“เอส-กันตพงศ์” เหนื่อยแต่คุ้ม! ภูมิใจเป็น“พระเอกสายถอด” เผยอยากมีลูกอีกคน


ให้คะแนน


แชร์

เอส เล่าเริ่มจาก “เพลิงไพร เป็นการกลับมาถ่ายละครครั้งแรกในรอบ 2 ปีกว่า หลังแม่เบี้ย โควิดด้วยและมีลูกสาวด้วย เลยขอเวลาทางช่องไปอยู่กับลูกและภรรยา ตอนกลับมาถ่ายละครคิวแรกๆ ก็งงเหมือนกัน เรื่องราวอารมณ์เหมือนสารวัตรใหญ่ ที่ผมเล่น และร้อยป่าที่น้องปูเป้เล่น เป็นแนวทวงคืนความยุติธรรม”

ไม่ค่อยเห็นเอสรับบทเป็นเพลย์บอย?

“ใช่ครับ ไม่เคยเล่นและเป็นเพลย์บอยขี้หลีสาว จีบเค้าไปเรื่อยไม่สนว่าคนจะมองยังไง ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำในชีวิตจริง”

ความแซ่บต่างจากแม่เบี้ยมั้ย?

“แม่เบี้ยเนี่ยเป็นการสร้างบรรทัดฐานของผมไปเลย หลังจากนั้นผู้กำกับจะบอกว่าอยากให้พี่เอสถอดเสื้อ ในบทไม่มีนะครับแต่อยากให้ถอด ในบทบอกใส่เสื้อกล้ามแต่อยากให้ถอดเลย ก็คล้ายๆจะกลายเป็นซิกเนเจอร์ ผู้กำกับทุกคนที่เห็นก็บอกว่าชอบมาก วีคัตของพี่เอส เค้าไม่ได้รีเควสแค่ถอด แต่เวลาถอดทีไรเค้าบอกช่วยดึงกางเกงลงหน่อย (ยิ้ม) แต่ตอนนี้วีไม่ค่อยเหลือ”

พระเอกสมัยนี้ต้องเตรียมตัวเพื่อถอด?

“มันเหมือนเป็นบรรทัดฐานเนอะ ยังคุยกับพี่ๆในกองว่าเมื่อก่อนตอนเราเด็กๆในละครจะมีสาวเซ็กซี่แนวดาวยั่ว เป็นผู้หญิง แต่สมัยนี้คือผู้ชายต้องเตรียมตัวถอด อยู่ในกองก็กินข้าวเยอะไม่ได้ มันก็เป็นการเปลี่ยนไปของยุคสมัย”

ในมุมมองพระเอกโอเคมั้ยกับการเป็นดาวยั่ว?

“ดาวยั่วเลยเหรอ (หัวเราะ) ผมมองว่าด้วยฐานคนดูที่เป็นสุภาพสตรีมากกว่า มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้แปลกและสำคัญ ถ้าบริบทของละครพาไปให้ถอด”

จริงๆเป็นความภูมิใจมั้ย เพราะไม่ใช่พระเอกทุกคนที่แฟนๆอยากให้ถอด?

“ต้องขอบคุณครับ ถ้าแฟนๆ ชอบในเรือนร่างของเรา มันหมายความว่าหยาดเหงื่อและความเคร่งครัดในการทานอาหารของเรามันเห็นผล มันไม่ได้เหนื่อยเปล่า กว่าที่มันจะขึ้นเส้นวีมันก็ยาก ต้องมีวินัย ถาม ว่ายากมั้ยมันก็คุมอาหารเป็นหลัก อยู่ในกองทานกับไม่ทานข้าว”

เรื่องนี้ยากตรงไหน?

“การหลีสาวนี่ล่ะครับ ซึ่งขัดกับตัวเรา เราไม่ค่อยไปพูดแซวผู้หญิง พอเป็นตัวละครมันก็ลื่นไหลได้ ซึ่งน้องปูเป้และพี่วี่ผู้กำกับ ก็จะงงว่าคิดได้ยังไง ผมอิมโพรไวซ์เยอะเลย เพราะบางอันคิดว่ายังไม่ได้แสดงความเจ้าชู้เลย มันต้องมี จังหวะนั้นต้องเล่นมุกแล้ว พอเราอินกับตัวละครเราก็เสนอไปผู้กำกับก็ชอบ จนน้องปูเป้ขำบอกไม่ไหวแล้ว ส่วนการร่วมงานกับน้องปูเป้เราเจอกันวันแรก15 นาทีก็ทลายกำแพงกันไปหมดเลย คลิกกันไว น้องเป็นมืออาชีพ เราทำงาน สบาย ฉากต่างๆผ่านไปด้วยดี”

ออกมาทำงานแล้วเป็นไง?

“ผมติดลูกเป็นคนติดบ้าน เพราะฉะนั้นพอมีลูกไปกันใหญ่ นอกจากติดบ้าน มีลูก มีโควิด โอ้โห เป็นข้ออ้างที่เพอร์เฟกต์ที่เวลาเพื่อนชวนแล้วจะไม่ออกไปไหน ตอนแรกๆที่ผมมาถ่ายละครที่เมืองไทยคนเดียว ตอนถ่ายคิดถึงลูกตลอดว่างปุ๊บวิดีโอคอลวันละ 3-4 รอบ ตอนนั้นภรรยาอยู่เยอรมนี ต้องนับชั่วโมงให้ตรงกัน แต่ตอนนี้อยู่เมืองไทยแล้ว”

การเลี้ยงลูกล่ะ?

“ภรรยาจะเป๊ะ ผมจะตามใจ เพิ่งเข้าใจคำว่าคุณพ่อมีลูกสาวเป็นยังไง ความที่ลูกมาอ้อนก็ยอมหมด หลงครับ ภรรยาเลยต้องเล่นบทเป๊ะ และมาเป๊ะใส่ผมด้วย ก็ปรับตัวเยอะพอสมควร เราคนไทยเค้าคนเยอรมันก็มีความเชื่อที่ต่างกันเช่น การทานข้าว ภรรยาก็จะศึกษามาใช้วิธี Baby- Led Weaning ให้ทานเองตั้งแต่ 6 เดือน บางทีเค้าติดคอ ผมก็จะตกใจ ภรรยาบอกว่าอย่าๆปล่อยให้ลูกทำเอง เค้าจะส่งข้อมูลมาให้เราเพราะกลัวผมไม่เชื่อ หรือการเลี้ยงเด็กคู่กับน้องหมา ถ้าเป็นยุคคุณแม่ผมจะห้าม แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่าถ้าเลี้ยงเด็กกับน้องหมาจะยิ่งแข็งแรง สำหรับผมก็ศึกษาเรื่องสายสัมพันธ์ ต้องการให้เค้ายืนได้ด้วยตัวเองเป็นประชากรที่มีคุณภาพ”

เป็นคุณพ่อแล้วชีวิตเปลี่ยนเยอะมั้ย?

“ถ้าชีวิตผมแทบไม่ค่อยเปลี่ยน ด้วยไลฟ์สไตล์ผมอยู่บ้านเป็นหลัก แต่เปลี่ยนมุมความคิด เรามีลูกสาว อยากเป็นต้นแบบเป็น role model ในการที่เค้าจะเลือกคู่ชีวิตในอนาคตก็จะดูเราเป็นคนแรก สิ่งที่เราทำกับภรรยาเรา เราก็พยายามแสดงความรักต่อหน้าลูกเยอะขึ้น เค้าก็ชอบอมยิ้มเวลาพ่อแม่จุ๊บแก้มคิสๆ ส่วนการปรับตัวของภรรยาเค้าชอบเมืองไทย ก็ปรับตัวไม่ยาก”

แพลนมีคนที่สองมั้ย?

“ตอนแรกผมไม่ได้แพลนมีคนที่สองนะ ตอนแรกโดยส่วนตัวไม่อยากมีลูกเลย ชอบสันโดษ แต่ภรรยาอยากมีลูก พอมีลูกก็ทำให้รู้สึกว่า อืม อยากมีนะ ภรรยาบอกว่าเค้ายังไม่หายเหนื่อยเลยนะ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2654715
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2654715