“เจมส์-จิรายุ” เปิดโลกสายดนตรี ทุ่มเทอัลบั้มแรกในชีวิต “See More”


ให้คะแนน


แชร์

ประกอบด้วย 5 เพลงในสไตล์หลากหลาย ทั้งเพลง “เป็นประจำ”, เพลง “ค่อยๆ ไป”, เพลง “วางใจ”, เพลง “กว่าจะมีเธอ” และเพลง “ดื้อ” ได้ร่วมงานกับคนดนตรีระดับประเทศ รัฐ Tattoo Colour, หนึ่ง อีทีซี, บิว Lemon Soup, ตั้ม โมโนโทน, สิงโต นำโชค, แม็ค อะแคปเปล่า 7 เลยให้ “เจมส์” เล่าการทำงานเพลง และสิ่งที่ได้เรียนรู้ เริ่มจาก…

ข่าวแนะนำ

เล่าแพชชันทางดนตรีและการอยากมาทำเพลงของเจมส์หน่อย?

“ผมเป็นคนชอบเพลง ชอบในฐานะคนฟังด้วยเรียกว่าเป็นผู้เสพ เพลงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมที่ผ่านมาเลยนะ โดยปกติทำอะไรก็มีเพลง การทำงาน ก็ช่วยบิวต์อารมณ์บ้าง อะไรบ้าง เพลงถือว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบจริงๆจนคิดว่าอยากทำเพลงของตัวเอง ผมเป็นคนฟังเพลงเยอะมากและหลากหลายอยู่แล้ว พอมีโอกาสได้ไปเจอพี่ๆที่ทำเพลงเก่งๆแต่ละท่าน ได้คุยกัน ได้เล่าคอนเซปต์ให้ฟังแล้วทุกคนก็พร้อมมาช่วย ก็ได้รับความช่วยเหลือจากพี่ๆหลายๆฝ่ายมากๆเลยครับ”

เล่าถึงแต่ละเพลงหน่อย ตั้งแต่เพลงเป็นประจำ เพลงค่อยๆไป เพลงวางใจ เพลงกว่าจะมีเธอ และเพลงดื้อ มีที่มายังไงและได้แรงบันดาลใจมาจากไหน?

“จริงๆอัลบั้ม See More ก็เป็นความแตกต่างใหม่ๆ ที่จะทำให้ทุกคนได้เห็นมุมใหม่ๆ คือจริงๆตอนที่ได้ทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมา เป็นโปรเจกต์ที่ผมชอบมากๆ ตอนแรกที่ทำก็ยังไม่มีชื่อ แต่พอทำมันก็ได้เห็นความแตกต่างหลายๆมุม เพลงที่มันแตกต่างกัน 5 เพลง เอ็มวีก็มีมู้ดที่ต่างกัน เลยได้ชื่อว่า “See More” ที่แปลว่าได้เห็นเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพลง “เป็นประจำ” เป็นเพลงที่พี่รัฐ Tattoo colour ได้แต่งเนื้อและทำนองขึ้นมา ให้ความรู้สึกว่าเรายังคิดถึงใครบางคนอยู่เป็นประจำ เพลงที่สองก็เป็นเพลง “ค่อยๆไป” อันนี้เริ่มต้นจากไอเดียของผม คล้ายๆว่ามันดึงมาจากนิสัยของผมเอง คือผมเป็นคนที่แบบชอบทำอะไรทีเดียวหลายๆอย่าง ทำพร้อมกันมันก็ดีแต่ว่าบางทีมันก็จะไม่สำเร็จสักอย่างไม่ดีสักอย่าง ค่อยๆไปมันก็เลยเป็นเพลงที่สื่อออกมาว่า ค่อยๆเอาทีละก้าวก็ได้มั้ย หรือค่อยๆไปก็ได้มั้ย แล้วก็มาตีความเป็นความรัก

ส่วน “วางใจ” ก็จะเป็นเพลงที่เอามาจากความเป็นเพื่อนด้วยความที่นิสัยของเพื่อนแต่ละคนที่เราเจอแล้วเราก็ยังไงกับในกลุ่มเพื่อนว่าเราสามารถที่จะเข้าใจกันได้แล้วก็วางใจกันได้ครับ “กว่าจะมีเธอ” เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ตั้งใจเขียนมาถึงความรักที่ผมได้รับจากทุกคนครับว่ากว่าจะมีวันนี้มันก็ค่อนข้างยากแหละกว่าจะได้มีเธอ แล้วก็เพลง “ดื้อ” เพลงนี้ส่วนตัวผมชอบเพลงดื้อมากที่สุดในอีพีอัลบั้มนี้ครับคือมันมาจากนิสัยว่าผมเป็นคนที่ดื้อเงียบ คือรับฟังแต่ว่าอาจจะไม่ได้ทำตามทั้งหมด เลยรู้สึกชอบกับเพลงนี้มากๆแล้วก็สื่อสารออกไปในมุมมองความรักเหมือนกัน”

การเป็น “เจมส์จิ” พระเอกดังอยู่แล้วมาจับงานเพลง ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะกว่าคนอื่นมั้ย?

“พอผมเป็นนักแสดงที่มีคนรู้จักบ้าง มาทำเพลงก็มีข้อดีคือน่าจะมีแฟนๆที่รู้จักอยู่แล้วติดตามอยู่แล้วที่ฟังเพลงเราบ้าง แต่ผมคิดว่ามันก็จะยากหน่อยในการที่เราจะสื่อสารตัวตนออกมา เพราะการทำเพลงส่วนใหญ่เป็นตัวตน เป็นความรู้สึกโมเมนต์นั้นๆบ้าง หรือคาแรกเตอร์ในเรื่องของเพลงบ้าง ซึ่งผมเองไม่เคยจับงานด้านนี้มาก่อน พอมาจับงานเพลงปั๊บมันก็ไม่รู้เลยว่าคาแรกเตอร์จะเป็นยังไง จะทำอะไรหรือควรจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มันเป็นสิ่งที่ยากด้วย อีกอย่างคือคนที่เป็นแฟนๆละครของเราอยู่แล้ว เค้าจะชอบงานเพลงเราด้วยรึเปล่า ก็เป็นสิ่งที่ต้องคิดเยอะ”

ท้าทายมั้ยกับการทำเพลง เปิดโลกใหม่ๆขนาดไหน มีอุปสรรคอะไรบ้าง?

“อุปสรรคก็คือเราไม่ใช่คนที่ทำเพลงเป็นอาชีพ ตอนเราคิดคอนเซปต์ คิดจะทำ ในหัวมันมีแต่เรื่องสนุก อยากทำโน่นทำนี่แต่พอถึงขั้นตอนลงมือทำจริงๆ มันก็อาจจะไม่สนุกทั้งหมด อย่างเช่นการอัดเสียง เราก็อยากทำให้ได้ดีกว่านี้ก็พยายามฝึก ทำให้รู้ว่าเราอาจจะไปไม่ถึงสิ่งที่ตัวเองคาดหวังไว้ มันมีข้อจำกัดเรื่องขีดความสามารถของผมเองนี่ล่ะครับ แต่เราก็ตั้งใจเต็มที่ครับ”

ฟีดแบ็กต่างๆเป็นไง คำติชมมีให้ชื่นใจตรงไหนได้บ้าง?

“ฟีดแบ็กมีเข้ามาเยอะมากเลยครับ อย่างแฟนๆของผมเองก็จะบอกว่าดีใจที่ได้เห็นเราทำเพลงสักทีเพราะเค้ารู้ว่าเป็นความฝันของเรา ดีใจที่ทุกคนฟีดแบ็กมาเพราะเราจะได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เค้าชอบตรงไหน ไม่ชอบอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ผมชอบเลยก็คือว่า ด้วยความที่มันมีเพลงหลากหลายสไตล์ในอีพีอัลบั้มนี้ แต่ละคนก็จะชอบไม่เหมือนกัน บางคนชอบเพลงนั้น บางคนชอบอีกเพลง เค้าก็จะมีคอมเมนต์ทิ้งท้ายว่าอยากให้ทำเพลงอย่างนั้นอย่างนี้มากขึ้น เลยเป็นสิ่งที่สนุก”

ที่บอกว่าได้รับคอมเมนต์จากคนที่ไม่ใช่แฟนคลับแต่เป็นคนฟังเพลง มีอันไหนที่เราประทับใจเล่าให้ฟังหน่อย?

“ผมชอบนะ จิตใจมันฟูขึ้นมาเลยว่าเวลาที่เราทำเพลง แล้วมีคนที่ไม่ใช่แฟนละครหรือฐานแฟนคลับเก่าเราบอกว่าไม่คิดว่าเจมส์จะร้องได้ขนาดนี้ หรือมันเป็นแนวดนตรีที่เค้าชื่นชอบมันก็เป็นความสำเร็จประมาณนึงในใจผมเองเลยนะ ผมไม่รู้ว่าจริงๆประสบความสำเร็จขนาดไหนแต่ในใจผมคือมันชื่นใจเวลามีคนมาชื่นชอบผลงานหรือมันตรงตามสไตล์ที่เค้าชอบ เราก็มีความสุขมากครับ”

การมาลงมือทำอัลบั้มนี้ทำให้เจมส์ได้เรียนรู้อะไร เอาไปใช้สำหรับงานเพลงครั้งต่อไปบ้าง?

“การทำเพลงครั้งนี้่ได้เรียนรู้อย่างแรกเลยว่าผมแทบไม่รู้อะไรเลย เรื่องสไตล์เพลง คาแรกเตอร์เพลงด้วย ตอนแรกคิดว่าตัวเองรู้ แต่พอมาทำแล้วมันมีดีเทลยิบย่อยเยอะมากมายก่ายกองเต็มไปหมด เลยรู้สึกว่ามันมีช่องทางที่จะพัฒนาด้านงานเพลงได้และเราเริ่มรู้สึกสนุกกับมัน อย่างที่บอกว่าตอนแรกเราสนุกแค่ตอนคิดตอนทำจริงๆมันยาก แต่พอทำมันจบไปแล้ว เราได้มองย้อนกลับไปมันรู้สึกว่ามีอะไรอีกหลายอย่างเลยที่เราทำได้และทำได้ดีกว่านั้นที่เราควรจะปรับปรุงมัน”

แพลนเส้นทางดนตรีไว้ยังไง?

“ถ้ามีโอกาสอีกก็คงอยากทำอีกครับ”

อยากให้คนนึกถึงเพลงของเจมส์คือเพลงแบบไหน?

“อยากให้นึกถึงเพลงชิลๆสบายๆ ฟังแล้วยิ้มได้มุมปากก็ดีใจแล้วครับ”

ด้านงานแสดงก็ได้พิสูจน์ฝีมือด้วยการได้รับรางวัลทำให้กดดันหรือต้องรักษามาตรฐานต่อไปยังไง?

“ผมไม่ได้รู้สึกกดดันจากรางวัลนะครับ แต่ผมรู้สึกกดดันจากตัวผมเองนี่ล่ะ พอเราทำอะไรไปแล้วเราทำมันได้ดี แล้วพอเราทำมันในวันต่อๆไปเราทำมันได้แย่กว่าวันที่เราบอกว่าเราทำมันได้ดี ผมก็จะรู้สึกเฟลหน่อยๆ ซึ่งสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดในการเป็นนักแสดงคือผมอยากทำงานแสดงทุกๆชิ้นทุกซีนให้มันดี เพราะในงานแสดงงานละครถ่ายกันหลายซีนหลายฉาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราไม่สามารถทำมันได้ดีในทุกๆฉากทุกๆวินาทีหรือทุกเทก เลยอยากทำให้ดีทั้งหมด อันนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากทำให้ได้ ณ ตอนนี้ครับ”

มองการเติบโตของตัวเองในวงการผ่านตัวเองเป็นยังไง และมองตัวเองโตขึ้นแค่ไหนจากวันแรก?

“ถ้ามองผ่านตัวเองก็รู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างโตขึ้นพอสมควรเลย ด้วยอายุด้วยมั้ง (ยิ้ม) ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเรียกว่าเก่งขึ้นได้มั้ยแต่ผมรู้สึกว่าผมได้เห็นอะไรเยอะขึ้น ได้มีความสนุกในการชาเลนจ์ตัวเองมากขึ้นไปเรื่อยๆ”

ที่ผ่านมาเจมส์ก็ผ่านมาหมด เรียกว่ามีทั้งช่วงกราฟพุ่งแรง กราฟนิ่งๆ และช่วงเจอดราม่าก็มี เรามีหลักในการอยู่ตรงนี้ยังไง?

“หลักๆคือผมรู้สึกว่า สิ่งที่ทำให้ผมผ่านมาได้น่าจะเป็นการคิดทบทวนเรื่อยๆ การคิดทบทวนมันไม่ใช่ว่าเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร แต่ผมแค่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเมื่อวาน สมมติมันเท่าทุนก็ไม่เวิร์กเท่าไหร่ สมมติมันแย่กว่าเดิมก็ต้องแก้ไข แต่ถ้ามันดีขึ้นกว่าเดิม มันก็เป็นสิ่งที่ดีมากๆ ที่เราผ่านมาได้แบบไม่ได้เครียดมากเพราะผมไม่ได้คิดในมุมอื่นๆหรือเปรียบเทียบอะไร ว่าเราฟูมฟายเสียใจ ผมมองว่าปัญหามันมีแค่ 2 แบบคือ ปัญหาที่แก้ได้และแก้ไม่ได้และผมเลือกทำในปัญหาที่แก้ได้และส่วนใหญ่เป็นปัญหาของตัวเองเพราะฉะนั้นต้องแก้ปัญหาของตัวเองในทุกๆวันครับ”.

เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2142470
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2142470