A Sun : ในความยุติธรรมของแสงอาทิตย์


ให้คะแนน


แชร์

อาห่าว คนพี่เป็นหนุ่มหล่อ เรียนดี นิสัยเรียบร้อย กำลังติวเข้มเพื่อสอบหมอหลังจากพลาดหวังไปครั้งหนึ่ง ต่างกับ อาเหอ คนน้องที่เป็นเด็กเกเร

คืนหนึ่ง อาเหอกับ แรดิช เพื่อนรุ่นพี่ขโมยมอเตอร์ไซค์ไปจัดการกับคู่อริ แรดิชฟันมือเจ้าหนุ่มขาดหล่นลงหม้อต้มสุกี้ อาเหอถูกส่งไปสถานพินิจ แรดิชติดคุก พ่อไม่ไยดีใดๆ ร้องขอให้ศาลดัดสันดานลูกชายตนเอง

อาเหวิน คนพ่อเป็นครูสอนขับรถวัยกลางคนที่เหม่อลอย ขณะที่แม่ที่เป็นช่างเสริมสวย และเป็นคนเดียวในครอบครัวที่พยายามประคับประคองทุกคนอย่างทนทุกข์ วันหนึ่งหลังจากอาเหอเข้าสถานพินิจ มีเด็กสาวอายุยังไม่พ้น ม.ปลาย คนหนึ่งมาที่บ้านกับน้าของเธอ บอกว่าชื่อ เสี่ยวยี่ เธอกำลังท้องลูกของอาเหอ แม่ผู้เยือกเย็นต้องต่อกรกับน้าสาวของเสี่ยวยี่ที่โมโหมากเพราะจู่ๆ หลานสาวท้องขึ้นมา แต่ถึงที่สุด ผู้หญิงทั้งสามตกลงใจให้เสี่ยวยี่ย้ายมาอยู่บ้านเฉินเพื่อให้แม่คอยดูแล

อาห่าวพบเด็กสาวคนหนึ่งในชั้นเรียน เธอเหมือนจะแอบชอบเขา และเริ่มออกไปไหนมาไหนกัน คืนหนึ่ง อาห่าวเล่าเรื่องของ ซือหม่ากวง ขุนนางในสมัยซ่ง ที่เมื่อครั้งยังเด็กเคยเล่นซ่อนหากับเพื่อน พอหากันจนเจอหมดแล้ว เขาบอกว่ามีอีกคนหนึ่งที่ยังหายไป ซือหม่ากวงนำเด็กทุกคนออกตามหา เขาเจอโอ่งขนาดใหญ่ใบหนึ่ง เขาทุบมันแตก มีเด็กคนหนึ่งซ่อนอยู่ช้างใน ไม่นึกเลยว่าคือตัวของซือหม่ากวงเอง

อาห่าวคอยดูแลเสี่ยวยี่พาเธอไปฝากท้อง ตั้งใจจะพาไปเยี่ยมอาเหอ แต่เข้าไม่ได้เพราะไม่ได้แต่งกัน คืนนั้นหลังจากกลับบ้าน อาเหอลุกขึ้นมาเก็บกวาดห้องหับ และตัดสินใจไปจากทุกคน

บ้านหลังจากนั้นเงียบงัน ทุกคนจมกับทุกข์ของตน จนอาเหอพ้นโทษ แม้พ่อจะไม่ยอมรับ เขาก็ออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเสี่ยวยี่ที่เป็นลูกมือของแม่ไปแล้ว ไปทำงานเป็นเด็กล้างรถ ตกกลางคืนทำร้านสะดวกซื้อ พ่อผู้มึนตึงนิ่งเฉย โดนญาติของ โอเด้ง ไอ้หนุ่มที่ถูกตัดมือตามระรานให้จ่ายค่าชดเชยเยียวยา เพราะบ้านของแรดิชนั้นยากจนยิ่งนัก แต่พ่อปฏิเสธเพราะเหตุเกิดจากลูกชายที่ตนไม่ยอมรับ ตัวพ่อเองก็ย้ายมานอนที่โรงเรียนสอนขับรถ เพราะไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับลูกชาย แต่เวลาเยียวยาทุกอย่าง จนเมื่อแรดิชพ้นโทษออกมา เวลาที่เยียวยาทุกอย่างจึงรวมไปถึงการต้อง ‘ชดใช้’ ในสิ่งที่ตนก่อด้วย

นี่คือหนังครอบครัวโดย จงเมิ่งหง ที่หม่นหมองและงดงาม ตัวแทนไต้หวันในการเข้าชิงออสการ์สาขา ‘หนังนานาชาติยอดเยี่ยม’ ประจำปีนี้ แม้หนังไม่ได้เข้ารอบสุดท้าย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความงดงามของหนังน้อยลง

ชื่อภาษาอังกฤษ ของหนังคือ A Sun ที่แปลว่า ‘ดวงอาทิตย์’ และไปพ้องเสียงกับคำว่า A Son ที่แปลว่า ‘ลูกชาย’ ซึ่งเรื่องน่าเศร้าก็คือ เมื่อแปลว่าลูกชาย ความหมายของมันเป็นเพียง ‘ลูกชายคนเดียว’ ไม่ใช่สองคน และการพ้องพานนี้เป็นการเปรียบลูกชายเข้ากับแสงอาทิตย์ หรืออาจพูดได้ว่าคือการเปรียบความว่า ‘ผู้ชาย/ความเป็นชาย’ คือแสงของดวงตะวันที่สาดส่องลงมาบนโลก โลกขับเคลื่อนด้วยลัทธิชายเป็นใหญ่ ซึ่งก็เป็นไปตามขนบแบบขงจื้อ ที่แทบจะเป็นคุณค่าสากลในสังคมคนจีน

หนังทั้งเรื่องจึงวนเวียนอยู่กับ ‘พ่อ’ และการยอมรับของพ่อว่า ใครที่จะสามารถเป็นลูกชายของพ่อได้ พ่อเป็นผู้กำหนดกฎในบ้าน พ่อปฏิเสธความเกกมะเหรกเกเรของลูกชายคนเล็ก ส่งเขาเข้าสถานพินิจ พอลูกชายคนโตจากไป แสงตะวันของพ่อก็สูญดับ ลูกชายคนเล็กพยายามอย่างยิ่งที่จะมีชีวิตใหม่แม้พ่อไม่ยอมรับ เพราะก็เป็นพ่อคนเข้าแล้วเหมือนกัน ตลอดทั้งเรื่องหนังดำเนินไปบน ‘ผลพวงการกระทำของพวกผู้ชาย’ ผู้หญิงในเรื่องถูกทำให้เป็นคนที่ต้องคอยยอมรับ ทำตาม แก้ไข และประคับประคองความไม่ได้เรื่องของพวกผู้ชายในบ้าน ทั้งในฐานะสามี พ่อ และลูกชาย

ความเป็นพิษของความเป็นชายเริ่มตั้งแต่การพยายามเอาคืนคู่อริที่เลยเถิดไปจนเป็นอาชญากรรม ความต้องการเป็นที่รักของพ่อ ความต้องการของพ่อที่จะสร้างครอบครัวสมบูรณ์แบบ ไปจนถึงเมื่อแรดิชออกจากคุก เขาอาศัยเรื่องของบุญคุณ คุณธรรมน้ำมิตร มิตรภาพแบบลูกผู้ชายมากดดันอาเหอให้ประกอบอาชญากรรมเพื่อชดใช้ให้เขา-พ่อผู้ซึ่งพยายามกอบกู้ความเป็นพ่อของตนคืนมาก็เช่นกัน

ดูเหมือนพวกผู้ชายในเรื่องทำอยู่เพียงแค่ ทำเรื่องอะไรขึ้นมาสักอย่าง จากนั้นก็มีชีวิตเพื่อ ‘ชดใช้’ กรรม (ที่แปลว่า ‘การกระทำ’ ไม่ใช่ในความหมายทางศาสนา) ที่ตัวเองได้กระทำลงไปแล้วมาโดยตลอด และบางครั้งก็นำไปสู่กรรมชนิดใหม่ๆ

หนังเริ่มจากกรรมของอาเหอที่ต้องชดใช้ด้วยการติดคุก กรรมของพ่อที่รักลูกไม่เท่ากัน จนต้องกลายเป็นคนโดดเดี่ยว กรรมของพ่อที่ไม่ยอมรับลูกชายจนต้องเกือบเสียงาน และต้องระเห็จออกมานอนในที่ทำงาน กรรมของอาเหอเมื่ออดีตไล่ล่าเขา ก่อนที่หนังจะไม่ยอมจบลงอย่างประนีประนอม หากทิ้งความหม่นหมองไว้ในการประกอบอาชญากรรมอีกครั้ง

การชดใช้ของพวกเขาก็ช่างเป็นไปตามวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ เมื่อถูกรีดเค้นเอาความเป็นพี่เป็นน้อง อาเหอก็ชดใช้ให้แรดิชด้วยการยอมทำตาม เช่นเดียวกันกับพ่อที่พยายามชดใช้ให้อาเหอในตอนท้ายเรื่อง หนังจึงเริ่มต้นก่อนหนังจะเริ่ม และดำเนินไปแม้หนังจบลงไปแล้ว ด้วยความหม่นหมองเจ็บปวด จากการชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป เมื่อกรรมหนึ่งจบลง มันก็มีกรรมใหม่ๆ ที่รอคอยการชดใช้อยู่หลังจากหนังจบลง และเราเดินออกจากโรง บางสิ่งยังรอคอยการชดใช้จากตัวละครอยู่

ในขณะเดียวกัน เมื่อเรามองกลับไปยังบรรดาผู้หญิงในเรื่อง แม่, เสี่ยวยี่ และน้าของเธอ รวมไปถึงเพื่อนสาวของอาห่าว บรรดาผู้หญิงในเรื่องกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเผชิญหน้ากับปัญหาโดยตรงมากกว่าการหลบหนี การยอมรับและไปต่อมากกว่าการปฏิเสธมัน เมื่อเสี่ยวยี่มาที่บ้าน แม่เป็นคนที่ยอมรับและดูแลลูกสะใภ้ แม่เป็นคนที่ไปเยี่ยมอาเหอ น้าสาวของเสี่ยวยี่เป็นคนดูแลเด็กสาวหลังจากพ่อแม่ของเสี่ยวยี่เสียชีวิต เสี่ยวยี่ที่ตั้งใจจะเก็บลูกในท้องเอาไว้ไม่ว่าชีวิตจะต้องเผชิญอะไร การพูดคุยและยอมรับความผิดพลาด เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้ากลายเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของบรรดาผู้หญิงในเรื่องนี้

แต่กระนั้น ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยผู้ชาย การต่อสู้ตามแบบของพวกเธอ อาจเป็นการต่อสู้ที่เกินตัว ขณะเดียวกันก็แทบไม่ได้รับการยอมรับ และทำให้พวกเธอต้องทุกข์ทน แม้ทำสิ่งที่ถูกต้องครั้งแล้วครั้งเล่า


เมื่อมองกลับเข้าไปในเรื่องเล่า ตัวละครที่สำคัญที่สุดของหนังจึงคือ ตัวละครที่สาบสูญไปตั้งแต่กลางเรื่องอย่างอาห่าว

ในฉากหนึ่ง อาห่าวชวนเพื่อนสาวไปเที่ยวสวนสัตว์ เขาถามว่า เธอคิดว่าอะไรยุติธรรมที่สุดในโลก เขาบอกว่ามันคือดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์สาดแสงใส่ทุกสิ่งอยางเท่าเทียม กำหนดกลางวัน-กลางคืน แต่เขานึกสงสัยว่าในขณะที่คนอื่นๆ สัตว์ต่างๆ สามารถหาร่มเงาหลบแสงอันร้อนแรงจากดวงอาทิตย์ได้ แต่เขากลับทำไม่ได้ ดวงอาทิตย์สาดแสง ‘อบอุ่น’ ใส่เขาตลอด 24 ชั่วโมง จนไม่อาจทานทน

แสงอาทิตย์ในฐานะความเป็นลูกชาย ความเป็นผู้ชาย คนที่คอยโอบอุ้มคนอื่นจนเหนื่อยล้า ดูเหมือนสิ่งนี้เองที่กดทับอาห่าวเอาไว้ หนังไม่ยอมคลี่คลายเหตุผลในการตัดสินใจของเขา แทบไม่ให้เราเห็นสิ่งที่อยู่ในตัวเขา หนังพูดถึงเขาน้อยมาก มีเพียงฉากเล็กๆ ที่เขาอาสาพาเสี่ยวยี่ไปตรวจครรภ์ และพาเธอไปเยี่ยวมอาเหอ เราพอจะเดาได้ว่า เขาเป็นคนหนุ่มที่อ่อนโยน หากแตกต่างไปจากตัวละครอื่น เราไม่สามารถเข้าไปในใจของเขาได้ เขาเป็นตัวละครเดียวที่ผู้ชมไม่รู้จัก เราได้เห็นเพียงความฝันลึกลับว่าตนเป็นมนุษย์คนเดียวในห้องเรียน ตื่นในความมืดขณะที่เพื่อนๆ หลับไหล การไม่อยู่ของเขาจึงเป็นการปรากฏอย่างเข้มข้นของ ‘การปฏิเสธ/การยอมจำนน’ ต่อโลกของชายเป็นใหญ่ที่ ‘อบอุ่น’ แต่ก็ ‘ร้อนแรง’ ดังแสงอาทิตย์

โอ่งของซือหม่ากวงที่จู่ๆ เขาก็เล่าขึ้นมาจึงมีความหมายอย่างยิ่ง ทั้งในฐานะของสถานที่ของการหลบพักจากแสงแดด ซุกซ่อนอีกตัวตนเอาไว้ ในทางตรงกันข้าม เพื่อจะเผชิญหน้ากับความจริง มีแต่การทุบทำลายโอ่งนั้นทิ้ง การเปลือยเปล่าต่อหน้าตัวตน การทำลายตัวเอง จึงจะทำให้เราเข้าใจถึง ‘ด้านมืดของแสง’ หรือ ‘ความอยุติธรรมของความยุติธรรม’

มันจึงเป็นเรื่องน่าขันที่คำขวัญของบริษัทของพ่อ ที่พ่อรับเอามาเป็นคำสอนของตน และปรากฏอยู่ในสมุดไดอารี่ประจำปีที่พ่อมอบให้อาเหอทุกปี แต่ไม่เคยถูกใช้ ซึ่งเขียนว่า ‘ฉกฉวยวันเวลาและเลือกเส้นทางของตัวเอง’ นั้น ได้กลายเป็นเรื่องเสียดสีขำขื่น เพราะไม่มีใครในเรื่องที่ได้เลือกเส้นทางของตัวเอง ชีวิตถูกกำหนดด้วยแสงและเงาร้อนแรงที่มองไม่เห็น ขึ้นและลง กระทำและชดใช้อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า

หากกลางวันและกลางคืนเท่าเทียมกันดังที่อาห่าวบอกไว้ วิธีเดียวที่จะทำให้เขา ให้อาเหอน้องชายของเขา ให้แรดิช หรือแม้แต่ให้เจ้าโอเด้งหนุ่มที่ถูกตัดมือ และสำคัญที่สุด ให้พ่อของเขา ‘รอดพ้น’ จากการถูกเผาไหม้ด้วยแสงอาทิตย์ จึงคือการเชื่อว่า แสงอาทิตย์ไม่ได้เป็นสิ่งกำหนดกลางวันและกลางคืน หากผู้ชายเป็นกลางวัน ผู้หญิงเป็นกลางคืน

เราควรนึกให้ออกว่า แสงอาทิตย์เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวซึ่งคั่นระหว่างความมืดอันรื่นเย็นของกลางคืนเท่านั้นเอง

(A Sun | ภาพยนตร์ | ไต้หวัน | 2020 | กำกับ : จงเมิ่งหง | รับชมได้ทาง Netflix)

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/inter/2081521
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/inter/2081521