แหนม รณเดช เล่าตัวตนไม่เรียบร้อยอย่างที่คิด ฝันอยากทำเพลงบลูส์สักครั้ง


ให้คะแนน


แชร์

คุ้นหน้าคุ้นตาในแวดวงบันเทิงมานานนับสิบปีแล้ว สำหรับนักร้องนักแสดงหนุ่ม แหนม รณเดช วงศาโรจน์ ศิลปินสังกัด Muzik Move Records ที่นอกจากจะมีผลงานเพลงดังที่ติดหู อาทิ ให้ฉันดูแลเธอ, เส้นขนานที่รักกัน, ไม่รักไม่เป็นไร, คุ้น คุ้น, เธอจะรักฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฯลฯ ยังมีผลงานละครดังหลายเรื่อง อาทิ 4 หัวใจแห่งขุนเขา ตอน ดวงใจอัคนี, พิมมาลา, หนึ่งในทรวง, My Hero วีรบุรุษสุดที่รัก ตอน ลมไพรผูกรัก ฯลฯ

วันนี้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนเขามาพูดคุยทั้งผลงานซิงเกิลใหม่ “ซ่อนแอบ” รวมไปถึงวันวานเมื่อครั้งเป็นเป็นศิลปินฝึกหัดที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ แต่ก็ยังไม่ได้ออกอัลบั้ม เวลาผ่านไปหลายปีถึงมีโอกาสได้ออกอัลบั้มเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งได้ร้องเพลงประกอบละครและเล่นละครเรื่องแรกจึงเริ่มเป็นที่รู้จัก รวมไปถึงตัวตนที่แท้จริงที่ไม่ได้เรียบร้อยอย่างที่หลายคนคิด และความชื่นชอบเพลงบลูส์ อยากทำเพลงบลูส์สานฝันตัวเองสักครั้งในชีวิต พร้อมทั้งถามถึงเรื่องหัวใจที่กลับมาโสดนานกว่า 2 ปีแล้ว

เรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก

แหนม รณเดช เล่าถึงวัยเด็กของเขาว่า เรียนดนตรีตั้งแต่อายุ 9-10 ขวบ เล่นกีตาร์ กลอง จริงจังที่สุดคือกีตาร์ แต่ไม่ค่อยได้เล่นในช่วงมัธยมปลาย และกลับมาเล่นอีกครั้งในช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เพราะมีโอกาสเข้าไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เลยต้องรื้อฟื้นอีกครั้ง รู้สึกชอบเสียงกีตาร์ เสียงดนตรี

“ผมอยากเรียนดนตรีเอง เรียนกลองก่อน รู้สึกมีความสุขเวลาเรียนดนตรี กลองไม่มีก็นั่งตีกับโต๊ะไม้ที่บ้านไปก่อน ถามว่าทำไมถึงชอบกลอง คือมันดูเคาะๆ ดูง่าย เปียโนดูแพง ดูยาก เป็นเรื่องไกลตัว กีตาร์ก็เป็นสิ่งต่อมาที่ชอบ มันถือเล่นง่าย ราคาไม่แพง กีตาร์ก็เล่นตั้งแต่ 10 ขวบ เรียนกีตาร์คลาสสิกตั้ง 3-4 ปี พอเป็นเด็กมันไม่ได้มีโอกาสไปแข่ง ก็เล่นเอื่อยๆ ไป ก็ตั้งใจซ้อมเพลงที่อยากเล่น

เพลงที่ชอบเล่นมีเยอะเลย สมัยผมเริ่มเล่นกีตาร์ก็มีคนเล่นร็อก เราก็ชอบฟังนะ แต่จะมาถูกหูกับพวกบลูส์ๆ ไม่รู้ทำไม มันโดนใจ มันขยี้ ส่วนศิลปินที่ชอบก็มีหลายยุค ถ้าเป็นกีตาร์ผมชอบ Eric Clapton เรารู้สึกว่าเพลงหลากหลายด้วย เขาไม่ใช่บลูส์จ๋าอย่างเดียว บางทีเขาก็มีเพลงป๊อป บางทีก็เล่นบลูส์โบราณเลย ส่วน Stevie Ray Vaughan อันนี้จะบลูส์เลย เพลงคล้ายกันทั้งอัลบั้ม แต่ผมฟังเพลงหมดนะ ถ้าเป็นแนวการเล่นกีตาร์ผมจะชอบบลูส์ ซึ่งพ่อแม่ก็สนับสนุน ไม่ค่อยยุ่งอะไร สบายๆ โชคดีด้วยแหละครับ”

จากนั้นแหนมเล่าถึงช่วงเริ่มเข้าวงการว่า “ผมเข้ามาที่แกรมมี่ก่อนเพื่อจะเป็นนักร้องนี่แหละ ตอนช่วง ม.6 กำลังจะเข้าปี 1 แต่ระหว่างรอทำก็ไม่ได้ทำไง ช่วงแรกมันก็นาน แล้วมีคนมาเห็นรูปเราเลยชวนไปเป็นพิธีกรที่ True Visions ตอนปี 2 ถามว่ามาอยู่แกรมมี่ได้ไง คือตอนนั้นผมไปดูเพื่อนถ่ายเอ็มวี มีพี่ที่เป็นทีมงานเบื้องหลังที่ดูแลพี่นิโคล เทริโอ เขาเห็นเรา แล้วในห้องมีกีตาร์พอดี ระหว่างที่รอเพื่อนถ่ายเอ็มวี ผมก็เล่นกีตาร์ไปกับเขา เขาก็บอกว่าไอ้น้อง โอเคนี่หว่า งั้นพรุ่งนี้มาออดิชั่น เขาก็โทรมา พอไปออดิชั่นก็ผ่านหมดเลย

แต่ตอนนั้นโปรเจกต์ล่ม โชคไม่ดีไม่ได้ออกตอนเด็ก ก็เลยเรียนปริญญาตรีกับโทจนจบ ก็มีคนติดต่อมาตลอดนะ แต่เราขอเรียนจบก่อน พอจบตรีก็รู้สึกว่าไม่นานนี่หว่า เลยเรียนโทเลย ผมเลยเสียเวลากับตรงนี้ไปไม่ได้ทำเลย ไม่งั้นผมก็ทำไม่ได้ ผมอยากจะจบปริญญา เพราะผมไม่รู้อนาคตผมจะได้ทำอะไร ผมเลยเรียนเผื่อไว้ว่าถ้าไม่ได้ทำตรงนี้ก็ไปสมัครงานทำที่อื่น ผมไม่ได้เรียนดนตรีด้วย เรียนด้าน Business เศรษฐศาสตร์ คิดว่าดนตรีเรียนเองได้ เราเรียนตั้งแต่เด็ก ไปจบปริญญาทางอื่นดีกว่า พอเรียนจบก็มีโอกาสเข้ามาอีกที เลยได้เข้ามาแกรมมี่อีกรอบนึง คือเข้ารอบ 2 หลังจากเวลาผ่านไป 3-4 ปี”

กว่าจะมีชื่อเสียง

เราถามว่าพอได้กลับมาแกรมมี่อีกครั้งรู้สึกเซอร์ไพรส์ไหม เขาตอบว่า “ก็เซอร์ไพรส์นะ ตอนได้ออกอัลบั้มดีใจมาก ผมใฝ่ฝันว่าอยากออกอัลบั้มกับแกรมมี่ จะเป็นศิลปินแกรมมี่ อยากเล่นกีตาร์ ถึงจะไปออกกับกรุ๊ปโน้นกรุ๊ปนี้ก็ดีใจ วันแรกที่อัลบั้มออกก็ดีใจมาก ไปซื้อเทป ซีดี แต่อัลบั้มนั้นเงียบ แล้วมาออกอัลบั้มเดี่ยวก็เงียบอีก ยุคนั้นทำผมคล้ายๆ กัน เหมือนวงโซคูล (หัวเราะ) ก็เท่ดี

ตอนนั้นก็คิดว่าพอแล้ว เพราะมันไม่ได้ประสบความสำเร็จ คิดว่าได้ออกอัลบั้มแล้วนะ ไปหางานทำอย่างอื่น ปรากฏว่าพี่ที่แกรมมี่บอกว่าลองอีกที ต้องขอบคุณพี่ตี่ (กริช ทอมมัส) พี่ป๊อด (กิตติศักดิ์ ช่วงอรุณ) อากู๋ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) ที่ยังให้โอกาส ก็เปลี่ยนทีม โปรดิวเซอร์ก็ชุดเดิมคือพี่เต็น (ธีรภัค มณีโชติ) และให้พี่หนึ่ง (ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์) เขียนเพลง เขาบอกว่าร้องเพลงละครไปก่อนแล้วกัน เป็นเพลงละครเพลงแรกในชีวิตเลย

เราก็โอเค เริ่มใหม่ ช่างมัน ไม่ได้หวังอะไร เพราะจะเลิกทำอยู่แล้ว เขาให้เพลง “ให้ฉันดูแลเธอ” เพลงประกอบละคร “ผู้ใหญ่ลีกับนางมา” เพลงนี้โคตรดัง เพิ่งรู้ว่าความดังเป็นยังไงก็วันนั้น จากที่เคยออกเต็มอัลบั้ม แต่ไม่เคยได้ยินเพลงในอัลบั้มตัวเองออกในวิทยุสักครั้ง มีครั้งเดียวคือตอนตี 2 แต่เพลงให้ฉันดูแลเธอ ทุกวันนี้ยังเปิดอยู่เลย มันเป็นเพลงอันดับ 1 ในเดือนนั้นเลย ทั้งยอดดาวน์โหลดและเพลงฮิต ติดชาร์ตหมด

เราก็โห…มันมีแบบนี้ด้วยเหรอ ทุกครั้งที่ผมขึ้นรถตัวเองต้องได้ยินเพลงตัวเอง รู้สึกดีมาก นั่งยิ้มดีใจ โห…มันเป็นแบบนี้นี่เอง หลังจากนั้นออกอีก 3-4 เพลง เพลงของผมถูกเปิดทุกเพลง ติดชาร์ตหมด พอปลายปีเล่นละครกับ ณเดชน์-ญาญ่า เรื่อง “ดวงใจอัคนี” มันพีกเลย ก็เลยเป็นที่รู้จัก ตอนแรกที่ร้องเพลงให้ฉันดูแลเธอ คนยังไม่รู้จักเรา แต่พอปลายปีเล่นละคร ปีนั้นคนก็รู้จักเลยว่าเป็นใคร พอเรื่องนี้ดังเราก็ได้อานิสงส์ไปด้วย ก็สนุกดี เป็นเมมโมรี่ที่ดี”

ชีวิตหลังเป็นคนดัง

หลังจากมีเพลงดังและเล่นละครดังจนเป็นที่รู้จัก ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปขนาดไหน แหนมบอกว่า “กลางๆ ครับ แต่ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น ถือว่าใช้ได้ ไปเล่นที่ไหนก็สนุกสนานดีครับ หลังจากนั้นก็ยังมีละครมาเรื่อยๆ แล้วก็ออกเพลงมา มีที่คุ้นหูบ้าง ไม่คุ้นหูบ้าง ละครก็ยังกลางๆ ไม่มีอะไรที่ตู้มเหมือนช่วงนั้น จริงๆ แค่ตู้มครั้งเดียวในชีวิตก็ดีใจแล้ว”

ด้านการแสดง แหนมเล่าว่าบทส่วนใหญ่ที่มีคนติดต่อมาจะเหมือนละครเรื่องแรก คือนิ่งๆ คุณชาย แต่จะมีบทบ้าๆ บอๆ เล่นเป็นตัวร้ายครั้งแรกคือ “ลมไพรผูกรัก” ทางช่อง 3 และไปเล่นละครกับช่อง 7 อีกเรื่อง แต่ที่หายไปจากงานละคร แหนมให้เหตุผลว่า “คิดว่าพอแก่ไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่อยากถูกเฟดไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ในละคร ไม่รู้สิ ไม่อยากให้แก่ ผมยังสามารถทำเพลงตรงนี้ได้ แต่อันนั้นมันเลือกไม่ได้เลย ไม่รู้ว่ามันเสริมเราหรือเปล่า ถ้ามันเป็นบทดีๆ ก็เล่นอยู่แล้วแหละ แล้วในช่วงที่เราไม่ได้เป็นกระแส คนก็ไม่อยากเลือกเราให้เล่นก็ได้ เราก็ต้องเข้าใจเขาด้วยครับ”

ถามว่าวงการนี้เป็นอย่างไรสำหรับเขา นักร้องหนุ่มตอบว่า “ก็ดีนะครับ เพราะว่าให้อะไรหลายอย่างกับเรา ทั้งที่เราจบอย่างอื่นมาแต่ไม่เคยทำงานอย่างอื่นเลย เราทำงานในวงการนี้ตั้งแต่เรียนปี 2 คืองานพิธีกรก็ถือว่าอยู่ในวงการ แต่ไม่ได้เป็นดารานักแสดง ก็เป็นวงการที่เรารัก ถ่ายละคร ทำเพลง ทำงานพิธีกร มันสนุก มีประสบการณ์ ให้อะไรเราเยอะ

ส่วนที่เรียนมาไม่ได้ใช้ แต่การเรียนไปเรื่อยๆ มันเป็นการลับสมองบางอย่าง มันไม่จำเป็นว่าเรียนทุกอย่างต้องเอามาใช้ แล้วผมเชื่อว่าคนที่เรียนทุกอย่างแล้วเอามาใช้แทบจะไม่มี มันเป็นสิ่งที่เสริมพื้นฐานเราเฉยๆ การเริ่มทำงานยังไงก็ต้องเรียนใหม่อยู่ดี ถ้าให้ผมไปทำงานแบงก์ตอนนี้ก็ทำได้ถ้าต้องทำ มันก็ต้องเริ่มใหม่ แต่แค่ไม่มีโอกาสทำเพราะเราอยู่ตรงนี้แล้ว”

ซ่อนแอบ

นักร้องหนุ่มพูดถึงเพลงล่าสุด “ซ่อนแอบ” กับการทำงานครั้งนี้ภายใต้สังกัด Muzik Move ว่า “เพลงนี้คือเหมือนเราซ่อนตัวมานาน 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยเจอใคร พูดแทนคนอื่นว่าก็ไม่ได้เจอเนื้อคู่ โสดนาน เลยอยากได้เพลงน่ารักๆ ถามว่าคู่ของเราอยู่ไหนนะ ไปซ่อนแอบที่ไหน โผล่มาให้เห็นหน่อยซิ ถ้าโสดก็มาเจอกัน เหมือนตามหาความรัก มันเหมือนเอาชีวิตผมมาเขียน (ยิ้ม) เพลงนี้จะมีทีมพี่โอ๊บ (เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆการ) ทำครับ ทำนองจะเป็นของน้องอั๋น (เจษฎา ตรีรุ่งกิจ) ศิลปินใหม่ของค่าย เนื้อหาก็จะเป็นเอก Season Five น้องเอิ๊ต ภัทรวี พี่โอ๊บ ช่วยกันทำ ผมก็เล่นกีตาร์

เอ็มวีผู้กำกับอยากให้โสดตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน (หัวเราะ) เขาก็จะทำให้มันดูแปลกหน่อย ถามว่าทำใจอยู่นานมั้ยที่แต่งเป็นมนุษย์ยุคหิน ทำใจเล่นไม่นาน แต่ว่าทำใจดูเนี่ยนานมาก (หัวเราะ) ก็ไม่เคยเห็นตัวเองในสภาพนั้นอยู่แล้ว รู้สึกว่าใช่เหรอ แต่คนก็บอกว่าลองเปลี่ยนดูบ้าง ทำแบบเนี้ยบๆ มาเยอะแล้ว ก็เซอร์ไพรส์เพราะว่าฟังดูตอนแรกก็โอเคนะ จะได้ดูเหมือนหนังแปลกๆ ฮาๆ”

ส่วนกระแสตอบรับ แหนมบอกว่า “เอ็มวีก็จะงงๆ บางคนเขาก็จะพูดว่าในเอ็มวีนั่นพี่เหรอ ทำไมกล้าทำ ตอนแรกคิดว่าจะเอาคนอื่นเล่น แต่ติดต่อใครไม่มีใครเล่นเลย ที่ค่ายบอกว่าไม่มีชอยส์อื่นแล้ว ก็เลยเล่นดูแล้วกัน จริงๆ ไม่ได้เล่นเอ็มวีตั้งนานแล้ว เพราะรู้สึกเขิน เราก็โตแล้ว ถ้าซิงค์ร้องเองโอเค แต่ถ้าเล่นเอ็มวีให้น้องๆ เล่นดีกว่า อยากเห็นภาพคนใหม่ๆ เล่นบ้าง แต่อันนี้ก็โอเคครับ แปลกดี ก็ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำบ้าง

ในแง่เพลง เพลงนี้ดีนะ ใครๆ ก็จะชอบ เพลงเพราะดีครับ พาร์ตดนตรีก็โอเคเลย แล้วเป็นเด็กยุคใหม่เข้ามาลองทำทำนอง ไม่เหมือนกับที่เราทำ ฟีลจะต่าง ก็ลองดูบ้าง เพราะเมื่อก่อนผมแต่งทำนองเอง แต่อันนี้น้องๆ ลองเสนอมาก็เลยเปิดให้มาทำดู ก็ดีนะ เพราะมันไม่ใช่เมโลดี้ที่ผมเคยร้อง หลบเยอะมากเพลงนี้ เราก็ลองดูครับ”

ทำเพลงแนวที่ชอบ

เราให้แหนมรีวิวตลอดชีวิตในวงการบันเทิงที่ผ่านมา เขาบอกว่า “มันก็ขึ้นๆ ลงๆ ครับ เราทำด้วยความชอบ ไม่ได้หวังว่าจะดังมาก แต่ก็มีช่วงที่แบบโห…บ้าง ช่วงไม่มีก็ผลัดๆ กันไป แต่ก็สนุกดีครับ การแสดงผมก็ชอบนะ แต่บางเรื่องบทบางอย่างก็เลือกไม่ได้ เราอาจจะไม่ได้มีชอยส์เยอะ แต่เพลงเราสามารถที่จะอยากทำแบบนั้นแบบนี้ได้บ้าง การแสดงเป็นบทที่เขาเลือกมาให้แล้ว ตอนเล่นเรื่องแรกก็บทเนี้ยบๆ หน่อย คนก็มองภาพเนี้ยบๆ มาตลอด ด้วยลุค ด้วยเพลง มันทำให้มาทางนั้นสักพักเลย พอผิดแนวนิดนึง คนจะรู้สึกว่าใช่เหรอ

ด้วยหน้าผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก คือดูหน่อมแน้ม น่ารักๆ คนไม่คิดว่าผมเป็นร็อกเกอร์ได้ขนาดนั้น แต่จริงๆ ผมชอบแบบบลูส์ๆ ไม่ใช่เพลงที่ผมทำเท่าไร แต่จะสอดแทรกเข้าไปบ้าง ผมก็เบลนด์ตัวเองมาตลอด ให้มันมีกลิ่นบ้าง เวลาเอาไปเล่นสดก็เล่นแบบที่อยากเล่น แต่แผ่นเพลงที่ออกจะไม่ใช่ เพราะด้วยการค้าขาย ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะ แต่จริงๆ เราชอบเล่นแนวนั้นด้วย พอมาเล่นละคร มาเล่นบทเป็นคุณชาย มีเพลง “ให้ฉันดูแลเธอ” มันไปแนวนี้หมดเลย คือดูน่ารัก Positive ซึ่งก็ชอบ มันเลยถูกโฟกัสจุดนั้นซะเยอะกว่า ถ้าพูดคำหยาบออกทีวีคนอาจจะตกใจ”

ถามว่าเคยอยากทำเพลงในแบบที่ชอบมั้ย แหนมบอกว่า “เป็นคำถามที่ผมชอบที่สุดเลย (ยิ้ม) นี่เป็นสิ่งนึงที่ฝันก่อนลาจากวงการนี้ไป จะต้องทำโปรเจกต์ที่เราอยากทำสักอันนึง ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่ว่ามันต้องมีไว้ จริงๆ แนวผมก็ยังมีคนฟังได้ แต่ผมว่าเมื่อก่อนเรายังเด็ก อยู่กับค่าย ทุกคนจะมองว่าจะเสี่ยงออกตังค์ทำเพลงแบบนั้นไม่คุ้ม เพราะเราไม่ได้แสดงออกแบบนั้น ลุคเราก็ไม่ใช่แบบนั้น มันมีส่วนผสมในตัวเองเยอะ ซึ่งเป็นแบบนี้ก็ถูกแล้ว พอออกอัลบั้ม ผมก็ไปเล่นของผมเองที่งานของผม ถ้ามีผับบาร์ที่รู้จักกัน ผมก็ไปเล่นไปแจมกับคนรู้จัก

ถ้ามีโอกาสจะทำมั้ย แน่นอน มีโปรเจกต์ในปีนี้เลย ผมคุยกับพี่จุ๊บ (วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี) ว่าผมขอสักครั้งในชีวิต เป็น Side Project เป็นแบบบลูส์ มีเครื่องเป่า เพลงฟังก์ร็อกบลูส์ ผสมๆ กัน แต่อาจจะไปออกค่ายเล็กๆ ค่ายอื่น ลองทำดู ก็ยังอยู่ในค่ายแหละ แต่ไม่ต้องผ่านพี่ๆ ทีมแต่งเนื้อ เราอาจจะทำเองเลย แต่ก็ต้องมี Label ให้เขาหน่อย เพราะต้องใช้ค่าใช้จ่าย ซึ่งทางค่ายก็โอเคครับ ก็จะลองทำสักเพลงสองเพลงดูก่อน ก็หวังว่าจะได้เห็นในปีนี้ครับ คิดว่าอีกสัก 6-7 เดือนน่าจะทำ จริงๆ เพลงมันแต่ง 1-2 อาทิตย์ ถ้าฟีลมาดีๆ ก็ได้อยู่ ก็หาคนช่วยอะเรนจ์สวยๆ” ก่อนจะฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี

เราถามว่าถ้าได้ทำจริงๆ จะตื่นเต้นมั้ย เขาบอกว่า “ตื่นเต้นเลย จะชอบมาก แล้วผมจะกำกับเองเลย เพราะผมชอบถ่ายรูป ผมไม่เคยรู้สึก 100 เปอร์เซ็นต์สักทีกับภาพทั้งหมดที่ผมออกมา มันอยู่ที่กึ๋นของคนด้วย บางคนอุปกรณ์ไม่เยอะ แต่หลบแสงอะไรนิดนึงก็ดูหรูหราขึ้นมาได้ แล้วบางทีคือสิ่งที่เราอยากทำแบบเต็มร้อยคือทำทั้งภาพและเสียงเอง ถ้ามันจะเละก็เละด้วยมือผมเองไม่เป็นไร (หัวเราะ) แต่คิดว่าไม่น่านะ มันน่าจะถึงใจเราบ้าง ถ้ามีโอกาสอยากควบคุมทุกขั้นตอน ผมว่าไม่ยากนะ ทำได้ ผมอยากทำผู้กำกับด้วย เพราะบางทีผมชอบแสดง”

ไม่เรียบร้อยอย่างที่คิด

เราถามว่าที่พูดเรื่องลาวงการ แสดงว่ามีแพลนอย่างอื่นรองรับ แหนมบอกว่า “คือเรามีความรู้สึกว่ามาถึงวันนี้เราพอจะเดาได้ เราไม่ใช่อัสนี-วสันต์ หรือเบิร์ด ธงไชย ที่ไปถึงตรงนั้นได้ ถ้าไปถึงได้ก็ดีใจ แต่มันอาจไม่มีวันนั้นสำหรับเรา เราก็มองย้อนกลับไปว่าเราได้ทำหมดแล้วนะ พอมันไม่ใช่คนที่เขาโหยหา เราจะไปฝืนทำไม ร้องเพลงฟังเองก็ได้ เราจะไม่ฝืนขายของหรือทำสิ่งที่คนไม่อยากฟัง เราก็ไปทำอย่างอื่น

ถามว่ามีคิดไว้มั้ยว่าจะทำอะไร ยังไม่มีนะ แต่ผมอยากเป็นพ่อค้าขายของอะไรก็ได้ เป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ ถ้าไม่ได้เข้าวงการก็แพลนว่าทำแบบนั้นแหละ อย่างคนรอบตัวเราก็มีธุรกิจ เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก เลยรู้สึกว่าอยากมีแบบนั้นบ้าง แต่ในชีวิตโชคดีได้ทำงานในวงการ ก็เลยไม่ได้ไปทำอย่างอื่นเลย

เราถามว่าถ้าเป็นพ่อค้าจริงๆ อยากขายอะไร นักร้องดังบอกว่า “น่าจะขายแหนมอย่างแรกเลย (หัวเราะ) เดี๋ยวจะทำแหนมรสชาติประหลาดๆ ออกมา (ยิ้ม) ฮาดี เพราะใครจะเชื่อว่าผมชื่อแหนมจริงๆ คือตอนที่ออกอัลบั้มมีแต่คนบอกว่าให้เปลี่ยนชื่อ แต่ผมเกลียดการเปลี่ยนชื่อมาก ผมไม่อยากเป็นดาราที่แบบว่าอ้าว จริงๆ ไม่ได้ชื่อนี้ตั้งแต่เด็ก มาเปลี่ยนทีหลัง มันไม่ค่อยคูล ชื่อนี้พ่อแม่ตั้งให้มาก็ต้องเป็นแบบนี้ มันอาจไม่เข้ากับเราเลยก็ได้นะ

อย่างตอนออกอัลบั้มใหม่ๆ มีแต่คนมาแซวว่านึกว่าจะได้ฟังเพลงลูกทุ่ง นึกว่าเป็นนักร้องลูกทุ่ง ชีวิตผมมีคอนทราสต์เยอะมาก หน้าแบบนี้คนไม่เชื่อว่าชอบเล่นกีตาร์ ถ้าใครรู้จักผมจะรู้ว่าผมฮาร์ดคอร์อยู่เหมือนกันนะในไลฟ์สไตล์ผม อาจจะพูดออกอากาศไม่ได้ แต่ผมว่าผมไม่แพ้ใครเรื่องฮาร์ดคอร์น่ะ แต่เผอิญหน้าเป็นแบบนี้ มันเลยไปไม่สุดสักที เพราะบางอย่างเราทำไม่ได้ คนคาดหวังว่าเราหล่อๆ คูลๆ แต่จริงๆ โลดโผน ออกอากาศไม่ได้”

ถามว่าคนไม่ค่อยรู้มุมนี้เยอะมั้ย แหนมบอกว่า “ผมว่าหลังๆ ผมเปิดมากนะ ถ้าคนรอบตัวรู้อยู่แล้ว แต่แฟนเพลงน่าจะรู้ชีวิตผมประมาณ 60% อีก 40% น่าจะยังไม่รู้ บางคนบอกว่าควรจะเปิด 40 ที่เหลือไปเลยนะ แต่ผมไม่เอา ผมคิดแล้วว่ามันไม่ใช่ ถ้าจะเปิดควรทำแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 20

ที่เปิดคือไม่ใช่จุดเลวร้ายนะ แต่ว่ามันเป็นจุดกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ คือไม่ได้เรียบร้อยขนาดนั้น แต่เชื่อมั้ยถ้าทำเละกว่าเดิมถ้าในแง่มุมแมสนะ ถ้ามองในหลักดัชนี เราไม่ใช่เบอร์ 1 ถ้าเป็นเบอร์ 1 เรียบร้อย แล้วอยากฮาร์ดคอร์ ต้องดังมากถึงทำแบบนั้นได้ เพราะคนสนใจ ผมเลยมองว่าไม่คุ้ม เก็บความเรียบร้อยให้คนชื่นชมดีกว่า”

หัวใจหนุ่มโสด

เราถามถึงเรื่องสถานะหัวใจของเขาว่าเป็นยังไง นักร้องดังบอกว่า “โสดครับ จริงๆ ไม่อยากให้ข่าวเรื่องพวกนี้ เพราะเดี๋ยวเขาบอกว่าเราเยอะ มากรัก เพราะเขาเห็นเราเปลี่ยนแฟนมาเยอะ (ยิ้ม) ถามว่ามีมุมมองความรักยังไง ผมว่าพอมันเริ่มอายุเยอะขึ้น มันก็ต้องเจอคนที่ใช่จริงๆ ชีวิตเรามีความโลดโผนสูง เรามีอาชีพนักดนตรี ต้องโฟกัสกับตัวเองเยอะ บางทีเราอาจจะมีเวลาให้กับคนเข้ามาน้อยไป

ถามว่าโลกส่วนตัวสูงมั้ย ไม่อยากใช้คำนั้น มันจะดูติสต์แ-ก ผมไม่ชอบ แต่ผมว่าผมติสต์แ-กกว่าคนที่ติสต์จริงๆ เยอะ บางทีหายไปเป็นอาทิตย์เลยเพื่อเล่นกีตาร์เพลงๆ เดียวที่ยังเล่นไม่ได้ ไม่ใช่ไม่รับสายนะ แต่อย่าเพิ่งเจอดีกว่า หรือมีแพลนอะไรในชีวิต สมมติจะลดความอ้วน เราก็จะหายไปกับการวิ่งสักพักเลย แต่ก็เชื่อว่ามีคนที่เกื้อหนุนเราตรงนี้ได้ เขาอาจจะมาวิ่งกับเรา หรือเป็นนักดนตรีด้วยกัน ก็อยู่ด้วยกันได้ทั้งวัน

แต่บางทีอยู่ด้วยกันทั้งวันก็ไม่ได้ แม้กระทั่งเพื่อน บางทีผมจะอยากนอนคนเดียว แต่ผมเคยอยู่กับแฟนคนนึง อยู่แบบจริงจัง ใช้ชีวิตอยู่ได้ เป็นปีที่โคตรแฮปปี้ แต่รู้เลยว่าแฮปปี้เรื่องนึง แต่เรื่องนึงไม่เวิร์กเลย เพราะกินข้าวดูหนังจนอ้วน กีตาร์ไม่ต้องเล่นเลย แต่เราแฮปปี้ที่อยู่กับเขา แต่อีกเรื่องคือพังเลย”

ถามว่าแล้วจะหาคนที่บาลานซ์กับชีวิตเราได้ยังไง แหนมบอกว่า “ผมว่ามันเป็นฟ้ารังแกเราอยู่ ต้องให้ฟ้าส่งมาว่ามันใช่หรือเปล่า (หัวเราะ) ถามว่าเปิดใจมั้ย ผมเปิดมาตลอดแหละ แต่ช่วงโควิดไม่ได้ออกไปเจอใครเลยจริงๆ เพิ่งมีช่วงต้นปีที่เพิ่งออกมาใช้ชีวิต ไม่เห็นโรงหนัง ไม่เห็นห้างมานานแล้ว ก็เพิ่งออกมาดูหนังเอง และต้องเป็นหนังที่อยากดูมากๆ ตอนนี้ก็โสดมา 2 ปีแล้ว ช่วงนั้นที่อำลากันโควิดเพิ่งมาพอดีเลย

ก็ไม่คิดจะแต่งงานอะไรขนาดนั้นแล้วนะพออายุขนาดนี้ แต่ก็ไม่แน่หรอก ผมว่าการมีครอบครัวมันเยอะเหมือนกันนะ หนึ่งออกไปหาบ้านอยู่ใหม่ แล้วมันก็มีภาระเยอะมาก ถ้ามันมีอิสระ 100% เงินเหลือเยอะ เวลาเหลือ คนที่เลือกคือใช่ก็โอเค แต่ผมเห็นเพื่อนผมแต่งงานแต่ละคนเละทุกคน ก็บอกว่าเฮ้ย ขอบคุณมากที่เป็นบทเรียนให้กู กูจะได้ไม่ทำ (ยิ้ม) เพื่อนผมแต่งงานแล้วเลิก 80% เดี๋ยวก็มีปัญหาโน่นนี่ ตอนนี้ก็ชิลๆ ไปก่อน คนที่พอดีกันผมเชื่อว่ามี”

ปิดท้ายเราให้แหนมพูดถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานมาตลอด ซึ่งเขาบอกว่า “รู้สึกเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรายังอยากร้องเพลงอยู่ เวลามีแฟนๆ มาถ่ายรูปเรา มาถือป้าย ร้องเพลงเดียวกับผม ผมรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่มหัศจรรย์มากที่ดึงคนมาหาเราได้ และเขามาด้วยความรักเราจริงๆ เป็นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงที่เขาชื่นชอบเรา ทั้งที่บางทีเราไม่ได้เป็นคนดีเด่ขนาดนั้น (หัวเราะ) ขอบคุณที่แชร์เพลง ฟังเพลง ตามมาถ่ายรูปเราครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย
กราฟิก : Chonticha Pinijrob

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2440875
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2440875