ถ้าเป็นโจรวันนั้นคงไม่มีวันนี้ พลพล เปิดใจเล่าเคยอยากปล้นธนาคาร


ให้คะแนน


แชร์

พี่ปฏิเสธไปเพราะอะไร แค่คิดว่าตัวเองไม่หล่อหรอ?
“ด้วยตอนนั้นร้องเพลง ร้านอาหารที่เราร้องอยู่รายได้ก็พอเพียง ไม่ได้คิดถึงว่าจะต้องออกเทป”

แต่พอตัดสินใจไปก็ได้ทำอัลบั้ม แต่ถูกดองเกือบ 2 ปี?
“พอเทสต์เสียงเสร็จ พี่ปั๋งบอกว่าจะติดต่อกลับไป เราก็กลับบ้านไปเล่นดนตรีปกติ ประมาณไม่เกินอาทิตย์พี่ปั๋งก็โทรมาบอกว่าเอาบัตรประชาชนมาหาพี่ที่แกรมมี่หน่อย ก็เลยไป

พอมาถึงปุ๊บก็เซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดในค่ายก่อน ตอนนั้นยังไม่ได้ทำ เพราะเราต้องมาทำคอร์สของเขาให้ครบก่อน แล้วผ่านไปเหมือนหาตัวเองไม่เจอ เราเป็นนักร้องกลางคืนมา เราร้องเพลงเหมือนคนนู้นที คนนี้ที ร้องยังไงก็ไม่เจอตัวเอง”

กว่าที่จะมาเป็นนักร้องที่ดังมากๆ เข้ากรุงเทพฯ มามีเงินติดตัวมาแค่ 700 บาท?
“จริงครับ ตอนนั้นไปสอบครูพละ สอบผ่านแล้ว แต่ไม่มีเงินไปรายงานตัว ซึ่งมันต้องจ่ายค่าเทอม ค่าเรียนแล้ว ซึ่งมันไม่มี แต่เผอิญเพื่อนต่างโรงเรียนแล้วก็ครูจะมาสอบดุริยางค์ทหารบก เป็นอัตราแทนนายสิบ ถ้าสอบได้คือทำงานเลย รับราชการเลย มีเงินเดือนเลย มันก็ตรงทางที่เราอยากเป็น คือได้เป็นนักดนตรีด้วย ได้เงินด้วย เป็นข้าราชการด้วย ก็เลยตัดสินใจมาสอบกับเขา”

แสดงว่าก่อนหน้านี้ฐานะทางครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวย?
“อย่าบอกว่าไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีเงินเลย จนเลย”

เห็นว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง กินบะหมี่สำเร็จรูปแล้วร้องไห้กับครอบครัว?
“มันเป็นความอัดอั้นตันใจ เหมือนตอนเด็กมากกว่า ไม่ได้คิดว่าทำไมจนขนาดนี้ไม่ใช่ ไม่ได้คิดเลย แต่นึกถึงว่าทำไมต้องกินแบบนี้ทุกวัน ทำไมบ้านเราไม่ลืมตาอ้าปากเหมือนคนอื่นบ้าง”

โตก็เลยอยากมีอาชีพเลี้ยงครอบครัว ก็เลยมาสอบครู แต่ไม่มีเงินสมัคร?
“ใช่ครับ ก็เลยตัดสินใจมาสอบดุริยางค์ คือเงินค่ารถ 210 บาทแล้ว ก็เหลือเงิน สี่ร้อยกว่าบาท ซึ่งกินข้าวก็เหลือไม่เท่าไหร่ก็เลยมาสอบ เขาก็บอกว่าผลสอบจะออก 2-3 เดือน เราก็มองหน้าเพื่อน กลับไปก็ไม่ได้ กลับไปก็ไม่มีเงินกลับมาแล้ว ก็เลยตัดสินใจไม่เป็นไรก็มานอนหัวชนกันที่หมอชิตก่อน

รุ่งเช้าก็เข้าไปดูกองดุริยางค์ พอถึงบ่ายๆ เขาก็ซ้อมวอลเลย์บอลกัน เราก็ดูเขา อีกฝั่งนึงเขาขาดอีก 2 คน เขาบอกว่าน้องทำอะไร มาเสริมพี่หน่อยก็เลยลงไปเล่นกับเขาโดยไม่คิดอะไร ด้วยความที่เราเป็นนักวอลเลย์บอลโรงเรียนอยู่ เราก็เล่นได้ เขาก็หันมาถามว่าน้องมาทำอะไร เรามาสอบครับ เขาบอกว่าโอเค อาทิตย์หน้าพี่จะแข่งพี่จะแจ้งผู้การว่าเรามาทำงานเลย แล้วก็แข่งให้พี่ด้วย โชคดีมาก”

แล้วพี่ได้บรรจุเป็นอะไร?
“พลอาสาสมัครแทนนายสิบ ก็คือเงินเดือนเท่ากันกับนายสิบแหละ แต่ไม่มีขีดเฉยๆ ตอนนั้นดีใจมากๆ”

แล้วนานแค่ไหนกว่าจะมาเป็นพลพล?
“ตอนที่อยู่ดุริยางค์ทหารบกเนี่ย เราก็ทำงานอยู่ที่นั่น 5 ปี ก็ลาออก ใน 5 ปีทำอะไรเยอะมาก เพราะเงินเดือน 2350 บาทเอง ซึ่งมันก็ไม่พอ เราก็รับจ้างเข้าเวร ขับวินวันหยุด รับซักรีด ทุกอย่างที่ได้เงิน รับหมด แล้วนอนวันนึง 3 ชม.เอง”

ที่พี่ต้องทำงาน เพราะมันมาจากพี่ก็มีหนี้สิน?
“ใช่ครับ ครอบครัวอยู่ต่างจังหวัด พ่อไปกู้เงินมาสร้างบ้าน พอช่วงนั้นฟองสบู่แตกมันไม่มีเงินที่จะสร้างต่อ กู้แล้วดอกมันก็แพงขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทบกันไปเรื่อยๆ เราก็ส่งแค่ดอกไป ซึ่งอันนี้มันเป็นหนี้ครอบครัวทุกคนต่างช่วยกันรับผิดชอบ ก็ช่วยกันมา 5 ปีแล้ว มันก็ไม่ดีขึ้น ต้องตัดสินใจลาออกเลย”

พี่จะไปเป็นโจร?
“ครับผม จริงๆ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบในวันที่เราสับสน จะลาออกไปไหนดี จะฆ่าตัวตายดีไหม แต่ฆ่าตัวตายก็กลัวเจ็บ หายใจไม่ออก”

ตอนนั้นเลือกวิธีไหน?
“ก็คิดไว้ 2-3 อย่าง อย่างแรกก็คือโดดตึก เสียว สูงไป ก็เจ็บด้วย ถ้ากินยาก็ขม ไม่อร่อย”

หนูว่าลึกๆ พี่ไม่ได้อยากตาย?
“แต่คิดว่าจะเอาตัวรอด คนเดียวตายไปก็ไม่ต้องมาเดือดร้อน ไม่ต้องอะไรแล้ว แล้วก็ในเรื่องของปล้นธนาคารก็เป็นอารมณ์ชั่ววูบเหมือนกัน เรื่องปล้นธนาคารคิดแบบเหมือนดูหนังเยอะ ตอนนั้นคิดเริ่มแรกคือ ยืมปืนทหารก่อน แล้วไปปล้น แต่นั่งคิดไปคิดมา ยังไม่เห็นใครได้ใช้เงินจากการปล้นเลย อีกอย่างอาจจะโดนวิสามัญตายไปเปล่าๆ”

ตอนนั้นมันตกไปขนาดไหนถึงขั้นคิดว่าจะฆ่าตัวตาย เป็นโจรดีกว่า?
“เงินเดือน 2350 บาทเนี่ย หักลบทุกอย่างเหลือ 700 เอง แล้วเราต้องไปหาเพิ่มอีกตั้งหลายพัน เพื่อไปส่งดอก แล้วเราจะหาเงินที่ไหนกินเดือนหน้า ซึ่งมันไม่ชนเดือน แต่มันชนไปหลายปีแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้”

แล้วจุดไหนที่ทำให้พี่ได้สติแล้วดึงตัวเองกลับมาลุกขึ้นสู้ต่อ?
“เพราะว่าจิตใต้สำนึกทุกคนไม่ได้อยากเป็นโจร ไม่อยากฆ่าตัวตาย แต่ด้วยความที่ทุกอย่างมันบีบคั้นมา อาจจะอารมณ์ชั่ววูบ นู่นนี่นั่น ไม่ได้รับกำลังใจ มันก็ทำให้รู้สึกว่า มันไปดีกว่า เผอิญพี่มีครอบครัวที่โทรหากัน คุยกัน พี่เขาบอกว่าใจเย็นๆ นู่นนี่นั่น ถ้าร้องไห้เมื่อไหร่เขาจะมาหาทันที พี่ชายกับพี่สาวเขาก็มา มันก็ได้คำปรึกษา ได้กำลังใจ เพราะฉะนั้นครอบครัวสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เราผ่านวิกฤติต่างๆ ไปได้”

ไม่เคยคิดจะเข้าวงการ และวันนี้ไม่เคยคิดจะออกจากวงการ?
“คือไม่ได้คิดจะเข้าวงการ เพราะรายได้กำลังดี แล้วก็ตอนนี้ก็ไม่คิดจะออกจากวงการเพราะรายได้ดีเหมือนกัน”

ที่บอกว่าเลิกอีกอย่างคืออะไร?
“เลิกกินเหล้า เพราะสมัยก่อนพี่กินเหล้าเยอะมาก วันละ 2 ขวด ทุกวัน กินจนแบบทำงานเหนื่อย งานเช้าไม่ต้องคุย ไม่ตื่น มันมีผลต่อเส้นเสียง ต่องาน”

แล้วทำไมพี่หักดิบ?
“มีอยู่วันนึงที่รับปากผู้ใหญ่ เดี๋ยวผมไปเล่นกอล์ฟด้วยนะที่เขาใหญ่ นัด 8 โมง แต่ 8 โมงเพิ่งตื่น ก็บอกเขาตรงๆ เลยว่าเมื่อคืนหนักไปหน่อย แต่ก็ขับรถไปหาเขา วันนั้นรู้สึกผิดมาก เรื่องแค่นี้เรายังรับผิดชอบไม่ได้ แล้วงานคอนเสิร์ตที่เราไปรับเงินเขามาแล้วไปร้องไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจไม่กินเลย”

เห็นว่าหนักสุดถึงขั้นร้องเพลงไม่ได้ พูดไม่ได้ด้วย?
“ใช่ คือต้องฉีดยาเกือบทุกวัน”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1959641
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1959641