฉพาะในสหรัฐฯ ไปได้ถึง 535 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะรายได้จากการออกฉายทั่วโลกพุ่งทะลุ 1,005 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้าง 185 ล้านเหรียญสหรัฐ

“ผมและ ‘ฮีท เลดเจอร์’ ต้องหารือกันหนักมากในเรื่องความเป็นนามธรรม ปรัชญาแนวคิด และน้ำเสียงสำเนียงการพูดของคาแรกเตอร์ Joker ว่า มันควรจะต้องสื่อสารออกมาอย่างไร จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของ ‘ฮีท’ แล้วว่าจะสื่อต่อสิ่งที่เขาเข้าใจนั้น ให้ออกมาเป็นการแสดงแบบไหน แต่สิ่งสำคัญที่เขาจะต้องไม่ลืมก็คือ ‘ความเป็นมนุษย์’ แต่เป็นมนุษย์ที่มีความสุขและสนุกสนานกับการที่ได้ทำลายโครงสร้างรอบๆ ตัวเอง ซึ่งก็คือ ความชั่วร้ายในแบบที่มนุษย์เป็นนั่นเอง!” ‘โนแลน’ กล่าวถึงหนัง Batman The Dark Knight

Inception

และเหมือนเดิมหลังจากสิ้นสุดภาระกิจใน The Dark Knight ‘โนแลน’ ขอเบรกชั่วคราวในการเดินหน้าสร้างภาคต่อของ franchise Batman ด้วยหนังคั่นเวลาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่หนังทุนระดับกลางๆ เหมือนที่เคย ผู้กำกับที่ชื่นชอบกับการสร้างผลงานที่ซับซ้อนเช่นเขา เดินหน้าไปสู่ความท้าทายใหม่ๆ กับภาพยนตร์ที่หากเพียงคุณฟังเนื้อเรื่องก็น่าจะงวยงงไปด้วยความไม่เข้าใจอย่าง โปรเจค Inception ที่มาพร้อมกับทุนสร้างระดับมหึมา 160 ล้านเหรียญสหรัฐ และนักแสดง A-list ระดับแม่เหล็ก อย่าง ‘ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ’ (Leonardo dicaprio)

แต่แล้วเนื้อหาที่ชวน “งวยงง” จนแทบไม่น่าเป็นไปได้ที่จะสามารถอธิบายให้คนธรรมดาสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ รวมถึงทุนสร้างมหาศาลที่ทำให้บรรดาสาวกหวาดวิตกว่า ศาสดาของเขาจะพลาดท่าทำหนังขาดทุนเป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ กลับสร้างปรากฏการณ์ภายใต้ผลลัพท์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงของ ‘โนแลน’ อีกครั้ง…

เมื่อเนื้อเรื่องที่ดูแล้วน่าจะซับซ้อนเกินเข้าใจอย่างหนังสายลับบุกเข้าไปในความฝันเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ แต่เมื่อมันมาอยู่ในมือของผู้กำกับมากฝีมือแบบเขา ทุกอย่างมันจึงถูกเล่าออกมาอย่างเข้าใจง่ายและสนุกเสียด้วย หนำซ้ำไฮไลท์ของหนังที่ทำเอาบรรดาสาวกนั่งกัดฟันลุ้นแทบเป็นแทบตายกับปริศนาซ่อนเงื่อนตอนจบว่า “ตกลง ‘ลูกข่าง’ มันจะหยุดหมุนหรือไม่?” ยังผลักให้หนังสายลับที่เหนือล้ำเกินจินตนาการนี้ทำเงินเฉพาะในสหรัฐอเมริกาไปได้ถึง 292 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 828 ล้านเหรียญสหรัฐจากการฉายทั่วโลกในปี 2010

อ่อ…ส่วนคำถามที่บรรดาแฟนหนังทั่วโลกอยากจะรู้เสียเหลือเกินว่า ตกลงแล้วในตอนท้ายเรื่องคือ ‘ความจริง’ หรือ ‘ความฝัน’ นั้น ศาสดาโนแลนตอบด้วยมาดนิ่งๆ ง่ายๆ ว่า “คนไหนอยากรู้ก็กลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกรอบ”

อย่างไรก็ดี ในเมื่อมักจะถูกถามอยู่เสมอๆ ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มันจบลงอย่างไรกันแน่ ‘โนแลน’ จึงยอมบอกใบ้ถึงเงื่อนปมในเรื่องนี้เอาไว้ว่า

“ในตอนจบของหนังเรื่องนี้ ‘ดิคาปริโอ’ เดินจากไปพร้อมกับลูกๆ และเขาอยู่ในความเป็นจริงที่เป็นนามธรรม ซึ่งก็คือ เขาไม่แคร์อีกต่อไปแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นความจริงหรือความฝัน”

The Dark Knight Rises

จากนั้น ‘โนแลน’ ขอเวลาพักถึง 2 ปี ก่อนกลับมาทำงานปิดไตรภาคที่แฟนภาพยนตร์ทั้งโลกรอคอย และเต็มไปด้วยความคาดหวังชนิดสูงจนล้นปรี่ แต่แล้วแม้หนังจะไม่มี Heath ledger รวมถึงถูกกดดันจากความคาดหวังจากสาวก ผลลัพท์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี The Dark Knight Rises กวาดทั้งเสียงวิจารณ์และรายได้ไปอย่างท่วมท้น เฉพาะในสหรัฐฯ ทำเงินไป 448 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนทั่วโลกทำเงินไปรวมกัน 1,008 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้าง 220 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2012

อย่างไรก็ดี การทำตอนจบในแบบปลายเปิด (อีกครั้ง) ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นบทสรุป สำหรับไตรภาค Batman ที่ดีที่สุดชุดหนึ่ง ยังคงทำให้ ‘โนแลน’ มักถูกซักถามบ่อยๆ (อีกครั้ง) ว่า ตกลงแล้วเมือง Gotham หลัง The Dark Knight Rise จะเป็นอย่างไร?

“สำหรับผมแล้ว The Dark Knight Rise เป็นตอนจบของเรื่องราว Batman ที่ผมตั้งใจเป็นพิเศษ การจบแบบปลายเปิดของหนังเป็นใจความสำคัญของเรื่องที่เราอยากใส่เข้าไปในหนัง โดยใช้ ‘แบทแมน’ เป็นตัวสัญลักษณ์ เพราะแนวคิดหลักของเรื่องนี้ คือ Batman ไม่ใช่เพียงผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นมากกว่านั้น เขาเป็นสัญลักษณ์ และสัญลักษณ์จะคงอยู่ต่อไป” ผู้สร้างปริศนาปลายเปิดบอกใบ้ถึงคำตอบที่ทุกคนอยากรู้

Interstellar

หลังประสบความสำเร็จที่อาจเรียกได้ว่าเกินจะงดงามจาก Batman ไตรภาค ‘โนแลน’ มุ่งหน้าสู่โลกที่ตีความได้ยากยิ่งกว่า Inception ที่เขาเคยสร้างเอาไว้ ด้วยโปรเจคที่มีชื่อว่า Interstellar ภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาวิทยาศาสตร์ ควอนตัมฟิสิกส์ เวลา อนาคต อดีต ดวงดาว หลุมดำ รูหนอน จักรวาล และอะไรที่น่าปวดหัวนานาชนิด หากคุณไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์มากพอ

แต่แล้วภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เต็มรูปแบบอันน่าเวียนหัวจากฝีมือของ ‘โนแลน’ ที่เรื่องนี้เขาต้องหารืออย่างใกล้ชิดกับ ‘คิป ทอร์น’ (Kip thorne) นักฟิลิกส์เจ้าของรางวัลโนเบล มาช่วยพัฒนาบทภาพยนตร์ เพื่อให้สามารถสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “หลุมดำ” ได้อย่างถูกต้องบนจอภาพยนตร์ มันก็ยังคงให้ผลลัพท์ไม่ต่างจากเดิม Interstellar ที่นำแสดงโดยนักแสดงออสการ์อย่าง ‘แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์’ (Matthew McConaughey) และ ‘แอนน์ แฮทธาเวย์’ (Anne Hathaway) สามารถทำเงินเฉพาะในสหรัฐอเมริกาได้ถึง 188 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายรับจากทั่วโลกอยู่ที่ 705 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้าง 165 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2014

โดย ‘โนแลน’ กล่าวถึงความทะเยอทะยานในการปรับแต่งทฤษฏี Quantum physics สู่ความบันเทิงในระดับ Mainstream เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า…

“ผมเป็นแฟนตัวยงของสุดยอดภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ เรื่อง 2001 A Space Odyssey ฉะนั้น ความพยายามที่จะก้าวไปยังจุดนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความน่าหวาดหวั่น เพราะในอดีตที่ผ่านมา ‘สแตนลีย์ คูบริก’ (Stanley Kubrick) สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมจนเหนือคำบรรยาย แต่ขณะเดียวกันภายใต้ความน่าหวาดหวั่นนั้น มันก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผม สำหรับการที่จะทำความเข้าใจและสร้างหนังแนววิทยาศาสตร์ที่มีการนำเสนอประเด็นที่เฉียบแหลมด้วยเช่นกัน”

Dunkirk

และหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับงานที่มีเนื้อหาสุดหนักหน่วง ‘โนแลน’ คืนสู่การทำงานในฐานะผู้กำกับอีกครั้ง ด้วยโปรเจค Dunkirk หนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ว่าด้วยการอพยพหนีกองทัพเยอรมัน กลับแผ่นดินแม่ครั้งใหญ่ของ “ทหารอังกฤษ” อย่างไรก็ดี แม้โปรเจคจะตั้งอยู่บนความเสี่ยงที่หนังจะขาดทุนจากหนังแนวสงครามโลกที่ดูจะเอาท์ไปแล้ว การใช้เงินทุนก้อนมหาศาล และที่สำคัญมันปราศจากนักแสดงระดับแม่เหล็ก

แต่ Dunkirk ก็ยังคงเป็นหลักฐานที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนอยู่ดีว่า ขอให้มีเพียงชื่อ ‘โนแลน’ เป็นผู้กำกับ บรรดาสาวกก็พร้อมจะตีตั๋วเข้าไปดูหนังของเขาแน่นอน ยืนยันได้โดยการที่ Dunkirk ทำเงินเฉพาะในสหรัฐอเมริกา 189 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายรับรวมทั่วโลกอยู่ที่ 526 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2017

“คนอังกฤษเติบโตมากับเรื่องราวของ Dunkirk ฉะนั้น วิธีการเล่าเรื่องนี้จึงเป็นไปอย่างเรียบง่ายและแทบไม่ต่างการเล่าตำนาน สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผมในการทำโปรเจกนี้ คือ ยิ่งผมเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น ความจริงมันยุ่งเหยิงมาก เพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ชาวประมงจะแล่นเรือออกจากเกาะอังกฤษ เพื่อไปรับทหารที่รอคอยความหวังอยู่ที่ชายหาดฝรั่งเศส ฉะนั้น ความจริงที่เกิดขึ้นบนชายหาดและการอพยพข้ามทะเลครั้งใหญ่นี้ จึงถือเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่มากๆ”

Tenet

และในปี 2020 นี้ ‘โนแลน’ กลับมาอีกครั้ง พร้อมหนังที่กระแสแรงตั้งแต่เพียงเริ่มปล่อย Trailer ที่ใครเห็นก็คงแสนจะงวยงง (อีกครั้ง) ว่า ตกลงคราวนี้ ศาสดาโนแลนจะพาสาวกไปดูหนังที่เกี่ยวข้องกับอะไรกันแน่ และปัจจุบันได้ลงโรงฉายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังถูกเลื่อนมานานจากปัญหาการแพร่ระบาด Covid-19

โดยรีวิวของสื่อต่างประเทศ (ที่ได้ชมแล้ว) ยังคงออกมาในทำนองชื่นชมผลงานชิ้นล่าสุดของ ‘โนแลน’ เหมือนเดิม เช่น…

มันคือหนัง Art house ที่สร้างขึ้นอย่างชาญฉลาด ภายใต้ความทะเยอทะยานที่จะทำให้มันกลายเป็นหนังระดับ Blockbuster ซึ่งจะทำให้คุณทั้งหัวใจหยุดเต้นและหัวหมุนติ้ว หรือความทะยานอยากแบบสุดตัวสำหรับการหาทางเอาชนะเวลา เพื่อให้ได้มาซึ่งภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ส่วนจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เราเชื่อว่า เหล่าสาวกโนแลนคงได้ไปสัมผัสกับผลงานของเขากันแล้วใช่ไหม?

ผู้เขียน: นายฮกหลง
กราฟิก: Pradit Phulsarikij

End credit:

การก้าวเท้าเหยียบพรมแดงแห่งความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ของ ‘โนแลน’ ในฐานะคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง มันจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากเสียเหลือเกินกับการที่จะถูกยกไปเทียบรุ่นกับ “ชายคนเดิม” ผู้ถือครองสถานะความเป็นหนึ่งในฮอลลีวูด ด้วยฉายา “พ่อมด” มาช้านาน และปัจจุบัน ชายคนเดิมคนนั้นถือเป็นผู้กำกับคนแรกของโลกที่สร้างหนังทำเงินรวมทะลุ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ! ไปแล้ว

Christopher Nolan VS Steven Spielberg

ถูกต้อง! ชายคนเดิมคนนั้นก็คือ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ (Steven Spielberg) พ่อมดผู้ร่ายเวทมนตร์ปกคลุมทั่วดินแดนฮอลีวูดมาร่วม 4 ทศวรรษนั่นเอง…

ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติเสียเหลือเกินในทุกๆ วงการที่เมื่อมีการปรากฏตัวของคลื่นลูกใหม่เมื่อใด ก็มักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับคลื่นลูกเก่าที่ซัดเข้าฝั่งมาก่อน ฉะนั้น เราจึงได้ยิน ได้อ่าน การเปรียบเทียบว่า “สองคนนี้ใครจะดีกว่ากัน?” กันมาจนเยอะแล้ว ฉะนั้น ในแบบฉบับของเราจึงเป็นการเปรียบเทียบโดยการนำสถิติตัวเลขและค่าเฉลี่ยมาเทียบแบบบัญญัติไตรยางค์ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการค่อยๆ ละเลียดสายตาอ่านกันเอาสนุกดีกว่า

เพราะในความเป็นจริงในแต่ละยุคสมัยย่อมมีเหตุปัจจัยและตัวแปรที่แตกต่างกัน การเสพงานศิลปะโดยเฉพาะภาพยนตร์เอง ก็มีการวิวัฒน์และเทรนด์ในแต่ละยุคที่แตกต่างกัน ฉะนั้น ใครใคร่ชอบแบบไหน จะเลือกดูหนังแบบไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรอยู่แล้ว จริงไหมครับท่านผู้อ่าน

เมื่อพร้อมแล้ว ขอเชิญทุกท่านเลื่อนสายตาไปดูการเปรียบเทียบที่ว่านี้กันดูเลย

อ่อ…เราเกือบลืมสิ่งสำคัญที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของผู้กำกับที่กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของฮอลลีวูดผู้นี้ นั่นก็คือ ‘โนแลน’ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้สนับสนุนคนสำคัญสำหรับการผลักดันให้ผู้คนเข้าไปสัมผัสกับการดูหนังแบบ BIG SCREEN ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น แต่เขาแทบจะทำตัวเป็นหนึ่งในเจ้าของโรงหนังไปแล้ว ทำไมน่ะหรือ?

เพราะ ‘โนแลน’ คือ หนึ่งในผู้กำกับน้อยคนแล้วที่ยังคงหวงแหนการใช้เซลลูลอยด์ แม้จะอยู่ในยุคที่ดิจิตอลครองโลกก็ตาม

โดย ‘โนแลน’ บอกถึงความคลั่งไคล้การใช้ฟิลม์ 35 และ 70 มิลลิเมตร สำหรับการรังสรรค์ผลงาน เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า…

“สำหรับผม ‘ฟิลม์’ คือ สื่อที่ผมรัก และคงไม่ใช่แค่เพียงผมคนเดียว บรรดาคนสร้างหนังคนอื่นๆ ก็คงรู้สึกแบบนี้เช่นกัน ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องยึดติดอดีตหรือว่าอะไร แต่มันเป็นเพียงการบอกเล่าเรื่องราว ฉะนั้น การที่ผมเป็นพวกอนุรักษ์นิยมจึงเป็นคำถามในเชิงของเทคนิก แต่ไม่ใช่เรื่องของศิลปะ

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/scoop/1920432
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/scoop/1920432