เอ ศุภชัย ร่ำไห้ อาลัย แม่ทุม ผู้มีพระคุณ ผูกพันมาครึ่งชีวิต ทำให้มีทุกวันนี้


ให้คะแนน


แชร์

เอ ศุภชัย ร่ำไห้ อาลัย แม่ทุม-บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศก หลังจากวงการบันเทิงต้องสูญเสียนักแสดงอาสุโสชื่อดัง แม่ทุม กาณฏ์มณี เค้ามูลคดี หรือ แม่ทุม ปทุมวดี ภรรยาคู่ชีวิตของ พ่อรอง เค้ามูลคดี ดาราอาวุโสศิลปินแห่งชาติ เมื่อเวลา 02.25 น. ของเช้ามืดวันนี้ (7 ก.ย.) หลังจากเข้ารักษาอาการป่วยจากโรคไทรอยด์เป็นพิษและโรค ALS หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในวัย 72 ปี ณ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โดยมีครอบครัว และคนใกล้ชิดอยู่เคียงข้างจนวินาทีสุดท้ายก่อนสิ้นลม

มีดาราคนดังในวงการบันเทิงมาแสดงความอาลัยเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับ เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร ผู้จัดการดาราชื่อดัง ได้เดินทางมาร่วมแสดงความอาลัย รดน้ำศพแม่ทุม ปทุมวดี ซึ่งแม่ทุมถือเป็นผู้มีพระคุณที่ดูแลเจ้าตัวในช่วงเรียนมหา’ลัย และก่อนเข้าวงการ มีความสนิทสนมผูกพันกับครอบครัวพ่อรอง แม่ทุม อย่างแน่นแฟ้น และเป็นเพื่อนสนิทกับ ยุ้ย มายาวนาน


โดย เอ ศุภชัย เปิดใจถึงแม่ทุมผู้ล่วงลับว่า “จริงๆ บางคนอาจจะรู้ บางคนอาจจะไม่รู้ เอโตมากับบ้านหลังนี้ เป็นเพื่อนกับน้องยุ้ยตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เวลาตอนเย็นเราก็จะกลับมากินข้าวบ้านน้องยุ้ย แม่ทุมก็ดูแลเรา เหมือนเราเป็นลูกคนหนึ่ง ครั้งนี้จึงเหมือนเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของพี่เอเลย ตอนแรกน้องยุ้ยโทรมาตอน 02.50 น. คือตอนพ่อป่วยเราก็วิ่งวุ่นเรื่องพ่อเข้าโรงพยาบาล แล้วแม่ก็ป่วยอีกฝั่ง เราก็เห็นใจน้องยุ้ยมาก เราจะดูแลทุกอย่างเท่าที่ตัวเราจะทำได้ แล้วเมื่อคืนเราหลับเร็วเพราะทำงาน เลยไม่ได้ตื่นมารับโทรศัพท์น้องยุ้ย พอตื่นมาก็เห็นข้อความน้อยยุ้ยทิ้งไว้ตอน 06.00 น. บอกว่า แม่หัวใจหยุดเต้น เราก็คิดว่าแค่หัวใจหยุดเต้น เราไม่คิดว่านั่นคือการบอกว่าแม่เสียแล้ว เอก็โทรไปหาน้องยุ้ยเลย ถามว่าหมอปั๊มหัวใจได้มั้ย เพราะเสียงที่น้องยุ้ยรับโทรศัพท์คือเข้มแข็งมาก แต่น้องยุ้ยตอบกลับมาว่า ตอนนี้กำลังหาวัดอยู่ เราก็ร้องไห้เลย เพราะเราผูกพันกับแม่มาก เราอาจจะไม่ได้คุยกับแม่บ่อย ตอนแม่ป่วย แต่เราส่งทุกอย่างไป เท่าที่ทำได้ คือจะอยู่เคียงข้าง น้องยุ้ยก็บอกว่าให้เราเข้มแข็ง อย่าร้องนำสิ ยุ้ยอุตส่าห์ไม่ร้อง แต่เราก็ร้องเพราะจิตตก จากนั้นก็ถามเขาว่าจะทำยังไงกันต่อ ก็เลยช่วยกันหาวัด ตอนแรกน้องยุ้ยอยากได้ใกล้บ้าน แถวๆ วัชรพล แต่พี่บอกเอาวัดที่ผู้ใหญ่มากันได้สะดวก เลยให้มาที่นี่ เราก็ให้น้องยุ้ยโทรหาพี่ดา เป็นเลขาพี่นก จริยา เขาก็ช่วยประสานงานเลยได้มาวางศพที่วัด แล้วเราก็จัดการเรื่องดอกไม้ต่อ แล้วก็เรื่องโรงศพด้วย เราบอกน้องยุ้ยไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลย เดี๋ยวเราจัดการหมดทุกอย่าง”

เรามีโพสต์ไอจีถึงแม่ทุมด้วยวันนี้ ว่าขอบคุณแม่ที่เลี้ยงดูจนมีวันนี้?
“คือเหมือนชีวิตมหาลัยของเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง มาเรียนกรุงเทพ เงินค่าหอก็หมดแล้ว ค่ากินก็ไม่พอ เลยฝากปากฝากท้องไว้ที่บ้านพ่อรองแม่ทุมตลอด แม่ก็บอกว่ายุ้ย เอมันกินข้าวหรือยัง คือเป็นห่วงมาตลอด ไม่เคยมองว่าเราไม่ใช่ดารานักแสดง เลยไม่ดูแลไม่ใส่ใจ ตอนที่เราเริ่มมาเป็นผู้จัดการดารา แม่ก็โทรมาคุย ได้มาสอน มีคติประจำใจว่าอยู่ตรงนี้ลูกต้องอดทนนะ ต้องเคารพและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราทำมาตลอด ตั้งแต่ที่แม่พูดได้ จนแม่ล้มแล้วก็เริ่มพูดไม่ได้”

เรียกว่ามีวันนี้ได้เพราะแม่ทุมใช่ไหม?
“ส่วนหนึ่งก็ใช่ค่ะ พูดได้เต็มปากเลย ว่าครอบครัวของพี่ยุ้ยทุกคน สอนให้เราได้มีเรียนบทแรก ได้เรียนรู้วิชาการเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง เพราะฉะนั้นพี่เอจะไม่เคยลืมเลย มีละคร มีอะไรทุกเรื่อง ถ้ามีบทของพ่อกับน้องได้ เราก็จะทำ (เสียงสั่น) แล้วอะไรที่เราทำได้ อะไรที่จะได้ตอบแทนบุญคุณ ตอนเด็กๆ เวลากินข้าวบ้านพี่ยุ้ย เราเคยคิดว่าวันหนึ่งนะ ถ้าเราร่ำรวยและยิ่งใหญ่ขึ้นมา เราจะกลับมาทดแทน เราจะมาเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่เขา จากที่เราเคยกินข้าวแกงที่อยู่หลังครัว ซึ่งบางทีเราก็ไม่กล้าจะมากินหน้าบ้าน เพราะดารานักแสดงใหญ่ๆ อยู่ทั้งนั้น เราก็จะแอบกินข้าวหลังครัว ก็ดีใจที่มีโอกาส ถึงจะไม่มากก็น้อย ที่จะมาทดแทนในสิ่งที่คิดไว้ตั้งแต่สมัย 20 ปีที่แล้ว”

ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับครอบครัวเค้ามูลคดี มีมากี่ปีแล้ว?
“เราเรียนมหาลัยเดียวกับพี่ยุ้ย ปี 2536 ตอน 2563 แล้ว เหมือนกับนานมากครึ่งชีวิตเลย ได้ไปเมืองนอกครั้งแรก ก็เพราะแม่ทุมพาไป ตอนนั้นก็มีทีมอาตู่ แม่ก้อย ทาริกา เราก็เป็นเด็กมหาลัยตัวเล็กๆ ผอมๆ ยังมีรูปอยู่เลย ตอนนั้นลูกแม่ก้อยยังอายุประมาณ 8-9 ขวบ เราก็รู้สึกว่าแม่เขาดีจังเลย เขาไปฮ่องกง พาเราไปเที่ยว มันทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะไปเมืองนอก ไปประเทศต่างๆ ต่อไป แล้วการทำงานของแม่ แม่ก็จะเป๊ะ หน้าผมก็เป๊ะ ทุกคนจะบอกว่าทุกวันนี้พี่ยุ้ยไม่ได้เชื้อแม่ทุมเลย คนที่ได้มามากก็คือพี่เอ คือตีกระบังเอย แต่งหน้านอน ปากแดงเอย แต่งตัวเอย ทุกคนบอกว่าตอนที่แม่ทุมจะคายตะขาบพ่นใส่ปากพี่ยุ้ย แต่เราเอาหน้าไปขวางแล้วรับแทน อาหารที่บ้านก็จัดวางไว้เต็ม ใครจะกินก็ได้ คือให้คนอื่นสวยก่อน เสื้อผ้าหน้าผม ซื้อไว้ บังคับให้น้องๆ นักแสดงที่ตัวเองรักใส่ ของกินก็ให้กินก่อนๆ เราไม่กินก็ได้ ในกองถ่าย แม่ทุมเป็นแบบนี้ เวลาถ่ายละครขนเสื้อผ้าไปเป็นตู้คอนเทนเนอร์ และอาหารอีกเยอะมาก เราก็ดูการทำงานของแม่ว่าทำไงคนถึงรักแม่ เพราะว่าแม่เป็นคนมีน้ำใจ มีเมตตา”

คำสอนของแม่ทุมที่เรานำมาใช้จนถึงทุกวันนี้
“แม่สอนมาเรื่อยๆ เลย ไม่มีคำใดคำหนึ่งเป็นกฎ แม่คอยสอนเราก็ครูพักลักจำ เราก็ดูแม่ปฏิบัติต่อคนอื่น เราก็จำและนำมาปฏิบัติ ความกตัญญูต่อผู้มีบุญคุณคือสิ่งที่แกเคยพูดตลอด วันนี้เวลาเห็นน้องยุ้ยกะจะไม่ร้องไห้ น้ำตามันก็ไหล น้องยุ้ยเหนื่อยมาก ถามว่าให้กำลังใจกันยังไง เราสองคนแทบจะไม่ต้องพูดอะไรกันเลย เหมือนกับเป็นคนในครอบครัว เป็นหน้าที่เหมือนกับลูกคนหนึ่งต้องมาวันที่แม่ตัวเองไม่อยู่ แม่ทุมเป็นเหมือนแม่อีกคนหนึ่ง ก็เลยไม่ได้พูดอะไร มองตาก็รู้ใจกันหมด”

แม่ไม่อยู่แล้ว สิ่งที่เราอยากทำให้กับครอบครัวแม่ทุม เพื่อพ่อรองและยุ้ยคืออะไร?
“จริงๆ เราทำมาตลอดเลย ไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยู่แล้วเราจะเริ่มทำ เราทำตั้งแต่ตอนที่แม่อยู่แล้ว เราคิดอยู่เสมอว่าเราทำตอนที่เขาอยู่ดีกว่า เพราะฉะนั้นเราก็ดูแลปฏิบัติทุกอย่างที่เราทำได้เราจะทำ เราจะให้เพื่อที่จะเดินต่อไปด้วยกันได้เหมือนวันที่เขาให้โอกาสเรา”

แม่สู้มาตลอด 8 ปีเต็ม?
“แม่เป็นคนที่อดทนมาก ปกติหมอบอกโรคนี้จะอยู่ได้ 4-5 ปี แม่อดทนเพื่อทุกคนฟังเสียงลูกหลานกระซิบข้างหู แม่ก็จะลืมตาถึงแม่จะกระดิกไม่ได้ แม่ผ่านความอดทนมาอย่างยิ่งใหญ่แล้ว แม้กระทั่งสมัยที่เราเด็กๆมีความดื้อบ้าง แม่ก็จะตามใจดูแลเรามาตลอด ไม่เคยโกรธ ไม่เคยดุเลย แม่จะเข้าใจวัยรุ่นที่สุด”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_4860740
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_4860740