พระเอกนักบู๊ “อ๊อฟ ชนะพล” 15 ปี วงการบันเทิงไม่ง่าย เรียนรู้รักครั้งใหม่กับ “ฮาน่า”


ให้คะแนน


แชร์

ละครเผาขนสำหรับอ๊อฟเป็นอย่างไร

ในเรื่องต้องปะทะกับพระเอกรุ่นน้อง เข้ม–หัสวีร์ ล่ะ

“ผมได้ร่วมงานกับเข้มครั้งแรก ถือว่าโอเคเลยนะครับ เขามีหน่วยก้านในการบู๊ดี จังหวะไหนที่เราจะแนะนำกันได้ ก็จะมาแชร์และแนะนำกัน โดยการที่ผู้กำกับ (ทองก้อน ศรีทับทิม) จะเป็นคนมาคอยแนะนำเพิ่มเติมว่าควรจะทำอะไรอย่างไร อย่างพวกท่าทางการบู๊ การเตะต่อย แต่ละคนก็จะมีท่าที่ตนเองถนัด ดังนั้น เราก็ต้องมาแชร์กันว่าใครถนัดแบบไหน แล้วเอาท่าของเราทั้งคู่มาผสานกันเป็นท่าในการต่อสู้ของเราทั้ง 2 คนครับ”

เห็นอาทองก้อน (ผู้กำกับ) เปรยว่า อ๊อฟจะไม่ยอมให้มีสตันต์แมนมาเล่นแทนเลย

“ใช่ครับ ผมอยากเล่นให้เป็นตัวเราเองที่สุด แม้ว่าฉากนั้นจะไม่ได้เห็นหน้าเราเท่าไหร่เพราะสวมชุดคอมมานโดอยู่ ผมคิดว่าการที่เล่นเองทำให้ได้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ถึงชุดจะทำให้เวลามองเห็นแค่ลูกตาเรา แต่ผมก็คิดว่าคงไม่มีใครมาสวมแล้วเป็นเราได้เท่ากับตัวเราแล้วครับ”

ระยะหลังๆเห็นอ๊อฟเล่นละครบู๊ติดต่อกัน คือจะเป็นพระเอกนักบู๊แล้วสิ

“การเป็นพระเอกนักบู๊ผมว่ามีข้อดีตรงที่ได้ออกกำลังกายครับ ตัวผมเองเป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว พอมาได้เล่นละครบู๊ก็เลยสนุก แต่ละครบู๊แต่ละเรื่องก็ไม่เหมือนกัน การมีชีวิตของตัวละครที่ไม่เหมือนกันมันคือความท้าทายของการเล่นละครบู๊ รวมไปถึงแต่ละค่ายที่ทำละครบู๊ก็มีเทคนิค มีวิธีการแตกต่างกัน ละครบางเรื่องบู๊ไปด้วยร้องไห้ไปด้วยก็มี บางเรื่องบู๊ไปหัวเราะไป มันมีความหลากหลายเป็นความสนุกของละครบู๊ที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจและได้พัฒนาตนเองขึ้นไปเรื่อยๆครับ”

เตรียมพร้อมร่างกายก่อนถ่ายทำอย่างไรบ้าง

“วิ่งครับ อย่างน้อย 5 กม.เลยทุกวัน พอกล้ามเนื้อเริ่มอยู่ตัวก็สลับเป็นเช้าวิ่ง เย็นเล่นเวท เพื่อสร้างกล้ามเนื้อและให้กล้ามเนื้อเราชินกับการถูกใช้งาน เพราะเวลาเราทำงานเราต้องใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนเลย”

ล่าสุดเห็นโชว์ซิกซ์แพ็กเป็นมัดๆ

“(หัวเราะ) คนทักเยอะครับ เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดี แต่ครั้งนี้ผมเพิ่มเติมเรื่องโภชนาการไปด้วย คุมอาหารเพิ่มเติมก็เลยทำให้ได้ผลออกมาเป็นซิกซ์แพ็กอย่างที่เห็น ถามว่าชีวิตผมเปลี่ยนไหม เปลี่ยนครับตั้งแต่ตัดสินใจแล้วว่าจะแข่งกับตัวเอง วันนี้พอเราเห็นหุ่นตัวเองในกระจกมันก็ได้คำตอบแล้วว่าผมชนะตัวเองได้แล้ว มันรู้สึกดี รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่เราสามารถห้ามใจตัวเองและเปลี่ยนตนเองไปในทางที่ดี มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เราทำ มันทำให้เราดูหน้าเด็กขึ้นทั้งๆที่เราก็อายุเยอะแล้ว มันทำให้เขาได้แรงบันดาลใจในการดูแลตัวเองเหมือนกันครับ”

ถามถึงฉากกุ๊กกิ๊กในเผาขนบ้างดีกว่า จะมีให้ได้เห็นบ้างไหม

“มีครับ เอาเป็นว่ามีน้อยแต่ว่าคุ้ม เพราะคาแรกเตอร์ของผู้กองโรมรันเขาเป็นคนบ้างานมาก ตัวเขาน่ะแอบไปชอบอลิส (การ์ตูน-ณัฐฌา บุญปอง) ด้วยความใกล้ชิด ด้วยหน้าที่ ทำให้รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าช่วยเหลือ รวมถึงเรื่องราวของครอบครัวเขาน่าสนใจ ทำให้เราอยากช่วย พอได้ช่วยก็ทำให้อยู่ใกล้กัน ขณะเดียวกัน มุฑิตา (แก้ม-ญาณิศา ธีราธร) ก็มาตกหลุมรักเราแต่เราไม่ได้มองเขาแบบนั้น ขนาดที่เขาเอาตัวมารับกระสุนแทนผม คือในมุมของความรักในเรื่อง ผมว่ามันค่อนข้างเป็นรักหลายเส้าเลย”

นอกจากละครเรื่องเผาขน อ๊อฟมีผลงานอะไรอีกบ้าง

“มีเรื่องปางเสน่หา กำลังถ่ายทำอยู่ ในเรื่องผมรับบทเป็นตำรวจอีกเหมือนกัน แต่เป็นตำรวจสากล ลุคในเรื่องจะอินเตอร์ดูเป็นคุณชายหน่อย (หัวเราะ) จะมาแนวใส่สูท หล่อๆเท่ๆ ตามสืบคดี เป็นผู้ชายแบบเนี้ยบๆหน่อย และอีกเรื่องกำลังจะเปิดกล้องครับ เรื่องหุบพญาเสือ จะมาเป็นแนวบู๊ย้อนยุคเรื่องนี้น่าจะได้เห็นผมขี่ม้าด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมได้พลิกบทบาท เป็นบทที่พออ่านแล้วตัดสินใจได้เลยว่า เราต้องเล่นเรื่องนี้”

15 ปีในวงการบันเทิงของอ๊อฟมองว่าวงการบันเทิงเปลี่ยนไปเยอะไหม

“เปลี่ยนครับ ยุคนี้คือโซเชียลมีเดีย เราสามารถดูละครผ่านออนไลน์และพูดคุยกันได้ในขณะนั้นเลย ดูที่ไหนก็ได้ แต่ยุคของผมในช่วงแรก คนที่จะดูละครจะต้องกลับบ้านเปิดทีวีดูที่บ้าน นี่คือความเปลี่ยนและแปลกใหม่ รวมถึงการทำงานในยุคผมตอนนั้นต้องแข็งแรงจริงๆ ยุคที่ถ่ายบางเรื่องถ่ายไปออกอากาศไป แต่ยุคนี้การทำงานเบาลง ทำงานเป็นเวลา เลิกเป็นเวลาแต่คุณภาพงานยังคงมีอยู่ ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นในหลายๆด้าน มันคือจุดเปลี่ยนจุดหนึ่ง รวมถึงแฟนละครที่สามารถเข้าถึงนักแสดงได้ง่ายขึ้น พูดคุยกันง่ายขึ้น ต่างจากช่วงแรกที่ผมเข้ามาในวงการ ซึ่งตอนนั้นจะไปเดินห้าง ไปไหนมาไหนต้องระมัดระวังตัว การพบเจอกับแฟนละครค่อนข้างยาก แต่ยุคนี้แค่ไดเรกต์เมสเสจมาหาหรือว่าติดแท็กมาหาเรา เราก็จะได้เห็นได้ทราบความคิดของเขาแล้ว เทคโนโลยีที่เข้ามาทำให้เราได้เห็นสิ่งต่างๆเหล่านี้แล้วนำมาพัฒนาตนเองได้ง่าย”

อ๊อฟมองว่าตอนนี้ตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

“ประสบความสำเร็จมากๆ จากวันแรกที่ผมก้าวเข้ามาวงการบันเทิง แต่การก้าวเข้ามาในครั้งนั้นคือการประกวดดัชชี่บอย ในปี 2006 และผมก็ทำสำเร็จ นั่นคือประสบความสำเร็จในจุดเริ่มต้น และเป้าหมายต่อมาของผมคือการเป็นนักแสดง ต้องอยู่ให้ได้นาน พอผมตั้งเป้าไว้แบบนั้น ผมก็ตั้งใจทำงานมากเพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้โอกาสเล่นละครแค่เรื่องเดียวแล้วไปเลยหรือเปล่า วันนี้พอเวลาผ่านมามันเกิน 10 ปีแล้ว มันได้ผ่านคำว่าประสบความสำเร็จไปแล้ว แต่อาชีพของเราวันนี้คืออนาคต คือชีวิตของเราแล้ว การที่เราเล่นละครมา 14 ปี มันคุ้มค่ามากๆ ผมว่าคำว่าประสบความสำเร็จสำหรับผม คือผมได้ผ่านปีที่ 10 มาแล้ว และหลังจากปีที่ 10 มามันคืออนาคต คือกำไรชีวิตของผมครับ”

หันมาถามเรื่องความรักบ้าง ความรักวันนี้เปลี่ยนไปอย่างไร

“เปลี่ยนครับ เมื่อก่อนผมอาจจะมีความมุ่งมั่นมากเกินไปในเรื่องของการทำงาน เรื่องอื่นๆจนมันเหมือนจะเป็นแผ่นเสียงที่ตกร่องไป เพราะเราลืมอะไรบางอย่าง มันก็เลยรู้สึกว่าเราพลาดในความสำเร็จเรื่องความรัก ทำให้วันนี้เรากลับมาคิดว่า เราต้องมองกันมากขึ้นสำหรับคนที่เรากำลังคุย กำลังศึกษากันว่าต้องเข้าใจกันจริงๆและต้องเอาใจใส่ในความรู้สึกของกันและกันจริงๆ เวลามันสอนให้เรารู้ว่า แม้เราจะคบกันเป็นแฟนกันอยู่แล้วเนี่ย แล้วเรามัวแต่มุ่งมั่นว่าจะทำงานเพื่ออนาคต มันทำให้เราลืมความรู้สึกของอีกคนไป ความรู้สึกเนี่ยมันตอบทุกอย่างได้ ถ้าเราเข้าใจความรู้สึกเขาเราจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร”

ถามถึงความสัมพันธ์ล่าสุดกับฮาน่าเป็นอย่างไร

“ดีครับ ถือว่าเป็นการศึกษาดูใจกันที่ดี ผมก็จะละเอียดมากขึ้น ในส่วนที่เราเคยขาดไปกับน้องส่วนหนึ่งเพราะว่าเราอยู่ในวงการเดียวกันด้วยมั้ง มันเลยทำให้เราเห็นภาพเดียวกันทั้งเรื่องงาน เรื่องการใช้ชีวิตเลยทำให้แทบจะไม่ต้องอธิบายอะไร แต่ในรายละเอียดของการเข้าใจด้วยการพูด หรือการศึกษาความรู้สึกเขาเราก็ต้องเรียนรู้เพิ่ม เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่อยากพลาดอีกแล้ว และวันนี้ก็ค่อนข้างไปในทิศทางที่ดี เขาก็เข้าใจเราทั้งเรื่องงาน รวมถึงการใช้ชีวิตเราต่างรู้กันอยู่แล้ว”

แว่วว่าตอนนี้มีคลับบ้านอ๊อฟ–ฮาน่า คู่กันเรียบร้อย

“ใช่ครับ คือพอเราได้ร่วมงานกันมาและแฟนๆเห็นว่าเรา 2 คนเคมีเข้ากันดี ตั้งแต่เล่นละครเรื่องทางเสือผ่าน แฟนละครเขาเห็นแบบนี้ก็ชอบ เขาก็เลยสนับสนุนอยากให้ทำงานด้วยกัน และก็เรื่องความรัก”

ฮาน่าเป็นอย่างไรในสายตาอ๊อฟ

“เขาเป็นผู้หญิงสายลุยครับ ตั้งใจทำงานมาก แต่ถามว่ามีมุมที่เป็นผู้หญิงสำอางไหม ก็มีนะแต่ในความสำอางนั้นมีความลุยอยู่ในตัว ทำให้เรารู้สึกว่าน้องเป็นคนที่เรียบง่าย เป็นคนลุย และเป็นคนที่อะไรก็ได้ ที่เขารับได้นะ เป็นคนโอเคเลย”

มองไปถึงขั้นอนาคตครอบครัวหรือยัง

“ยังครับ ตอนนี้ยังไม่กล้ามอง ตอนนี้ขอแค่ศึกษาดูใจกันไปก่อน ต่างคนต่างยังโฟกัสเรื่องงานก่อน ตัวน้องเองก็มีงานเยอะ ผมเองก็ทำงานเยอะ ดังนั้น ให้เวลาและความพร้อมจริงๆดีกว่า ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันจะมาเองจะไม่ไปวางกฎเกณฑ์ว่าต้อง 1 2 3 4 5 คือปล่อยทุกอย่างไปตามธรรมชาติเลย แล้ววันหนึ่งเราจะมีความสุข จะรู้สึกได้เอง จะไม่คิดล่วงหน้าว่าอีก 2 ปีนะ หรือ 3 ปีนะ เพราะทุกวันนี้ผมก็มีความสุขกับครอบครัวมีความสุขกับการศึกษาดูใจน้องเขาอยู่แล้ว ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร เราค่อยว่ากัน แต่กับวันนี้คือดีมากๆ พรุ่งนี้ก็ดีมาก แต่อนาคตเรายังไม่รู้ครับ”.

เรื่อง : วรรณี ห่อวโนทยาน

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2108321
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2108321