บิ๊ก สิรนัท ผู้กำกับศิลป์ชาวไทย ภูมิใจร่วมงานหนังฮอลลีวู้ด
ผู้กำกับศิลป์ชาวไทย บิ๊ก สิรนัท รัชชุศานติ ภาคภูมิใจ ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังประวัติศาสตร์โลก The Last Full Measure วีรบุรุษโลกไม่จำ
ถือเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิต สำหรับ บิ๊ก สิรนัท รัชชุศานติ ผู้กำกับศิลป์ชาวไทย หลังได้เป็นหนึ่งในทีมผู้กำกับศิลป์ของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่องเยี่ยม The Last Full Measure วีรบุรุษโลกไม่จำ โดยเจ้าตัวได้เปิดใจถึงจุดเริ่มต้นของการม่าวนร่วมในหนังเรื่องนี้ให้ฟัง
กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เข้าไปร่วมงานกับกองถ่ายของหนังสงครามเวียดนามเรื่อง The Last Full Measure ได้อย่างไร?
“เริ่มเรื่องจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ตามตารางเดิมจะไม่ได้มาถ่ายทำที่ประเทศไทย มีการเตรียมการที่จะไปถ่ายประเทศทางแอฟริกา แต่ผมจำชื่อประเทศไม่ได้ มีการเทสต์ถ่ายทำที่ประเทศนั้นแล้ว มีการซ้อมฉากเฮลิคอปเตอร์เรียบร้อยแล้ว”
“แต่ด้วยปัญหาการถ่ายทำในอเมริกามีปัญหา ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ตารางถ่ายทำที่ประเทศทางแอฟริกาที่จะใช้เป็นเวียดนามจึงมีปัญหาตาม แล้วหนึ่งในโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้เคยมาทำงานร่วมงานกับบริษัท SC Film ที่เป็นบริษัท Support ของไทย รวมทั้งผมด้วยก็เคยทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์คนนี้จึงได้มีโอกาสร่วมงานกันอีกครั้ง”
ทราบมาว่าปักหลักการถ่ายทำกันที่จังหวัดกาญจนบุรี ทำไมถึงเลือกโลเกชั่นเป็นที่เมืองกาญฯ?
“โจทย์แรกที่ทางผู้กำกับต้องการคือป่าดิบชื้น ต้นไม้ใหญ่ และภูมิประเทศใกล้เคียงกับเวียดนาม แล้วด้วยความที่เป็นหนังสงครามหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการมีเอฟเฟ็กต์ระเบิด ปืน และมีการใช้ เฮลิคอปเตอร์ประกอบฉาก เเละเวลาในการเตรียมงานน้อย เราจึงเลือกจังหวัดกาญจนบุรีที่น่าจะตอบโจทย์ทั้งหมด คือมีป่าดิบชื้น มีหน่วยงานทหาร สนามบิน ที่สามารถจอดเฮลิคอปเตอร์ได้”
“อีกอย่างที่สำคัญ เราต้องหลีกเลี่ยงพื้นที่ของอุทยาน เพราะอย่างที่บอกเป็นหนังสงคราม และจำนวนทีมงานจำนวนเยอะมาก มีทั้งระเบิดและเสียงปืนทุกวัน เราจึงได้ข้อสรุปเป็นพื้นที่ป่าของเอกชน แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาดูแล ห้ามตัดต้นไม้ใหญ่ถึงจะเป็นที่เอกชนก็ตาม”
มีการถ่ายทำที่จุดไหนบ้างในจังหวัดกาญจนบุรี?
“เราใช้พื้นที่ป่าของเอกชน(ของชาวบ้าน)เลยขึ้นไปทางเขื่อนเขาแหลม ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี 45 นาที เป็นโลเกชั่นหลัก และสนามบินของค่ายสุรสีห์เป็นที่ขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์ และ เขาชนไก่เป็นที่ฝึกซ้อมทหาร ซ้อมระเบิด ซ้อมยิงปืน และท่าทางของนักแสดงให้เป็นทหาร”
การที่ต้องจำลองโลเกชั่นของเมืองไทยให้เป็นฉากหลังในสงครามเวียดนาม ตอนนั้นต้องทำการบ้านอย่างไรบ้าง?
“เรานั่งรีเสิร์ชสงครามเวียดนามว่ามีรูปแบบอย่างไร ใช้ปืนอะไร มีอุปกรณ์ประกอบแบบไหนบ้าง รูปแบบของทหารอเมริกันที่มารบในเวียดนามเป็นอย่างไร ใช้เฮลิคอปเตอร์รุ่นไหน ซึ่งในแต่ละปีก็ต่างกัน ทหารต่างหน่วยกันก็ใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนกัน สูบบุหรี่ยี่ห้ออะไร มีน้ำยากันน้ำกัดเท้าเหน็บหมวก”
“แต่ที่ตลกมากคือทางอเมริกาได้เตรียมเสื้อผ้าส่งมาให้ไทย ส่งตรงมาจากอเมริกา แต่ทางสไตลิสต์ทีมเสื้อผ้าของเราคือพี่บั๊วได้ศึกษามาเป็นอย่างดี เสื้อผ้าที่ส่งมาลายเสื้อไม่ถูก ซึ่งมองด้วยตาเปล่าบางทีก็ไม่รู้ แต่ทางทีมเสื้อผ้าของไทยไม่ยอม หาผ้าในไทยตัดใหม่ และสิ่งที่โชคดีของทหารอเมริกันบางอย่าง เราได้ของสะสมเก่าจริงจากพี่ๆ ในเมืองไทยที่สะสมไว้ ของในฉาก รถ เฮลิคอปเตอร์ หมวกนักบินที่เห็นจึงเป็นของเก่าจริงใช้จริงในสมัยสงครามเวียดนาม”
สิ่งที่คิดว่าท้าทายที่สุดในการทำงานในหนังสงครามที่ต้องเน้นความสมจริงแบบ The Last Full Measure คืออะไร?
“เราสนุกและท้าทายเสมอ เมื่อทำภาพยนตร์ที่เป็นหนังชีวประวัติ หรืออ้างอิงเรื่องราวประวัติศาสตร์จริง เพราะนั้นหมายถึงเรามีหลักฐานยืนยัน มีรูปภาพ มีหลักฐานอ้างอิงยืนยัน มีภาพยนตร์สงครามเวียดนามที่ทำออกมามากมาย ถ้าเราทำผิดพลาดนิดเดียว มันก็จะฟ้องออกมาด้วยภาพ และภาพยนตร์ก็จะอยู่ไปตลอด เพราะฉะนั้นเราจึงซีเรียสเรื่องของและอุปกรณ์ประกอบฉากจะต้องถูกต้องตรงยุคสมัย และเพื่อให้เกิดความสมจริงของภาพยนตร์มากขึ้น”
ฉากไหนที่คิดว่าหินที่สุดสำหรับการส่วนของ Art Director ในเรื่องนี้?
“ฉากที่รบกันในป่าทั้งหมด เพราะเราต้องทำต้นไม้ปลอม ผิวไม้ปลอม ปลูกต้นไม้ที่เรานำมาเองเพื่อรับเอฟเฟ็กต์ลูกกระสุนและระเบิดเอง โดยไม่ไปทำลายต้นไม้ของสถานที่ที่เราไปใช้ถ่ายทำ การขุดหลุมสำหรับทหารเวียดกง ทำนั่งร้านบนต้นไม้สูงให้ทหารเวียดกงอยู่ และฉากที่มีเฮลิคอปเตอร์ประกอบฉาก เพราะการนำเฮลิคอปเตอร์รุ่น ฮิวอี้ ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้จริงในสมัยสงครามเวียดนามจริง”
“ซึ่งทางกองทัพอเมริกัน เมื่อทำการรบสงครามเวียดนามเสร็จไม่ได้นำกลับ มอบให้ทางกองทัพไทยได้ใช้ต่อมา อายุของเฮลิคอปเตอร์นั้นเก่ามาก 30-40 ปี ทั่วทั้งประเทศไทยที่สามารถบินได้ มีไม่เกิน 5 ลำ เรานำเฮลิคอปเตอร์มาจากเชียงใหม่และจังหวัดตาก ต้องบินมาที่เมืองกาญจนบุรีใช้เวลา 3 วัน เพราะด้วยอายุของเฮลิคอปเตอร์ต้องบินระยะสั้นๆ พักมาตลอด”
“พอมาถึงเราก็ต้องทำการเปลี่ยน เป็นเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอเมริกาโดยการลบป้ายตัวหนังสือไทย แล้วนำป้ายตัวอักษรอเมริกันติดเข้าไปแทน แล้วการถ่ายทำบนท้องฟ้ายากมาก ในการสื่อสารกับนักบินตากล้อง สื่อสารกับนักแสดงภาคพื้นดิน”
สิ่งที่น่าสนใจที่อยากจะแชร์ให้คอหนังคนไทยฟังเกี่ยวกับการทำงานกับผู้กำกับหรือกองถ่ายจากฮอลลีวู้ด?
“จริงๆ ผมรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ไทยหรือภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ผมว่าความทุ่มเทและการทำงานของทีมงานไทยและผู้กำกับ นักแสดง ไม่ต่างกัน เพียงแต่เราจะรู้สึกว่าหนังฮอลลีวู้ดทำไมดูยิ่งใหญ่กว่า แน่นอนเพราะทุนสร้าง และตลาดในการรับชมใหญ่กว่า”
“เลยเป็นความท้าทายที่เมื่อได้ทำงานหนังฮอลลีวู้ดทุกครั้ง มันหมายถึงที่เราจะได้แสดงให้ชาวโลกได้เห็นทุกครั้งว่า ฝีมือคนไทย ทีมงานไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก สถานที่ถ่ายทำในไทย และคนไทยทุกคนก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี อยากฝากให้ช่วยอุดหนุนทั้งหนังไทยและหนังต่างประเทศคนทำหนังจะได้มีกำลังใจทำต่อไปครับ”
อยากให้พูดถึงการทำงานของนักแสดงในเรื่อง ทุ่มเทกันขนาดไหน?
“อย่างที่ผมบอก นักแสดงไม่ว่าต่างชาติและนักแสดงไทยในภาพยนตร์ไทย ที่ผมเห็นทุ่มเททุกคนที่ได้รับบทบาทนั้นๆ เพียงแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ความท้าทายคือเป็นการรวมนักแสดงหน้าใหม่ ในส่วนของสงครามเวียดนามพวกนักแสดงทุกคนต้องมาเรียนรู้การจับปืน การเดินแบบทหาร การหมอบการคลาน การวิ่งแบบทหาร โดยทำเวิร์กช็อปในเวลาน้อยมาก การถ่ายทำที่ต้องเจอเสียงปืนเสียงระเบิดทุกวัน ต้องอดทนมากครับ”
ในมุมมองของตัวเอง คิดว่าการถ่ายทอดเรื่องราววีรกรรมที่โลกไม่เคยรู้ในภาพยนตร์เรื่อง The Last Full Measure มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง?
“ผมว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ ยิ่งเป็นเรื่องราววีรกรรมชีวิตจริงของทหารอเมริกันคนนึง ที่มารบในสงครามเวียดนาม ที่ได้สร้างวีรกรรมจริงให้กลับกองทัพอเมริกัน และคนอเมริกันจะได้มีความภาคภูมิใจไปกับประวัติศาสตร์จริงๆ ขนาดผมเองตอนถ่ายทำฉากสุดท้ายที่นายทหารตนนี้เสียชีวิต รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการแสดง ผมยังแอบน้ำตารื้นตอนดูผ่านมอนิเตอร์เลยครับ”
สำหรับเรื่องราวในหนัง “The Last Full Measure วีรบุรุษที่โลกไม่จำ” ถ่ายทอดวีรกรรมของ “วิลเลียม เอช. พิตเซนบาร์เกอร์” (รับบทโดย เจเรมี เออร์วีน) หน่วยพลร่มสังกัดกองทัพอากาศสหรัฐฯ ระหว่างสงครามเวียดนามปี 1966 เมื่อเขาโรยตัวลงมาเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนทหารราบ และตัดสินใจทิ้งโอกาสในการหนีออกจากเขตปะทะไปพร้อมเฮลิคอปเตอร์ลำสุดท้าย เพื่อช่วยรักษาและต่อลมหายใจให้เพื่อนทหารอีก 60 ชีวิต จนท้ายสุดสงครามครั้งนั้นก็หลงเหลือไว้เพียงร่างของเขา และความยุติธรรมที่ถูกเพิกเฉย
ถึงแม้ต้องใช้เวลานานถึง 30 ปี แต่วันนี้ความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดเผย เมื่ออดีตสหายร่วมรบ (รับบทโดย วิลเลียม เฮิร์ต) ลุกขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากทนายกระทรวงกลาโหม “สก็อตต์ ฮัฟฟ์แมน” (รับบทโดย เซบาสเตียน สแตน) เพื่อเสนอชื่อ “วิลเลียม เอช. พิตเซนบาร์เกอร์” รับเหรียญเกียรติยศ เชิดชูความกล้าหาญชั้นสูงสุดของประเทศ
นำมาสู่จุดเริ่มต้นของการตามหาความจริงจากครอบครัวของวีรบุรุษ และทหารผ่านศึกคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อทวงความกล้าหาญแด่ฮีโร่ที่โลกลืม รวมทั้งเปิดโปง “ความลับ” บางอย่างที่เกือบถูกลบหายไปพร้อมกับสงครามครั้งนั้น
สำหรับ บิ๊ก สิรนัท รัชชุศานติ ผู้กำกับศิลป์ภาพยนตร์ The Last Full Measure วีรบุรุษโลกไม่จำ เคยมีผลงานที่สร้างชื่อ อาทิ ชั่วฟ้าดินสลาย, มนต์รักทรานซิสเตอร์, โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ, Stealth (ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด) เป็นต้น
The Last Full Measure วีรบุรุษโลกไม่จำ – Official Trailer ตัวอย่างซับไทย
ดูข่าวต้นฉบับ
ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5003157
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5003157